บทย่อ
ซูซาน เมบรี เป็นเลขานุการของ วอร์เรน ซุลลิแวน ทนายความหนุ่มผู้มีชื่อเสียง เขามิได้เป็นแค่นายจ้าง ของเธอเท่านั้น แต่ยังเป็นคู่หมั้นที่หมายใจจะแต่งงาน กับเธอในเดือนสิงหาคมที่จะถึง มิทซ์ เบรเดน นักแข่งรถมือระดับโลก เดินทางมาถึง เมืองอินเดียนาโปลิส เพื่อเข้าแข่งใน อินดี 500 เรซ ซึ่งทําให้เขาพบเธอครั้งแรก ขณะ วอร์เรน พา ซูซาน ไปรับประทานอาหารค่ําที่ร้านอาหารเลิศหรูแห่งหนึ่ง และนับแต่วาระนั้น เขาได้เฝ้าติดตามเพื่อผูกสัมพันธ์ กับครอบครัวเธอตลอดมา อุบัติเหตุ ร้ายแรงเกิดขึ้นกับมิทช์ เบรเดนในการแข่งรถ ครั้งนี้ ทําให้เขาต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ที่พ่อของซูซานเป็นแพทย์ใหญ่อยู่ นายแพทย์ไซมอน เมบรี เคยเป็นนักแข่งรถมาก่อน จึงพอใจในตัวเขาเป็น พิเศษ ถึงขนาดเชื้อเชิญให้เขามาพักที่บ้านเมื่อออกจาก โรงพยาบาล อุปสรรค อันยิ่งใหญ่บนเส้นทางสายรักระหว่าง.. ซูซาน กับ มิทช์ คือ วอร์เรน ซุลลิแวน!
บทที่ 1
เปลวเทียนไหวระริกอยู่ในแสงสลัว กุหลาบดอกงามชูช่ออยู่ในแจกันทรงเรียว เป็นองค์ประกอบที่ทำให้บรรยากาศซึ้งใจยิ่งเสียกว่าในห้องเครื่องดื่มที่ตามไฟไว้อย่างจัดจ้า
ซูชานยกแก้วเครื่องดื่มบางเฉียบขึ้นจิบ แสงจากดวงเทียนส่องต้องเรือนผมสีน้ำตาลเข้มหยักสลวย เกล็ดเกลือบาง ๆ ที่ทาอยู่รอบขอบแก้วเป็นประกายราวแก้วผลึก เธอใช้ลิ้นเลียลิ้มชิมรสเกลือที่ติดอยู่กับเรียวปากอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อวางแก้วกลับลงบนโต๊ะตัวเล็กตรงหน้า
และแล้ว เธอก็ปรายตามองไปทางบุรุษผู้นั่งอยู่ตรงข้ามเป็นครั้งที่พันแล้วกระมังที่ซูซานเฝ้าพิจารณาใบหน้าที่แฝงแววถือตัว จนเกือบจะคล้ายความโอหังนั้น เป็นใบหน้าที่ประกอบด้วยสันกรามที่หนักแน่น ริมฝีปากบางเฉียบ จมูกโด่งเป็นสันดวงตาเป็นสีเข้มเกือบดำ ฉายแววไม่ยินดียินร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น คิ้วเข้ม เรือนผมของเขาเกือบจะเป็นสีเดียวกับของเธอ เพียงแต่ว่าในแสงสลัวยามนี้ ทำให้มันดำสนิทราวกับขนกาน้ำ มิได้เป็นประกายอมทองเช่นของเธอเท่านั้น
วอร์เรน ซูลลิแวน มิได้มองมาทางเธอ เขากำลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องเครื่องดื่มแห่งนั้น ด้วยดวงตาคมปลาบที่บอกถึงความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ซูซานมีความรู้สึกว่า ในยามนี้ เขากับเธอช่างห่างไกลกันเสียเหลือเกิน
เธอโน้มตัวเข้าไปหาเขา เอื้อมมือไปแตะนิ้วเรียว ๆ ที่เกาะกุมอยู่กับแก้วเครื่องดื่ม ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ทำให้คอเสื้อรูปตัววีเผยออก เผยให้เห็นเสื้อชั้นในที่ประดับด้วยลูกไม้แสงเทียนสาดลงต้องเพชรที่ประดับอยู่บนเรือนแหวนที่เธอสวมใส่อยู่เป็นประกายระยิบ เล็บเรียวงามนั้นได้รับการตบแต่งไว้ในแบบที่วอร์เรนชอบ
สัมผัสจากฝ่ามือนั้น เรียกให้เขาหันกลับมามองหน้าเธอแววในดวงตาอ่อนโยนลง รอยยิ้มอ่อน ๆ ฉาบฉายขึ้นที่ริมฝีปากเขาละมือจากแก้วเครื่องดื่ม จับปลายนิ้วของเธอไว้ ซูซานพยายามที่จะไม่ใส่ใจกับรอยยิ้มที่ไร้ความอบอุ่นนั้น เพราะถึงอย่างไรเธอก็ยังเห็นแววชื่นชมในดวงตาของเขายามที่มองมายังเธอ
“เราจะเป็นคู่แต่งงานที่เหมาะสมกันมากทีเดียว ซูซาน” ความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ถูกเปล่งออกมาเป็นคำพูดเรียบ ๆ คล้ายกับว่า เขาได้ตั้งคำถามอยู่กับตัวเองตลอดเวลา และเพิ่งจะหาคำตอบที่ถูกต้องได้ด้วยความพอใจอย่างยิ่ง
ซูซานยิ้มให้เขา แผงขนตาสีเข้มหรุบลง บัดนี้เธอเคยชินเสียแล้วกับลักษณะการพูดจาของวอร์เรน ซึ่งห่างไกลจากคำพูดหวาน ๆ มาก แต่เธอก็มิได้นึกรังเกียจอย่างใด เขาไม่เคยพูดจาประสาคนรักเป็นเชิงขอแต่งงานกับเธอด้วยซ้ำ เพียงแต่บอกตรง ๆ ว่าเขากับเธอจะต้องแต่งงานกัน และถือว่า การที่เธอตอบรับตกลงที่จะแต่งงานด้วยนั้น เป็นสิ่งที่เขาคาดคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็อยากจะขอถามท่านทนายความสักหน่อยได้ไหมคะ ว่าทำไมถึงได้รับประกาศคำพิพากษาทำนองนี้ ในขณะที่พวกลูกขุนไม่ได้นั่งรวมอยู่ในห้องด้วยล่ะ?” เธอพูดเสียงเบาเผยอเปลือกตาขึ้นมองหน้าเขา ซึ่งออกจะห่างไกลจากคำว่าอ่อนโยนอยู่มาก
และริมฝีปากของเขาก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเป็นรูปรอยคล้ายจะยิ้มอีกครั้ง
“ก็เพราะว่า... ฟังนะ ที่รัก ขณะที่คุณตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอยู่นั้น ผมแทบจะมองไม่เห็นความเป็นผู้หญิงของคุณเลยน่ะสิ ผมหมายถึงว่า ผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงอย่างที่คุณกำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ คุณน่ะมีนิสัยคล้ายกับผมมาก คือไม่ยอมให้เรื่องส่วนตัวเข้ามาปะปนกับเรื่องงานที่กำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้นผมถึงได้บอกว่าเราทั้งสองคนจะเป็นคู่แต่งงานที่เหมาะสมกันอย่างที่สุดไงล่ะ”
“ที่คุณพูดมาก็เป็นความจริงอยู่หรอกค่ะ” เธอตอบ และได้เห็นเขายักไหล่เบา ๆ ราวกับว่า มันเป็นเรื่องสำคัญที่รองลงมาเท่าที่ซูซานจะทำได้ก็เพียงแต่สะกดกลั้น มิให้ตัวเองต้องถอนใจออกมาเท่านั้น
หลายต่อหลายครั้ง ที่ซูซานอดคิดไม่ได้ว่า วอร์เรนรักเธอจริง ๆ หรือเปล่า ก็ออกจะโชคดีอยู่บ้าง ที่มันยังมีอยู่หลายครั้งที่เขาสามารถทำให้เธอเชื่อเช่นนั้นได้ และในยามนี้ เธอก็ใคร่ที่จะได้อยู่กับเขาตามลำพังสองต่อสองในสถานที่ซึ่งมิใช่มากด้วยผู้คนเช่นนี้ เพื่อที่ว่าเขาจะได้สร้างความมั่นใจให้เกิดกับเธอได้มากขึ้น
เธอไล้นิ้วไปตามขอบแก้วที่เคลือบไว้ด้วยเกล็ดเกลือ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าวอร์เรนกำลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องอีกแล้ว และราวกับว่า เขารู้สึกตัวว่าเธอกำลังมองเขาอยู่ วอร์เรนจึงได้เบือนสายตากลับมามองและประสานกับแววชื่นชมบูชาในสายตาที่เธอกำลังมองเขาอยู่
“ ผมเคยคิดสงสัยอยู่เสมอนะ” เขาเอยขึ้นอย่างใคร่ครวญ “ว่ามันจะต้องใช้เวลาอีกนานสักแค่ไหน กว่าที่ผมจะเกิดความสนใจในตัวคุณ ถ้าหากว่าพ่อผมไม่เกิดเจ็บขึ้นมา และผมจะต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนของท่านในงานเลี้ยงวันคริสต์มาสตอนนั้นคุณทำงานอยู่กับเรามานานเท่าไหร่? ... 2 ปีได้ไหม?”
“ 4 ปีค่ะ” ซูซานกล่าวแก้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คือฉันเป็นพนักงานพิมพ์ดีดอยู่ 2 ปี แล้วก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นเลขานุการของคุณอีก 2 ปี”
“ ผมเคยคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าคุณน่ะเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก” วอร์เรนพูดต่อ มิได้รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ กับการที่เขาไม่รู้ว่าเธอทำงานกับบริษัทมานานเท่าไรแล้ว “แต่คุณออกจะเป็นคนชาเย็นสงบเสงี่ยมมากเสียจนผมเดาไม่ออกว่า จริง ๆ แล้วคุณเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตจิตใจ ร่าเริง เพียงแต่เอาเสื้อคลุมแห่งประสิทธิภาพในการทำงานมาสวมไว้เท่านั้น จนกระทั่งถึงวันงานวันนั้น ... ที่คุณถอดเสื้อคลุมออก ... ”
“คุณนึกไม่ถึงสินะคะ ที่รัก” ซูซานพูดเสียงเครือ “ว่าวันนั้น วันที่พนักงานฝ่ายหญิงของซุลลิแวน แอนด์โฮลเมส เขาดีใจกันขนาดไหน ตอนที่ได้รู้ว่า คุณจะมาร่วมงานฉลองคริสต์มาสกับพวกเราด้วย”
“รวมทั้งคุณด้วยอย่างนั้นหรือ?” เขาเน้นเสียงถาม
“สงสัยว่าฉันอาจจะเป็นคนที่แสดงความยินดีดังกว่าใครมังคะ” เธอยิ้มอย่างนึกขัน “ฉันก็เคยบอกคุณแล้วไงคะ ว่าฉันหลงรักคุณตั้งแต่วันแรกที่ฉันเห็นหน้าคุณด้วยซ้ำ แต่ในขณะที่คุณมีพวกสาว ๆ ในวงสังคมเดียวกันคอยจ้องคุณอยู่อย่างนั้นมากมายนั่น ฉันไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะเป็นผู้หญิงที่คุณเลือก”
“พวกนั้นเป็นพวกที่ไม่มีสมองทั้งนั้นแหละน่า” เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม “ผมไม่เคยสนใจเลยสักคนเพราะต้องการจะมองหาใครสักคนที่เหมือนคุณ คือมีทั้งไหวพริบปฏิภาณ มีความเข้าใจในตัวผมเข้าใจไปถึงหน้าที่การงานและตำแหน่งที่ผมดำรงอยู่ และพร้อมที่จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนผมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปกว่านี้ด้วย จนกระทั่งผมพบคุณเข้า ผมเคยพบผู้หญิงมาหลายต่อหลายคนที่มักจะอารมณ์เสีย ทำกระด้างกระเดื่องเข้าใส่ พอรู้ว่า ผมจำเป็นจะต้องสละเวลาให้กับงานมากกว่าที่จะให้กับเขา”
“อันที่จริงคุณควรจะออกเดทกับลูกสาวคุณหมอมากกว่านะคะ” ซูซานพูดปนหัวเราะ “เพราะฉันไม่เคยรู้อะไรมากไปกว่าเรื่องการเรียนหนังสือหนังหาเท่านั้น ผู้หญิงบางคนเขาก็คิดว่าการที่จะมีลูกไปพร้อม ๆ กับเรียนหนังสือน่ะมันไม่ใช่เรื่องที่ผิดแผกแตกต่างหรือเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตของเขาได้ มันไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เคยเสียใจที่ไม่มีใครมาสนใจตัวฉันหรอกนะคะ เพียงแต่ว่าแม่เคยสอนฉันอย่างอดทน และด้วยความเข้าใจอย่างที่สุดว่า ยังมีเวลาอีกมากมายนักที่คนเราจะได้เรียนรู้ในเรื่องอย่างนี้”
ซูซานรู้ว่า วอร์เรนก็ฟังที่เธอพูดอยู่ แต่กระนั้น เขาก็ยังนั่งในท่าเอี้ยวตัว กวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องอยู่นั่นเอง สำหรับค่ำวันนี้ ทั้งเขาและเธอ มิได้นัดหมายที่จะพบกับใครไว้ ซึ่งทำให้เธออดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงได้แสดงความสนใจในลูกค้าคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ตามโต๊ะต่าง ๆ นัก แต่แล้วความสนใจใคร่รู้นั้น ก็ได้รับการเฉลยในเวลาไม่นานนัก เมื่อเขาเบือนหน้ากลับมามองเธออี