9.เหนื่อยจะพูด
ลั่วเฟยเดินมารินชาแล้วส่งให้ ทว่ามันก็ไม่พอนางจึงขออีก ทำเอาคนที่ใจเย็นลงเริ่มจะร้อนอีกแล้ว
“เอ๊ะ! เอ๊ะ! อย่าพึ่งตำหนินะเจ้าคะ คนคอแห้งน้ำจอกเดียวมันจะไปอิ่มได้ไง ร่างกายคนเราต้องการน้ำวันละแปดแก้ว ถึงจะเพียงพอกับการทำงานของร่างกาย ข้อนี้คงยังไม่มีใครบอกใช่หรือไม่ ต้องดื่มน้ำเยอะ ๆ ยามเจ็บป่วยก็ดื่มน้ำให้มาก จะได้หายไวไว” สอนอีกฝ่ายไปในตัว และผู้ที่นางเอ่ยด้วยคือซื่อจื่อที่หมายจะต่อว่านางนั่นเอง
“ข้าน้อยไม่คิดจะเป็นปรปักษ์กับผู้ใด อยากอยู่อย่างสงบ แค่ที่พบเจอมาก็หนักหนาแล้ว ตื่นขึ้นมาก็อยู่ในร่างนี้ ทั้งที่ความเป็นจริงตายแล้วก็น่าจะอยู่ในยุคของตนเอง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเกิดใหม่ในร่างนี้” นางไม่ได้เอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัย ถึงนิยายที่ตนเขียนใส่ร้ายตัวละครนามว่าถงอวี้หรูผู้นี้ แม้ในใจจะเชื่อไปครึ่งหนึ่งแล้วก็เถอะ
“เจ้ามีสิ่งใดพิสูจน์ให้เห็น หากเจ้าทำได้ข้าอาจจะเชื่อ” เสียงของกั๋วกงเอ่ยออกมา พร้อมกับจ้องมองนางด้วยสายตาคมดุ กดดันสตรีตัวน้อยที่หมายจะเล่นตลกกับตน
“ยุคนี้ยังคงใช้ม้วนตำราไม้ไผ่ใช่ไหมเจ้าค่ะ การใช้กระดาษยังมีน้อยมาก และมีเฉพาะในวังเท่านั้น ข้าน้อยจะทำกระดาษที่ขาวสะอาด และสามารถใช้ได้ทนทานกว่าอันที่มีอยู่ในยามนี้เจ้าค่ะ” บอกเสียงใส คงมีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ง่ายและเร็วสุด ขอเพียงสิ่งที่ต้องการครบ ซึ่งมันคงไม่ยากนักหากใช้บารมีของกั๋วกง
“เพ้อเจ้อ กลับไปดูแลคนของเจ้าได้แล้ว” โจวเยว่เอ่ยปากไล่ทันที เมื่อได้ยินสตรีตัวน้อยเอ่ยไปเรื่อย คนในราชสำนักส่งคนไปศึกษากรรมวิธีทั่วแคว้น ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องทำเช่นใด ทว่าสตรีตัวน้อยที่อยู่แต่ในจวนกลับบอกว่าตนสามารถสร้างกระดาษที่ขาวสะอาดได้ ช่างเป็นเรื่องตลกในรอบปีให้ขำขันเสียจริง
“หากไม่ให้ข้าน้อยลอง จะรู้ได้เยี่ยงไรเจ้าคะว่าเพ้อเจ้อ ขอแค่มีอุปกรณ์ครบข้าน้อยก็ทำได้” บอกเสียงดังฟังชัด
ทว่าพ่อลูกก็ไม่ได้เชื่อที่นางเอ่ย มิหนำซ้ำยังสั่งให้คนของตนพานางกลับไปส่งที่เรือน อวี้หรูจึงได้แต่ค้อนขวับเข้าให้ ก่อนจะเดินออกไปเพราะต่อให้พูดจนไม่มีเสียง สองพ่อลูกก็คงมองว่านางเสียสติอยู่ดี ต้องทำให้เห็นเท่านั้นเขาถึงจะเชื่อว่านางพูดจริง
“โจวเยว่เจ้าคิดจะรับนางเป็นภรรยาจริงหรือ สตรีเสียสติเช่นนี้เลี้ยงเอาไว้มีแต่จะนำพาความอับอายมาให้นะ” เสียงบิดาเอ่ยทักท้วง
เพราะไม่อาจทำใจรับสตรีนางนี้มาเป็นสะใภ้ได้ หากบุตรชายบอกว่ารับมาเป็นอนุก็ยังพอฟัง ทว่าโจวเยว่กลับหมายจะให้คุณหนูรองสกุลถงผู้นี้เป็นภรรยาเอก ซึ่งมันดูไม่เหมาะควรเลยสักนิด
โจวเยว่นิ่งไปพักหนึ่ง ที่รับอวี้หรูเข้ามาก็คาดหวังจะใช้นางกันการแต่งงานกับสกุลฟ่านเท่านั้น ใครจะคิดว่านางจะเสียสติเอ่ยไปทั่วเช่นนี้ กิริยามารยาทก็หาดูไม่ได้เลย แม้บางทีจะรู้จักพูดจาอ่อนน้อมก็เถอะ
“ท่านพ่อ หากคืนนั้นคนรังแกนางมิใช่ลูก ยามนี้อวี้หรูอาจแต่งงานกับบุรุษที่ทำนางเสื่อมเสียไปแล้ว หาใช่บุรุษที่ทำแล้วไม่รับผิดชอบเช่นลูก” เอ่ยความผิดของตน หากเขาแสดงตัวในคืนนั้นคงถูกจับแต่งกับนางไปแล้ว แต่ถ้าทำเช่นนั้น สกุลเผยก็ต้องรู้ว่าผู้ใดเอาบัญชีลับไป
“หาผู้อื่นไม่ได้หรือ รับนางเป็นแค่อนุก็ได้” บิดายังเอ่ยแนะ ทว่าพอเห็นสายตาของบุตรก็ต้องเงียบเสียงลง
เหล่าคนสนิทต่างก็นึกขำในใจ เพราะพ่อลูกคุยกันคราใดก็เป็นฝ่ายพ่อที่ต้องยอมตลอด ยกเว้นยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น โจวเยว่จะนิ่งเพื่อรักษาหน้าบิดา
สุดท้ายการหารือก็จบลงที่รับอวี้หรูเป็นภรรยาเอกเช่นเดิม แม้ในใจของโจวเยว่จะลังเล ทว่าเท่าที่ฟังคำพูดนาง สตรีผู้นี้ไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงเช่นหญิงสาวนางอื่น
“เช่นนั้นคงต้องหาคนมาสอนมารยาทนาง ก่อนจะพบเจอผู้คน ว่าแต่เจ้าจะทำเช่นใดยามพูดคุยกับใต้เท้าถง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม กังวลว่าการเผยตัวของโจวเยว่ จะทำให้อีกฝ่ายสงสัยในตัวบุตรชาย เพราะคืนนั้นมีโจรแอบเข้าห้องลับ แม้สกุลเผยจะไม่ได้แจ้งทางการ แต่ยังสั่งให้คนตามล่าตัวโจรผู้นั้นอยู่ กั๋วกงเกรงบุตรชายจะตกเป็นเป้า
“เรื่องนี้ท่านพ่ออย่าเป็นกังวล ลูกเตรียมการณ์ไว้ตั้งแต่รู้ข่าวว่านางสิ้นใจแล้วขอรับ” บอกบิดาให้คลายกังวล ทำให้กั๋วกงอยากรู้ยิ่งนัก
“อย่างไรหรือ?” รีบถามทันที
“บอกไปตามตรงขอรับ อย่างไรเสียคืนนั้นลูกก็ได้รับเชิญ แค่บอกว่าเห็นคุณหนูรองถงเดินอยู่ในสวน ลูกเกิดเข้าใจผิดคิดว่านางคือคุณหนูใหญ่ เลยตามเข้าไปในห้องนั้นด้วยจนเกิดเลยเถิดกัน พอรู้ทีหลังว่าไม่ใช่ก็เลยหนีออกมาตั้งหลักก่อน เมื่อคิดได้ก็กลับมาสู่ขอนาง เอ่ยเช่นนี้ท่านพ่อคิดเห็นเป็นเช่นไรขอรับ” บอกแผนที่ตนวางไว้ ซึ่งมันถูกใจบิดาเขามาก จนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะเอ่ยเย้า
“หึหึ เหมาะกับคุณชายเสเพลเช่นเจ้ามาก”
โจวเยว่ยกยิ้มตามบิดาเพราะเป็นจริงเช่นที่ท่านเอ่ย ทั่วแคว้นมีใครบ้างไม่รู้ฉายาของซื่อจื่อผู้นี้ เสเพล ชอบเที่ยวหอนางโลม ดื่มกินจัดเลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง ทว่าเบื้องหลังคือผู้ตรวจการของฮ่องเต้ ผู้ถือป้ายหยกเขียวอาญาสิทธิ์ ชำระความเหล่าทรราชย์ที่ฉ้อโกงบ้านเมือง ไปที่ใดผู้คนก็กลัวเกรง เห็นเพียงผ้าคลุมก็ตื่นกลัวแล้ว
เหตุที่ไม่มีใครรู้ก็เพราะยามเขาปฎิบัติงาน โจวเยว่จะสวมหน้ากากอินทรีสีขาวปิดบังใบหน้า รวมถึงองครักษ์ผู้ติดตามทั้งสามด้วย จึงไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
“เช่นนั้นเจ้าจะให้พ่อจัดการเช่นใดก็บอกแล้วกัน วันนี้พ่อเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักก่อน” เอ่ยจบกั๋วกงก็ลุกแล้วเดินออกไป บุตรชายก็ลุกขึ้นคำนับ
“นายน้อยจะให้นางเป็นภรรยาจริงหรือขอรับ” คนสนิทถามย้ำ เพราะเกรงว่าผู้เป็นนายจะอับอาย หากรับสตรีเสียสติผู้นั้นมาเป็นภรรยา
“หึ! จะต่อกรกับไทเฮาก็ต้องอาศัยคนเสียสติเช่นนี้แหละ ยิ่งนางไม่รู้กาละเทศะมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นผลดีมิใช่หรือ จะได้ไม่มีใครอยากยุ่งกับจวนสกุลหลิน ซื่อจื่อเสเพลกับฮูหยินเสียสติ เหมาะกันดียิ่ง” เพราะไม่อยากเป็นที่จับตาของผู้คน การทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดถือเป็นเรื่องดี อวี้หรูเป็นเช่นนี้มินานชาวเมืองก็จะโจษจันจนรู้ทั่วกัน
ต่อไปภายหน้าไทเฮาอาจจะเลิกจับจ้องสกุลเขา การเป็นญาติไทเฮาองค์ก่อนไม่ค่อยดีนัก เพราะฝ่ายในไม่วางใจอยากให้เขาพ่อลูกมีชีวิตอยู่ต่อ แม้ว่าฮ่องเต้จะรักเขามากกว่าพี่น้องแท้ ๆ และเคารพบิดาเขาดั่งพ่อ ทว่าคนเป่าหูก็มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เกรงว่าจะเอนเอียงในสักวัน
***************************************************
ห้องพักด้านหลัง อวี้หรูกำลังเช็ดตัวให้คนสนิทของตนด้วยผ้าเปียก ทำเอาสาวใช้ที่ถูกส่งมาช่วยดูแลถึงกับนิ่งงัน เพราะสตรีนางนี้ถอดอาภรณ์มู่เหนียงออกจนเหลือแต่ซับใน เช็ดตามซอกคอ รักแร้ ข้อพับขาหนีบ ก่อนจะเช็ดไล่ไปตามตัว แล้วห่มผ้าให้ครึ่งตัว มีผ้าชุบน้ำหมาด ๆ วางบนหน้าผาก แต่ละอย่างที่นางทำคนในยุคนี้ไม่ทำแน่
“นางจะไม่หนาวตายหรือเจ้าคะ” คนมาใหม่เกรงว่าจะทำให้คนป่วยเจ็บหนักกว่าเดิม เพราะเคยเห็นท่านหมอรักษาคนไม่มีใครทำเช่นนี้เลย
“อย่างนี้หายเร็วกว่าเชื่อเถอะ มียาหรือไม่ ข้าจะทาให้นาง” ตอบกลับแล้วก็ถามต่อ อีกฝ่ายก็ส่งสิ่งที่นางขอให้ อวี้หรูจับพลิกร่างคนสนิทก่อนจะทายาให้แผ่วเบา
“ขอโทษที่ข้าไม่ได้ดูแลพี่นะ ทั้งที่พี่ทำเพื่อข้าขนาดนี้ ต่อไปข้าจะไม่ลืมอีก” บอกกับคนที่ยังไม่ได้สติ ยังดีที่ยามนี้นางตัวไม่ค่อยร้อนแล้ว ต่อมาเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ท่านหมอมาเจ้าค่ะ” สาวใช้คนใหม่เอ่ยบอก ซึ่งอวี้หรูก็อนุญาตให้เข้ามาตรวจ ไม่นานท่านหมอก็จ่ายยา
“ดูเหมือนพิษไข้จะเบาลงแล้วนะขอรับ ดื่มยาสักสองสามวันก็น่าจะหายดี” เอ่ยบอกเจ้าของห้องที่หน้าประตู ซึ่งมีโจวเยว่และคนสนิทยืนอยู่ด้วย
“ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ” ย่อตัวอย่างนอบน้อม คนที่มองอยู่จึงยกยิ้มเมื่อเห็นท่าทีคนตัวเล็ก