บทที่ 4
ทั้งเขาและเธอกำลังตรวจรายการอาหารในเมนูอยู่ ตอนที่คนกลุ่มหนึ่งเดินมาเข้าในห้องอาหารแห่งนั้น ส่งเสียงพูดจาและหัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร ซูซานนั่งหันหลังให้กับประตูทางเข้า แต่เธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหันไปมอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นใครที่กำลังเดินเข้ามา
“ไอ้ห่ะ... ” วอร์เรนอุทานออกมาอย่างหงุดหงิดใจ “ไอ้หมอเบรเดนนั่นอีกแล้วคราวนี้เข้ามากันเป็นฝูงเลยแถมไอ้คนเสิร์ฟยังพาเดินมาทางนี้อีกด้วย แกล้งทำเป็นไม่เห็นมันเสียนะ ซูซาน”
ก็ใครเล่าที่จะไม่สังเกตเห็นกลุ่มคนที่เดินเข้ามาด้วยเสียงอึกทึกนั้นได้? ซูซานพยายามที่จะทำตามคำสั่งห้วน ๆ ของวอร์เรน โดยแสร้งทำเป็นสนใจอยู่กับเมนู แต่ขณะที่ผู้ชายคนนั้นเดินผ่านโต๊ะไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะปรายตาขึ้นจากเมนู
คนในกลุ่มนั้นทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน 6 คนซึ่งรวมทั้งมิทช์ เบรเดนด้วย ถ้าเขาจะสังเกตเห็นวอร์เรนกับเธอเขาก็มิได้แสดงกิริยาอาการอะไรออกมาเลย กำลังหัวเราะร่าอยู่กับคำพูดของเพื่อนร่วมกลุ่มที่เดินอยู่รั้งท้าย
ดูเหมือนมันจะเป็นการจัดลักษณะความสูงต่ำของแต่ละคนอย่างน่าแปลกที่สุด และก็มีทั้งคนหนุ่มคนแก่ แต่ไม่มีคนใดที่จะมีหน้าตาคมสันเหมือนคนที่กำลังเดินนำหน้าอยู่เลยสักคนเดียว
โต๊ะอาหารตัวใหญ่ซึ่งพนักงานเสิร์ฟเดินนำหน้าคนกลุ่มนั้นเข้าไป มิได้อยู่ไกลจากโต๊ะของซูซานกับวอร์เรนเท่าใดนัก ซึ่งทำให้เธอต้องลอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นมิทช์ ทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ตัวที่หันหน้าไปอีกฟากหนึ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรับประทานอะไรลงหรือไม่ในขณะที่มีเขามานั่งจ้องหน้าอยู่ตลอดเวลาและวอร์เรนก็เช่นเดียวกัน ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายลงมากทีเดียว
หลังจากที่ซูซานเลือกรายการอาหารที่ต้องการได้แล้ววอร์เรนจึงได้เรียกพนักงานมาสั่งและใช้เวลาอยู่กับการเลือกไวน์เพราะเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจมากในการที่จะได้แสดงออกถึงรสนิยมอันเลอเลิศ ซึ่งสำหรับซูซานเองแล้ว แทบจะแยกไวน์แต่ละชนิดไม่ออกด้วยซ้ำ
เมื่ออาหารชุดใหญ่ได้รับการเสิร์ฟแล้ว พนักงานก็เปิดจุกขวดไวน์ออก พร้อมกับรินใส่ลงในแก้ว ส่งให้วอร์เรนก่อนตามธรรมเนียม
“ท่านครับ ... ” พนักงานเสิร์ฟเอ่ยขึ้น
“นี่ไม่ใช่ไวน์ที่ผมสั่ง” วอร์เรนขัดขึ้นทันที ไม่ยอมให้พนักงานผู้นั้นพูดจนจบ เขาเอื้อมไปดึงขวดไวน์จากมือของพนักงานเสริ์ฟ “ไวน์ชนิดนี้ไม่มีในรายการไวน์ของที่นี่ด้วยซ้ำ”
“ มิได้ครับ ท่าน” พนักงานเสิร์ฟตอบ “นี่เป็นไวน์ชนิดพิเศษซึ่งเก็บไว้ดื่มส่วนตัวของเจ้าของร้าน แล้วก็เป็นอภินันทนาการจากท่านสุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะใหญ่”
มิทช์ เบรเดนนั่นเอง ทั้งซูซาน และวอร์เรนหันไปมองทางเขาพร้อมกัน และได้เห็นว่ามิทช์กำลังนั่งอยู่ในท่าเอี้ยวตัว จับตามองดูอยู่ พร้อมกับผงกศีรษะเป็นเชิงตอบรับ
“คุณว่า...เจ้าของร้านงั้นรึ?” ซูซานมองหน้าพนักงานเสิร์ฟอย่างข้องใจ
“ครับ สุภาพบุรุษท่านนั้นเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านนี่ครับ” พนักงานเสิร์ฟตอบอย่างสุภาพ
วอร์เรนนั่งนิ่งเงียบไปเป็นครู่ ดูเหมือนเขาจะตกอยู่ในสภาพที่ตัดสินใจไม่ถูก ซูซานเดาเอาว่าเขาประสงค์ที่จะปฏิเสธการรับไวน์ขวดนั้นไว้ แต่เชื่อว่า มันจะต้องเป็นไวน์ชนิดเยี่ยมเพราะในที่สุดเขาก็มิได้ปฏิเสธออกไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยขอบใจคุณคนนั้นแทนเราด้วยก็แล้วกัน” วอร์เรนพูดห้วน ๆ
“ได้ครับผม”
บางทีถ้า มิทช์ เบรเดนจะไม่ส่งไวน์มาที่โต๊ะอาหาร ซูซานก็อาจจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจกับการที่มีเขานั่งรวมอยู่ในห้องรับประทานอาหารแห่งนี้ได้ แต่เมื่อมันเป็นเช่นนี้ เธอก็มักจะปรายตามองไปทางโต๊ะนั้นบ่อยครั้งขึ้นเพ่งพิศอยู่กับเรือนร่างที่สูงสง่าแบบชายชาตรี และเรือนผมสีน้ำตาลเกมทอง แต่ตลอดเวลาที่รับประทานอาหารอยู่นั้น เธอไม่ยอมประสานสายตากับดวงตาคู่สีฟ้าที่พราวระยับด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานั้นเลย
เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังมาจากโต๊ะตัวใหญ่ไม่ขาดสายซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับความเงียบงันที่เกิดขึ้นในโต๊ะที่ซูซานกับวอร์เรนนั่งรับประทานอยู่ด้วยกันแล้ว มันก็ออกจะเป็นความเงียบที่ผิดปกติอยู่มาก แต่ถึงอย่างไรวอร์เรนก็มีนิสัยที่ไม่ชอบพูดคุยระหว่างการรับประทานอาหารอยู่แล้ว ถ้าจะพูดหรือคุยกัน ก็มักจะเป็นก่อนหรือหลังเวลารับประทานอาหาร และเมื่อถึงเวลาที่กาแฟถูกนำเข้ามาเสิร์ฟ ซูซานก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้น บอกตัวเองว่า มันน่าจะเกิดจากความตึงเครียดในยามค่ำวันนี้มากกว่า
มีเสียงหัวเราะก้องขึ้น ซึ่งดังมาจากโต๊ะของมิทช์ เบรเดนอย่างแน่นอน วอร์เรนเหลือบตามองไปทางโต๊ะนั้นอีกครั้ง
“การทานอาหารวันนี้จะดีที่สุดถ้าบรรยากาศมันเงียบกว่านี้” เขาเอ่ยวิจารณ์ขึ้น
ซูซานเงยหน้าขึ้น บังคับตัวเองไว้มิให้ปรายตามองไปทางโต๊ะอื่น
“ฉันคิดว่าเห็นจะมีอยู่ที่เดียวเท่านั้น ถ้าอยากจะทานอาหารสงบ ๆ คือในบ้านของคุณเองนะคะ”
“ถูกต้องอย่างที่สุด” วอร์เรนตอบด้วยเสียงกระด้าง “เราเสร็จแล้วนี่ จะไปกันหรือยังล่ะ?” เมื่อซูซานผงกศีรษะรับ เขาก็ทำสัญญาณเรียกบิลล์จากพนักงาน
เมื่อเขาลุกขึ้นเดินอ้อมมาทางด้านหลังเก้าอี้ตัวที่เธอกำลังนั่งอยู่นั้น ซูซานสังเกตเห็นว่า ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้สะกิดมิทช์ เบรเดน เธอเห็นริมฝีปากของเขาขยับเขยื้อนอยู่ แต่สัญชาตญาณภายในก็บอกให้เธอรู้ว่า เขากำลังบอกให้มิทช์รู้ว่าเธอกับวอร์เรนกำลังจะกลับกันแล้ว
และเธอก็เห็นมิทช์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแทนการตอบรับคำพูดของผู้ชายที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ และเสียงผู้ชายร่างอ้วนล่ำอีกคนหนึ่งเปล่งเสียงหัวเราะออกมาสั้น ๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกเรื่องอย่างนี้ได้เสียทีวะ?” มิทช์ คงจะได้ตอบอะไรบางอย่างออกไป ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงให้ดังขึ้น
ซูซานตวัดสายตามองไปทางวอร์เรน ต้องกลั้นลมหายใจไว้ ด้วยเกรงว่า เขาอาจจะได้ยินเรื่องที่คนกลุ่มนั้นกำลังพูดจากันอยู่ด้วย แต่วอร์เรนเพียงปรายตามองเธอเป็นเชิงถามเท่านั้น และเธอก็ยิ้มตอบเขาอย่างแจ่มใสที่สุด
จากภัตตาคารที่รับประทานกัน วอร์เรนขับรถตรงดิ่งกลับบ้าน โดยไม่ยอมแวะเวียนที่ไหนเลย เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนในระหว่างสัปดาห์ซึ่งหมายความว่าทั้งเขาและเธอจะต้องไปทำงานในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น วอร์เรนไม่ชอบการที่จะอยู่ดึก โดยเฉพาะเมื่อเขาจะต้องไปทำงานในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ซึ่งเช่นเดียวกับซูซานทั้งเขาและเธอจะออกไปรับประทานอาหารด้วยกันเฉพาะคืนวันอังคารกับคืนวันพฤหัสบดีเท่านั้น และจำกัด เพียงแค่การรับประทานอาหารค่ำ จากนั้นจะขับรถตรงกลับบ้านไม่มีการเลยไปไหนทั้งสิ้น นอกเสียจากจะเป็นวันสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นไปในอีกรูปแบบ
และสำหรับคืนวันนี้ ซูซานออกจะดีใจอยู่มากที่การรับประทานอาหารค่ำได้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากบรรยากาศมันไม่ใคร่จะสนุกเหมือนคืนอื่น ๆ และสาเหตุก็เนื่องมาจากมิทช์ เบรเดนนั่นเอง
การล่ำลากันระหว่างเธอกับเขาในรถที่จอดอยู่นอกตัวบ้านเป็นไปเพียงแค่ชั่วครู่ จุมพิตอันดูดดื่มนั้นสงวนไว้สำหรับคืนสุดสัปดาห์ เมื่อมีเวลาที่จะตามใจตัวเองได้มากกว่านี้ ซึ่งในยามดังกล่าววอร์เรนจะเต็มไปด้วยการแสดงอำนาจ และมึนเมาอยู่ในอารมณ์รักอย่างมหัศจรรย์ และอาจจะเป็นช่วงเวลาเช่นนั้นกระมังที่ทำให้ซูซานคิดไปว่า เธอหลงรักเขา
เพียงแต่ว่าเมื่อเธอกลับเข้าไปในตัวบ้านและมองตามรถคันที่ขับออกไปแล้วนั่นเอง ที่เธอบังเกิดความปรารถนาขึ้นเป็นครั้งแรกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะดำเนินไปด้วยความราบรื่นเช่นที่ทำนายไว้ แม้ว่ามันจะสร้างความแปลกใจให้อยู่ในเวลานี้ แต่ก็หวังว่ามันจะดำเนินไปได้ด้วยดี
แน่นอนที่ว่า มิทช์ เบรเดน ซึ่งเขาจะเป็นใครก็ตามได้สร้างความแปลกใจให้เกิดขึ้นในคืนวันนี้ ความรู้สึกระหว่างเธอกับเขาจะไม่ใคร่ดีนัก และวอร์เรนก็ยังสำแดงความหึงหวงออกมา แต่ซูซานก็ยังคิดว่าการเผชิญหน้าทำนองนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นมาเลย เธอไม่อยากจะเห็นอารมณ์หึงหวงของวอร์เรน