บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

“ผมดีใจที่คุณเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง” วอร์เรนเอ่ยขึ้นอีกจะเป็นเพราะว่าเธอคิดไปเอง หรือว่าสีหน้าของเขาจริง ๆ นะที่กร้าวกระด้างขึ้นกว่าในตอนแรก? “ อาทิตย์หน้านี่งานก็ยุ่งอีกแล้วเพราะพ่อผมจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัด”

“ ฉันแน่ใจว่าหมอเขาคงจะตรวจพบว่า เนื้องอกที่คุณพ่อของคุณเป็นอยู่คงจะไม่ร้ายแรงอะไรนักหรอกค่ะ” ซูซานพูดเป็นเชิงปลอบโยน เพิ่งตระหนักแน่ว่า การที่สีหน้าของวอร์เรนเปลี่ยนไปนั้น เนื่องมาจากความห่วงใยในสุขภาพของบิดา เพราะทั้งสองเป็นพ่อลูกที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก

“ผมน่ะแน่ใจอย่างที่สุดว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น” เขาผงกศีรษะรับอย่างเป็นงานเป็นการ ก่อนที่จะปรายตามองไปทางโต๊ะด้านข้างอีกครั้ง ริมฝีปากเครียดขึ้น “แต่ถ้าเขาจะไล่ไอ้คนไร้มรรยาทออกไปจากที่นี่ยังจะแน่นอนกว่า”

“วอร์เรนคะ?” ซูซานเอียงคอมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ “มีอะไรหรือคะ?”

สีหน้าของเขาสำแดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“ก็ไอ้ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวที่สองนั่นน่ะสิ... อย่า ... อย่าเพิ่งหันไปมองนะ” เขาสั่งเสียงเครียด “มันมองคุณอย่างไร้กิริยาที่สุดมาตั้ง 10 นาทีกว่าแล้ว”

“มองฉัน”? เธอร้องออกมาเบา ๆ อย่างไม่เชื่อหู “คุณแน่ใจหรือคะ?”

“แน่ใจที่สุด” วอร์เรนตอบด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น

“บางทีอาจจะเป็นคนที่ฉันรู้จักก็ได้นะคะ บางทีอาจจะเคยเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกันมาก็ได้” ซูซานพูดอย่างไม่แน่ใจนัก “คุณว่าโต๊ะตัวที่สองใช่ไหมคะ”?

“ใช่ ลองหันไปมองดูสิ แต่อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนักก็แล้วกัน” เขาสั่งอีก

อันที่จริง ถ้าเขาจะพูดประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ มันก็ยังจะน่าฟังกว่าการออกคำสั่งเอากับเธอเช่นนี้มากกว่า ซูซานจึงรับฟังด้วยความเฉยเมย เอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้ไว้ แสร้งทำเป็นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องก่อนที่จะมาหยุดอยู่ตรงร่างของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวที่สอง และประสานสายตาที่เขากำลังมองมาอย่างตั้งอกตั้งใจซูซานมิได้สงสัยเลยว่าเขากำลังมองใครอื่นที่มิใช่เธออยู่

ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ตรงโต๊ะแต่ลำพัง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ นิ้วหัวแม่มือเกี่ยวอยู่กับห่วงกางเกงเสื้อนอกเผยออ้า เขาอยู่ในสูทสีน้ำตาลประหลาด ๆ คล้ายสียาเส้นซึ่งแม้จะนั่งอยู่ไกลกันขนาดนี้ ซูซานก็ยังพอสังเกตเห็นได้ว่ามันเป็นสูทราคาแพง

เรือนผมของเขาเป็นสีน้ำตาลอ่อน อมประกายสีทองเข้มทรงผมเป็นรูปเดียวกับวอร์เรน เครื่องแต่งตัวผนวกกับกิริยาท่าทางของเขาในยามนี้ ทำให้มองเห็นว่า เขามิใช่คนที่จะยอมใครง่าย ๆ ใบหน้าที่คมสันยังประกอบด้วยแนวลึก ๆ รอบริมฝีปากและดวงตา ซึ่งบอกให้รู้ว่าเขาเป็นคนยิ้มง่ายอีกด้วย ถ้าจะให้ซูซานวิจารณ์เกี่ยวกับรูปลักษณ์ของผู้ชายคนนี้ เธอก็อยากจะคิดว่าเขาออกจะมีท่าทางเหมือนเด็กหนุ่ม ๆ ที่ร่าเริง แจ่มใสอยู่เป็นนิจเพียงแต่ว่า มันแฝงความทระนงองอาจ และความเป็นบุรุษเพศอยู่เต็มตัวเท่านั้น ซึ่งทำให้คล้ายกับกำลังมองม้าเกเรสักตัวหนึ่งและใบหน้าอย่างนี้ รอยยิ้มอย่างนี้ น่าจะครอบครองหัวใจหญิงมาเสียนักต่อนักแล้ว

และแล้ว การพินิจพิจารณาหน้าตาของเขาก็มาหยุดอยู่ตรงดวงตาคู่สีฟ้า ซึ่งฉายแววยิ้มอยู่อย่างเปิดเผย ซูซานไม่อาจจะปัดความคิดที่ว่า เธอคุ้นหน้าคุ้นตากับใบหน้าของชายคนนี้อยู่มากเธอยังจ้องมองหน้าเขาอยู่อีกเป็นครู่ขณะที่พยายามจะคิดให้ออกว่า เขาควรจะเป็นใครกันแน่

และผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ก็ใช้เวลาในนาทีนั้นจับตามองหน้าเธออย่างโอหัง ขณะที่เขากวาดสายตาไปทั่วเรือนร่างของเธอนั้น ซูซานมีความรู้สึกราวกับว่า เขาค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าออกจากเนื้อตัวเธอทีละชิ้น แววโลมเลียในสายตาของเขา ทำให้เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วเรือนกาย รีบเบือนหน้าหนีเสีย ก่อนที่จะมั่นใจว่าเคยพบหน้าเขามาก่อน

“เป็นไง?” เสียงวอร์เรนเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่พอใจ

สีหน้าของเขาบอกให้รู้ว่ากำลังโมโห และซูซานก็รู้ว่า เขาจะต้องเห็นสายตาที่ผู้ชายคนนั้นมองมาทางเธออย่างโลมเลียเข้าด้วย มันมีอยู่สิ่งหนึ่งในความผิดพลาดเกี่ยวกับตัววอร์เรนก็คือเขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโหง่ายนั่นเอง เธอเกือบจะพูดออกไปแล้วว่า เธอรู้จักกับผู้ชายคนนี้ แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เธอไม่คิดว่าวอร์เรนจะสนใจอีกต่อไปว่าเธอจะรู้จักหรือไม่

“ฉันไม่เคยรู้จักกับเขาหรอกค่ะแม้ว่าจะรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้ามาก่อนก็เถอะ” เธอตอบออกไปมันไม่เกิดประโยชน์อะไรที่จะทำให้วอร์เรนเห็นว่า เธอเองก็บังเกิดความยุ่งยากใจขึ้นมาเหมือนกัน

วอร์เรนตวัดสายตามองไปทางผู้ชายคนนั้นอย่างขึ้งโกรธอีกครั้ง กรามนูนขึ้นก่อนที่จะตวัดสายตากลับมามองเธอ

“ผมว่ามันชักจะมากเกินไปหน่อยแล้วนะ”

“เราก็อย่าไปสนใจเขาสิคะ” ซูซานตอบพลางยักไหล่

“คุณจะทำไม่สนใจได้ยังไงในเมื่อมันมองอย่างไร้มรรยาทอย่างนี้” เขาพูดเสียงประชด “เห็นจะต้องสั่งสอนกันเสียหน่อยแล้วละมั้ง”

“ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับคุณเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือนะสิคะ” ซูซานว่า การพูดตามความจริงเท่านั้น ที่จะช่วยขจัดแรงอารมณ์ของวอร์เรนได้ “ยิ่งกว่านั้น” เธอปรายตามองไปทางผู้ชายคนที่เป็นชนวน ซึ่งขณะนี้เขากำลังผุดลุกขึ้นยืน “เขาก็กำลังจะออกไปอยู่แล้ว”

แต่วอร์เรนดูเหมือนจะไม่พอใจเพียงแค่คำพูดของซูซานที่ว่า ผู้ชายคนนั้นกำลังจะกลับ จึงเหลือบตามองดูด้วยตนเองและแล้ว ดวงตาก็เป็นประกายกล้าขึ้นเมื่อตวัดกลับมามองหน้าซูซาน

“คุณแน่ใจหรือว่าไม่รู้จักไอ้หมอนั่น?” เขาถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น “ฉัน ... ” ซูซานเองก็ออกจะไม่ใคร่แน่ใจนัก แต่แล้วก็ยักไหล่ ปัดความคิดที่ว่ารู้สึกคุ้นหน้ากับคน ๆ นี้อยู่ออกเสียจากสมอง “ฉันแน่ใจค่ะ” เธอผงกศีรษะรับเป็นการยืนยัน

“งั้นคุณช่วยบอกผมหน่อยสิว่าทำไม” วอร์เรนพูดต่อด้วยน้ำเสียงขุ่นขึ้ง “เขาถึงต้องเดินตรงมาที่โต๊ะเราด้วย”

ดวงตาคู่สีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างแปลกใจ ยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ระย้าย้อยอยู่ตรงหน้าผากอย่างใจคอไม่ใคร่ดี ขณะที่เหลือบตามองไปยังผู้ชายคนนั้นอย่างตื่น ๆ เขากำลังเดินทอดน่องช้า ๆ เข้ามาที่โต๊ะ แฝงความเจ้าเล่ห์อยู่ในตัว ซูซานรีบสะบัดหน้ากลับทันที

“สมองของเธออึงอลอยู่ด้วยคำถามที่ว่า เธอเคยรู้จักคน ๆ นี้หรือเปล่านะ? ถ้ารู้จัก ทำไมเธอจะลืมเขาได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น? และแล้วเธอก็ตอบคำถามในใจตัวเองว่า ไม่รู้จักแน่ ซึ่งเป็นคำตอบที่มั่นใจอย่างที่สุด แต่กระนั้น ทำไมเขาต้องเดินตรงมาทางโต๊ะที่เธอกับวอร์เรนกำลังนั่งอยู่ด้วยเล่า? วอร์เรนเป็นคนที่มีความจำแม่นยำไม่ว่าจะเป็นแค่ใบหน้า หรือชื่อ ของคนที่เคยได้ผ่านพบมา เพราะฉะนั้นต้องไม่ใช่เขาแน่ที่ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้กำลังเดินตรงมาหา

"เมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะ ซูซานไม่อาจจะเงยหน้าขึ้นมองเป็นเชิงถามได้ มือไม้ดูจะสั่นสะท้านไปหมด ได้แต่บีบเข้าหากันไว้ ภาวนาอยู่ในใจขออย่าให้วอร์เรนได้สังเกตเห็นว่าขณะนี้เธอกำลังตกอยู่ในอารมณ์หวั่นไหวมากมายเพียงใด เพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่จับพิรุธได้

“ขอโทษนะครับ” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังอย่างที่สุด

อย่างไม่ได้ตั้งใจเลยที่ซูซานเชิดหน้าขึ้น ต้องการที่จะแสดงให้ผู้ชายคนนี้เห็นว่า เธอมิได้สนใจไยดีเลยกับการปรากฏตัวของเขา แต่ดวงตาคู่สีฟ้าที่อาบแววหัวเราะไว้พราวแพรวนั้นมีได้มองมาทางเธอ เขากลับจรดจ้องอยู่กับใบหน้าของวอร์เรนซึ่งกำลังเงยขึ้นมองเขาอย่างท้าทายอยู่เป็นนัย

“คุณคงไม่รู้จักผมหรอกนะครับ” ผู้ชายคนนั้นพูดต่อซึ่งช่วยลบล้างความข้องใจของซูซานลงไปอย่างหมดสิ้น “ผมชื่อมิทซ์ เบรเดน” มีเสียงกริ่งดังขึ้นในสมองของเธอ แต่มันก็ไม่ดังพอที่จะทำให้เธอรู้ได้ว่าเป็นเพราะอะไร “ที่ผมเดินเข้ามาหาคุณนี่ก็เพื่อขออภัยในความหยาบคายของผม” เขายื่นมือออกไปทางวอร์เรน “ ผมเกรงว่าคงจะทำให้คุณรำคาญใจที่มานั่งจ้องหน้าเพื่อนสาวของคุณอยู่”

แวบหนึ่งที่เขาปรายตามองมาทางซูซาน ก่อนที่ตวัดกลับไปทางวอร์เรน ฝ่ามือยังคงยื่นอยู่พร้อมกับคำขออภัยที่มิทช์กล่าวออกมาทำให้วอร์เรนต้องยอมสัมผัสมือกับเขา ซึ่งมิได้หมายความว่าเขายอมรับในคำขออภัยนั้นเพียงแต่ว่า ไม่ต้องการจะสำแดงกิริยาหยาบคายมากกว่า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel