หุบเขาไร้เงา : 2
ครั้นเข้ามาที่พักเรียบร้อย สิ่งแรกที่นางทำคือนั่งบนตั่งมองตนเองผ่านเงาสะท้อนของกระจกทองเหลืองตรงหน้า
สิ่งแรกที่สะท้อนในแววตาของนางคือสายฝนห่าใหญ่ที่กระหน่ำเทลงมาโชลมพื้นดินที่ย้อมไปด้วยสีแดงฉาน กลิ่นคาวคลุ้งของเลือดในวันนั้นยังติดอยู่ที่ปลายจมูกรั้นของเยว่อันหนิงทุกครั้งที่นึกถึง
ในหูทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความกลัวและความเจ็บปวดของผู้เคราะห์ร้ายราวกับเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้น
มือบางจิกกำเข้าหากันแน่นเมื่อความเคียดแค้นเริ่มเกาะกินหัวใจนางอีกครั้ง
"ศาลเทียนอวี่"
ริมฝีปากหยักได้รูปขยับเอ่ยชื่อสถานที่ที่นางจดจำมิเคยลืมแม้วันเวลาผ่านมาแล้วถึงเก้าปี
หากวันนั้นนางมิได้ประมุขกู่เหนียงที่บังเอิญลงเขาแล้วผ่านไปเส้นทางนั้นช่วยไว้ ป่านนี้ชีวิตที่เหลือริบหรี่ของนางคงได้ตามบิดาและพี่ ๆ ทั้งสี่ไปแล้ว
"อาฮวา ข้าเข้าไปได้หรือไม่"
เสียงเล็กแหลมของยี่ซูสหายหญิงเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถพูดคุยกับเยว่อันหนิงได้สนิทใจดังขึ้น
"เข้ามา"
นักฆ่าสาวที่ตอนนี้ทั้งแข็งแกร่ง ทั้งเด็ดเดี่ยว แต่กลับไร้แววของความสุขในชีวิตรีบสลัดสีหน้าเศร้าสลดให้กลับมาเรียบนิ่งเช่นปกติก่อนจะผินสายตามองสหายในชุดทะมัดทะแมงราวชายชาตรีสีดำเดินเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมนี้
"ข้าได้ข่าวว่าเจ้ารับงานใหม่มา"
สมแล้วที่เป็นหน่วยข่าวเร็วของหุบเขาไร้เงาแห่งนี้
ยี่ซูอายุห่างจากเยว่อันหนิงราว ๆ เจ็ดปีได้ หากแต่ใบหน้านางอ่อนเยาว์ราวดรุณีวัยไม่ถึงสิบสี่เพราะในร่างกายยี่ซูมีพิษหนอนไหมแดงที่ช่วยชะลอการเติบโตของผิวพรรณเอาไว้ในวัยที่ถูกพิษ หากแต่อวัยวะส่วนอื่นยังคงเติบโตตามปกติ
พิษที่ยี่ซูได้รับเป็นผลงานชิ้นเอกของนางที่คิดค้นร่วมกับผู้เฒ่าฝูหนาน เจ้าแห่งพิษของหุบเขาไร้เงาแห่งนี้
"ยังก้ำกึ่ง"
เพราะนางต้องทำตามขั้นตอน มิสามารถยอมรับเต็มปากว่ารับสาส์นจากปรโลกฉบับนั้นแล้ว
ยี่ซูหยักหน้าให้สหายสนิทที่นิสัยตรงกันข้ามอย่างสุดขั้ว ก่อนจะเดินไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเยว่อันหนิงที่เปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่เป็นจวี๋ฮวา
"เมื่อวานข้าไปที่เมืองเทียนติ่งมา"
สหายรักเริ่มบทสนทนาพร้อมมือบางก้มลงหยิบหวีเล่มเล็กขึ้นมาสางผมให้เยว่อันหนิง
"ในเมืองตอนนี้มีข่าวลือว่ากองทัพเขี้ยวหมาป่ากำลังตามสืบเรื่องนักฆ่าบุปผาเบญจมาศ"
เป็นข่าวเดียวกับที่ประมุขกู่เหนียงเพิ่งแจ้งนางเมื่อครู่
"เจ้ามาเพื่อเตือนข้า"
เยว่อันหนิงมองสบตายี่ซูผ่านกระจกตรงหน้า ทั้งสองสบตากันเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินคำตอบต่อมา
"ข้ารู้ว่านักฆ่าบุปผาเบญจมาศไม่เคยทิ้งร่องรอยและไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าจนสาวมาถึงตัวได้ แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าทิ้งดอกจวี๋ฮวาไว้ในที่เกิดเหตุทุกครั้ง ไม่กลัวคนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าจะสืบตัวตนเจ้าผ่านดอกไม้นั่นหรือไร"
น้ำเสียงยี่ซูจริงจังฟังดูห่วงใยสหายตรงหน้าเป็นอย่างมาก ผิดกับคนที่เป็นต้นเหตุให้ผู้อื่นเป็นห่วงที่ค่อย ๆ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมมุมปากสีสดที่ยกสูง
นางมิได้ยิ้มหวาน ต้องเรียกว่าแสยะยิ้มแบบมีเล่ห์เหลี่ยมถึงจะถูก
"หากจะสืบจากดอกไม้แห้งเหี่ยวนั่น ต่อให้พวกเขาพลิกแผ่นดินหาคงมิเจอ"
ที่เยว่อันหนิงมั่นใจถึงเพียงนี้เพราะดอกจวี๋ฮวา(ดอกเบญจมาศ) ที่นางใช้ทิ้งไว้บนศพแตกต่างจากดอกจวี๋ฮวาที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป
นางลงมือปลูกดอกไม้ชนิดนี้ตั้งแต่อายุเก้าขวบ เพราะวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะต้องแก้แค้นให้สกุลเยว่ในสักวัน และที่นางเลือกใช้ดอกจวี๋ฮวาเพราะเป็นดอกไม้ที่มารดานางโปรดปรานที่สุด อีกทั้งผู้คนต่างบอกว่าดอกจวี๋ฮวาคือดอกไม้แทนสัจจะ ความซื่อสัตย์และความตาย
เยว่อันหนิงจึงคิดจะใช้ดอกไม้นี้คอยย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอว่าจะต้องรักษาสัจจะวาจาที่ให้ไว้ นางต้องล้างแค้นให้ผู้คนสกุลเยว่ที่ล่วงลับเมื่อเก้าปีก่อนในสักวัน
ดอกจวี๋ฮวาที่นางบ่มเพาะมาตลอดแปดปีแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปปลูกเพราะนางใช้น้ำที่ผสมหญ้าสีรุ้งรดทุกวัน ทำให้บนดอกจวี๋ฮวาของนางมีกลิ่นของหญ้าสีรุ้งอบอวลอยู่
ว่ากันว่ากลิ่นของหญ้าชนิดนี้เป็นพิษจะทำให้คนที่ดอมดมมีอาการคล้ายเมาสุราและเห็นภาพหลอนที่ก่อขึ้นในจิตใจ หากแต่พอมันแห้งเหี่ยว ฤทธิ์ของพิษหญ้าสีรุ้งก็จะหายไปด้วยแต่ยังทิ้งกลิ่นจาง ๆ ที่ไร้พิษเอาไว้อยู่
"ข้ารู้ว่าเจ้ารอบคอบ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แต่คนทั้งเมืองเทียนติ่งต่างขนานนามแม่ทัพน้อยของกองทัพเขี้ยวหมาป่าว่าฉลาดแสนรู้และเยือกเย็น ข้าอยากให้เจ้าระวังตัวไว้สักหน่อย"
"เข้าใจแล้ว"
เป็นการตอบรับน้ำใจสหายที่สั้นกระชับ หากแต่คนฟังกลับเบาใจหลายส่วนเพราะนี่คือนิสัยของเยว่อันหนิง
วางตัวเรียบง่าย พูดจาน้อย รอบคอบค่อยลงมือ
"อาฮวาหนออาฮวา เมื่อไรเจ้าจะยิ้มจากใจได้เฉกเช่นสตรีผู้อื่นกัน นี่ก็เก้าปีแล้วที่ข้าเห็นเจ้าเติบโตมาเพียงใบหน้าเดียวเช่นนี้ หากปล่อยวางอดีตได้ ข้าคิดว่เจ้าคงมีความสุข"
หึ! อยากกล่อมให้นางปล่อยวางอดีตงั้นหรือ คงยากเสียแล้ว
นางต้องสูญสิ้นครอบครัวเพียงแค่คืนเดียวไปถึงห้าคน แม้มารดาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ด้วยแคว้นนั้นห่างไกลและมีการป้องกันเข้มงวด เยว่อันหนิงจึงยังไม่อยากเสี่ยงชิงตัวมารดาออกมา นางรอสักวันที่จัดการล้างแค้นคืนความยุติธรรมให้สกุลเยว่เสร็จค่อยไปรับมารดากลับมิอย่างยิ่งใหญ่
หวังว่ามารดาของนางจะฮึดสู้มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อนาง
"หากไม่สามารถลากคนชั่วพวกนั้นมาเซ่นไหว้สุสานบรรพชนข้าได้ ชาตินี้อย่าหวังให้ข้าปล่อยวางลืมแค้นลง"
น้ำเสียงเยว่อันหนิงช่างเยือกเย็นไม่ต่างจากแววตาที่มุ่งอาฆาต
ยี่ซูนึกเสียใจที่เผลอหว่านล้อมสหายรักทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความแค้นนี้ใหญ่หลวงสำหรับเยว่อันหนิง
"มา ๆ ข้าช่วยเจ้าเก็บข้าวของจำเป็นในการลงเขาครั้งนี้ดีกว่า"
ยี่ซูถอนหายใจเล็กน้อย นางไม่เอ่ยแม้คำขอโทษที่ล่วงเกินสหายทางความคิด ก่อนจะปลีกตัวออกไปยังชั้นเก็บเสื้อผ้า จัดการช่วยเยว่อันหนิงเก็บของใช้ส่วนตัวเงียบ ๆ ส่วนสตรีที่ถูกกระตุ้นให้หวนคิดถึงเรื่องเจ็บปวดวันนั้น ได้แต่จ้องตัวนางอีกคนในกระจกทองเหลือง
รอยยิ้มหรือ?
จะมีไปไยในเมื่อนางไม่เหลือใครให้เผยยิ้มให้อีกแล้ว