8.ได้อยู่ต่อเพราะสงสาร
ภายในห้องโถงเงียบไปพักใหญ่ เมื่อเห็นท่าทางของสตรีตัวน้อย ซึ่งนางเอาแต่กอดเข่าก้มหน้าอยู่กลางห้อง
สองพ่อลูกมองหน้ากัน เพียงครู่ โจวเยว่ก็สั่งให้สาวใช้นางนี้เอ่ยเรื่องราวของคุณหนูรองต่อ เพราะอยากรู้ว่าคนสกุลนี้ทำเรื่องชั่วอันใดบ้าง โดยเฉพาะถงจินหมิ่นที่แต่งไปอยู่สกุลเผยแล้ว เรื่องนี้อาจมีที่มาที่ไปมากกว่าที่คิด
“เอ่ยเรื่องเมื่อครู่มาให้จบ มีใครรู้เห็นเรื่องวางยาอีก” เป็นลั่วเฟยที่กล่าวแทนผู้เป็นนาย
“เจ้าค่ะ” มู่เหนียงรับคำ ก่อนจะหันมาหาผู้เป็นนายที่ยังคงนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ แล้วเอ่ยเรื่องราวอีกครั้ง
“บ่ายวันที่คุณหนูใหญ่จะเข้าพิธีแต่งงาน ก่อนจะได้เวลานางกับนายท่านหารือกันเรื่องวางยาคุณหนูรอง คราแรกข้าน้อยก็ไม่เชื่อ ลำพังคุณหนูใหญ่ก็พอเข้าใจได้ เพราะนางริษยาน้องสาวมานานแล้ว ทว่า…ทว่านายท่านกลับร่วมมือด้วย ทำราวกับว่าคุณหนูไม่ใช่ลูกของตน ช่างเลวทรามต่ำช้ายิ่งนัก” เอ่ยจบมู่เหนียงก็สะอื้น นางรู้สึกคับแค้นใจจนจุกมาที่อก ขนาดตนเป็นผู้อื่นยังเป็นห่วงอวี้หรู แต่คนเป็นพ่อกลับใจร้ายทำลายบุตรได้ลงคอ
'นี่ชีวิตจริงของอวี้หรูรันทดขนาดนี้เลยเหรอ แต่เรากลับเขียนว่าตัวละครนี้เลว จนถูกเอาคืนด้วยการวางยาให้ผู้ชายข่มเหง’ นึกในใจในขณะที่ยังนั่งกอดเข่าก้มหน้าท่าเดิม ซึ่งต่อมานางก็เงยหน้าขึ้น ทำเอาทุกคนในห้องต่างก็ตกใจไปด้วย เพราะจู่ ๆ นางก็ขยับกาย
“อย่าบอกว่าสาเหตุที่เรามาอยู่ในร่างนี้ เป็นเพราะเราเขียนถึงอวี้หรูในทางที่ไม่ดี และเขียนให้เธอได้รับความทุกข์ใจจนคิดฆ่าตัวตาย สวรรค์เลยลงโทษให้เรามาเกิดในร่างของอวี้หรู เพื่อชดใช้กรรม หรือให้แก้ไขเรื่องที่ผิดพลาดงั้นเหรอ” พึมพำออกมา คงมีแค่มู่เหนียงที่ได้ยิน เห็นเช่นนี้นางก็ยิ่งสงสารผู้เป็นนายจนร้องไห้
ทำเอาคนในห้องต่างก็ไปไม่เป็น เพราะปกติในจวนก็ไม่ค่อยมีสตรีอยู่แล้ว สาวใช้ก็มีไม่ถึงสิบคน ให้จัดการเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์และงานครัวเสียมากกว่า ทำความสะอาดก็ใช้คนงานชายมาทำในบางครั้งคราว
พอมายามนี้มีสตรีมานั่งร้องไห้ในจวน เหล่าบุรุษทั้งหลายจึงไม่รู้ต้องเอ่ยปลอบเช่นใดให้นางสงบ
“จางเหว่ย ส่งนางกลับห้อง วันนี้พูดคุยคงไม่ได้เรื่องแล้วกระมัง“ โจวเยว่สั่งคนของตน เมื่อเห็นอีกคนร้องไห้ อีกคนก็ยังยืนยันว่าตนไม่ใช่ถงอวี้หรู
“ไม่ไป พวกท่านบอกมาเลยดีกว่าว่าเหตุใดพาข้ามาที่นี่ ต้องการให้ข้าทำสิ่งใดกันแน่” เพื่อจบปัญหานางจึงถามให้รู้ไปเสียเลยว่าอีกฝ่ายพามาทำไม
โจวเยว่มองสตรีตัวน้อยที่ปากเก่งเสียเหลือเกิน หากไม่ติดว่านางน่าสงสารสติไม่ดีเขาคงสั่งโบยเพื่อสั่งสอนไปแล้ว ความคิดนี้ไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อที่นั่งหน้าขรึมอยู่
“เจ้าต้องอยู่ที่นี่เพราะเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว หรือเจ้ามีที่อื่นให้ไป” ประโยคหลังเอ่ยหยัน คนรอคำตอบจึงได้แต่นิ่งไป ทว่าสายตาที่มองมายังคนตัวโตบ่งบอกให้รู้ว่าไม่พอใจมาก โจวเยว่ยกยิ้มที่มุมปากทันที
“ถ้าท่านไม่พากลับมา เราก็อาจจะไปไกลแล้ว” ตอบกลับโดยไม่เกรงฐานะอีกฝ่ายเลยสักนิด ยามนี้เองที่ผู้เป็นพ่อแอบยิ้ม เมื่อเห็นบุตรชายตนหัวเสีย
“อวดเก่ง หากพวกเราไม่พบเจ้าก่อน เจ้าสองคนคงถูกโจรป่าจับไปทำเมียแล้วกระมัง” จางเหว่ยกระแทกเสียงใส่
มู่เหนียงรีบคว้ามือผู้เป็นนายไว้ ไม่อยากให้เอ่ยอันใดอีก ยามนี้ร่างกายของคนถูกโบยมา เริ่มจะระบมขึ้นเรื่อย ๆ หากมิใช่เพราะกัดฟันทนอยู่เป็นเพื่อนเจ้านาย นางคงหมดแรงล้มลงไปนานแล้ว
“ตัวพี่ร้อนมากเลย มีไข้หรือนี่” อวี้หรูหันมาหาสาวใช้ ก่อนนี้นางมัวแต่นึกถึงเรื่องตนเอง จนลืมไปว่าอีกฝ่ายถูกโบยมา รวมถึงความเป็นจริงที่ว่า นางไม่ได้ผูกพันธ์กับอีกฝ่ายเช่นเจ้าของร่าง ในหัวจึงจดจ่ออยู่แต่เรื่องของตน
“เรากลับห้องกันเถอะ” เอ่ยกับสาวใช้ ก่อนจะหันมาหาคนที่ตีหน้ายักษ์ “มียาหรือเปล่า” ทว่ายังไม่ทันจะได้ยืนเต็มที่ ร่างอันไร้แรงของมู่เหนียงก็ทรุดลงบนพื้น ยังดีที่ผู้เป็นนายเอาตัวรับไว้ ไม่เช่นนั้นคงร่างกระแทกเต็มแรง
“ข้าน้อยจะพานางกลับเรือนพักเองขอรับ” ลั่วเฟยเอ่ยกับผู้เป็นนาย ซึ่งมีท่าทีตกใจกันไม่น้อย เขาตรงเข้ามาประคองสาวใช้นางนี้ขึ้นแล้วช้อนอุ้มหมายจะพาออกไป
“พาไปห้องข้านะ ข้าจะดูแลนางเอง” บอกแล้วก็ขยับตัวจัดแจงอาภรณ์ให้เรียบร้อย ทุกคนที่เหลือต่างคิดว่านางจะเดินตามคนของตนออกไป ทว่าอวี้หรูกลับหันมาเอ่ยอีก
“ท่านจะให้ข้าอยู่ที่นี่ในฐานะใด สตรีอุ่นเตียง อนุ หรือ” หันมองหน้าพ่อลูกสลับกันไปมา เพราะฐานะสุดท้ายเขาคงไม่มีทางมอบให้สตรีที่ชื่อเสียงเสียเป็นแน่
ที่ถามก็เพราะจะได้เตรียมตัวถูก คนจากยุคปัจจุบันไม่ได้ติดเรื่องที่ต้องเป็นน้อยใคร เพราะเข้าใจดีว่ายุคสมัยนี้ผู้หญิงแทบจะไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรเลย รวมถึงเธอในตอนนี้ที่อยู่ในร่างคนอื่น ทางเดียวที่จะรอดคือต้องยอมรับชะตา
แต่ช่วงเวลานี้ต้องต่อรองกับเขาให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยมีเงินเดือนก็ยังดี เผื่อวันหน้าเขาเฉดหัวออกไป จะได้มีเงินติดตัวไว้ไปทำทุน นี่คือสิ่งที่ซูซูคิด
“ไม่นึกว่าเจ้าจะคิดน้อยเพียงนี้ อยากเป็นแค่สตรีอุ่นเตียงจริงหรือ” โจวเยว่แสร้งถาม
“เป็นอะไรก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องจ่ายเงิน” บอกสิ่งที่ต้องการออกมาดื้อ ๆ ทำเอาคนในห้องที่เหลืออยู่ถึงกับนิ่งงัน สตรีตรงหน้าเอ่ยราวกับซื้อขายผักตามตลาด คนจากยุคปัจจุบันนึกขำกับท่าทางของแต่ละคน
ใช่สิ ในเมื่อสตรียุคนี้แม้แต่ออกข้างนอกก็ต้องถือพัดปิดบังใบหน้า น้อยนักที่จะเดินเปิดเผยให้ผู้คนยลโฉม ยิ่งเป็นลูกคุณหนูตระกูลใหญ่ด้วยแล้ว แทบจะไม่ได้ออกจากจวนเลย ซึ่งอวี้หรูคนเก่าก็เคยทำเช่นนั้น
แต่ว่าคุณหนูรองสกุลถงในยามนี้ กำลังต่อรองราคากับบุรุษสูงศักดิ์ เกี่ยวกับเรื่องราวบนเตียง ราวกับตนเป็นหญิงคณิกาก็ไม่ปาน ทำเอากั๋วกงถึงกับส่ายหัว ไม่คิดว่าบุตรชายตนจะไปคว้าสตรีวิปริตไร้ยางอายเช่นนี้มาได้
“พานางออกไป ข้าปวดหัวยิ่งนัก” เสียงประมุขจวนดังขึ้น พร้อมกับโบกมือไล่สตรีตัวน้อยด้วย อวี้หรูมองหน้าเจ้าของจวนซึ่งมีท่าทีอ่อนแรงยิ่ง ทว่านางก็ยังต้องเอ่ย
“กั๋วกงอย่าพึ่งเป็นลมนะเจ้าค่ะ ข้าน้อยบอกแล้วว่ามิใช่ถงอวี้หรูจริง ๆ ในยุคที่ข้าน้อยจากมา เรามีความคิดเสรี สตรีหาเลี้ยงตนเองได้ เป็นขุนนางได้ มีการสื่อสารที่ไม่ต้องใช้ม้าเร็ว หากจะเดินทางก็มีรถที่สร้างขึ้นจากเหล็กอย่างดี ใช้เวลาไม่ถึงชั่วยาม แต่อย่าถามหาวิธีสร้างนะเจ้าคะ เพราะข้าน้อยทำไม่เป็น” เอ่ยจบก็ยิ้มแป้นใส่พ่อลูกสลับไปมา ซึ่งยามนี้ถอนหายใจแรงทั้งคู่
ทว่าโจวเยว่กลับมีเรื่องสงสัย แม้จะฟังไม่เข้าใจบางประโยค แต่นางก็ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องยามเอ่ยกับบิดาตน ไม่เห็นจะเป็นเหมือนคราแรกเลย
“เมื่อครู่เจ้าพูดกับท่านพ่อ ดูเหมือนกุลสตรีที่ถูกอบรมมา แล้วเหตุใดจึงทำเหมือนคนไม่รู้ธรรมเนียม” ถามในสิ่งที่ตนสงสัยทันที เพราะกิริยาท่าทางนางดูนอบน้อมขึ้นมาก ข้อนี้ทุกคนก็สังเกตเช่นกัน คนตัวเล็กจึงหันมายิ้มส่งให้ ก่อนจะตอบคำถามเขาเสียงหวาน
“อันที่จริง ข้าน้อยเรียนรู้ขนบธรรมเนียมมารยาทในยุคนี้มามากเจ้าค่ะ เพราะต้องเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ สงสัยว่าประวัติศาสตร์หมายถึงสิ่งใดใช่หรือไม่ มันคือการบันทึกทุกสิ่งอย่างเอาไว้ โดยเฉพาะช่วงเวลาสำคัญ เช่นการเปลี่ยนถ่ายอำนาจการปกครอง เปลี่ยนฮ่องเต้ ราชวงศ์ไหนครองราชย์กี่ปี ราชวงศ์ไหนเกิดการจลาจลก่อกบฏ หรือเหตุการณ์รบสำคัญของแต่ละแคว้นทำนองนี้เจ้าค่ะ" เอ่ยจบก็หันซ้ายแลขวา เพราะรู้สึกกระหายเต็มที
“ขอดื่มชาสักถ้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” หันมาถามผู้อาวุโสของจวน ซึ่งยามนี้มีท่าทางสนใจสิ่งที่นางกล่าวมาก