7.กลายเป็นคนบ้า
อวี้หรูยังคงมองสำรวจไปทั่วจวนแห่งนี้ ซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางมาก ทางเดินมีหลังคาตลอดเส้นทาง เรียกได้ว่าหน้าฝนไม่ต้องกลัวว่าจะเปียกเลย สวนก็ใหญ่โตมาก มีต้นไม้ที่คนรวยชอบปลูกแม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ยังนิยม
‘จะไหวไหมเนี่ยะ อยากรู้จังว่าเขาพาเรามาที่นี่ทำไม คงไม่ได้พามาเพื่อเก็บไว้อุ่นเตียงหรอกนะ ถ้าเป็นแบบนั้น แม่จะเจี๋ยนให้ดู’ ไม่นึกเปล่า แต่ยกมือขึ้นมาทำท่ากรรไกรด้วย มู่เหนียงมองการกระทำผู้เป็นนายแล้วก็ขมวดคิ้ว
“คุณหนูเป็นอันใดเจ้าคะ” ถามด้วยความสงสัยยิ้มแฉ่งส่งให้ ก่อนจะส่ายหัวเป็นคำตอบ
“ที่นี่คือจวนกั๋วกง ได้โปรดสำรวมด้วย” เสียงจากผู้ติดตามทางด้านหลังทำให้นายบ่าวหยุดเดินทันที องครักษ์หนุ่มซึ่งเดินมาประกบทีหลังชะงักเช่นกัน
“หยุดทำไม” จ้าวเฟยเอ่ยถาม ทำให้สหายที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหยุดตาม พร้อมกับท่าทางหงุดหงิดที่เผยออกมา
“ที่นี่คือจวนกั๋วกงหรือเจ้าคะ” เอ่ยถามเสียงเบา
“ใช่ รู้แล้วก็สำรวมให้มาก” จางเหว่ยตอบแทนสหาย
“รีบเดิน ปล่อยให้นายท่านรอนาน อาจถูกลงโทษได้” จ้าวเฟยกำชับคำ พร้อมกับใช้สายตาคมดุกดดันทั้งคู่
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” รีบรับคำพร้อมกับท่าทีรนราน ทว่าในใจนั้นกลับเป็นอีกอย่าง ‘จวนขุนนางใหญ่จริง ๆ ด้วย นิยายเราถึงจะอ้างอิงประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้พูดถึงตระกูลนี้เลย ไม่งั้นคงรู้ว่าสกุลหลินมีอิทธิพลมากแค่ไหน แต่ดูจากพื้นที่ของจวน ก็น่าจะมีอำนาจมากพอดูนั่นแหละ’
คิดได้ไม่นานก็มาถึงหน้าทางเข้าห้องโถง ร่างเล็กหยุดชะงักยืนนิ่ง พ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ พร้อมกับยกมือขึ้นแล้วดันอากาศลงเพื่อเรียกความกล้า ทำคนทั้งสามกะพริบตาถี่มองการกระทำของนางซึ่งดูน่าขบขันยิ่งนัก
“คุณหนู ทำอันใดเจ้าคะ”
“เรียกพลังแรงใจ คนด้านในเป็นถึงกั๋วกงเลยนะ ข้าตื่นเต้น มือเย็นหมดแล้วเนี่ยะ” ไม่เอ่ยเปล่าแต่ยื่นมือออกไปจับสาวใช้ด้วย มู่เหนียงถึงกับหน้าเจื่อน เพราะผู้เป็นนายดูประหม่ามากจริง ๆ
“เจ้าจะได้ตื่นเต้นมากกว่านี้อีก หากยังชักช้าอยู่” เสียงกดต่ำดังขึ้นจากองครักษ์หนุ่ม เมื่อสตรีตัวน้อยยังคงยืนนิ่งไม่ยอมก้าวเข้าไปด้านใน
“ขอทำใจก่อนก็ไม่ได้” บ่นอีกฝ่ายพร้อมกับค้อนขวับเข้าให้ ‘เอาว่ะ เป็นนักแสดงแทนมาก็หลายบทบาทแล้ว กะอีแค่สวมบทคุณหนูง่ายจะตาย’ ปลอบตนเองในใจ
ถึงกระนั้นซูซูผู้อยู่ในร่างอวี้หรู ก็ยังกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อต้องก้าวเข้าไปด้านในจริง ๆ
นางมองผู้ที่นั่งอยู่เก้าอี้ตรงกลางห้อง คาดเดาได้ว่าต้องเป็นเจ้าของจวนแน่ อีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือก็คนที่เอาชุดไปให้ก่อนจะออกมา นั่นคือบุรุษที่เคยหลับนอนกับเจ้าของร่าง มาถึงตรงนี้ ซูซูก็นึกหวั่นใจอย่างไรไม่รู้
‘คนมีอำนาจคือต้องทำหน้าดุแบบนี้ทุกคนใช่ไหม’ ยังมิวายนึกในใจ เมื่อเห็นสายตาของคนแก่ผมเริ่มขาว
“เจ้าหรือบุตรสาวของรองหัวหน้ากรมพิธีการ” เสียงเย็นเฉียบเปล่งออกมา จนคนฟังขนลุก อวี้หรูยังไม่ทันได้คำนับตามมารยาทเลย ก็ถูกทักทายด้วยน้ำเสียงนี้แล้ว
“คุณหนูคารวะกั๋วกงเจ้าค่ะ” มู่เหนียงเอ่ยขึ้น นางดึงชายกระโปรงผู้เป็นนายด้วย อวี้หรูได้แต่หันรีหันขวาง เพราะไม่รู้ว่าต้องทำท่าเช่นใด จะหมอบเหมือนสาวใช้ก็ดูไม่เข้าท่า จะย่อตัวคำนับก็ไม่รู้ต้องวางมือยังไง
“ทะ ทำไงอ่ะ ทำไม่เป็น” ถามเสียงดังพอให้คนที่อยู่ภายในห้องได้ยิน มู่เหนียงถึงกับหน้าเสียจนแทบจะร้องไห้ เกรงว่าวันนี้ตนและผู้เป็นนายคงหัวขาดเป็นแน่
“โจวเยว่ แน่ใจหรือว่านี่คือคุณหนูสกุลถง” กั๋วกงหันมาถามบุตรชายเสียงเรียบ
“ยามนี้ก็ไม่ค่อยมั่นใจแล้วขอรับ ไม่แน่ว่าข่าวที่บอกว่านางสิ้นใจไปแล้วนั้น อาจจะเป็นวิญญาณผู้อื่นมาสิงสู่ก็เป็นได้ นางถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้” ผู้เป็นลูกตอบออกไปเล่น ๆ เพราะคิดว่าคุณหนูรองคงตื่นเต้น ทว่า!
“ใช่ ๆ อวี้หรูตัวจริงตายไปแล้ว ฉัน เอ๊ย!...ข้าไม่ใช่นาง แต่เป็นคนที่มาจากยุคพันกว่าปีข้างหน้า” ซูซูรีบบอกความเป็นมาของตัวเอง แต่พอเห็นสีหน้าของแต่ละคนก็ถอนหายใจ
“ไม่เชื่อสินะ ใครมันจะไปเชื่อเรื่องมหัศจรรย์พวกนี้กัน มองแบบนี้คงหาว่าฉันบ้าไปแล้วสิ” ตัดพ้อทุกคนในห้อง แม้แต่สาวใช้คู่กายก็ยังมองอย่างไม่เชื่อ
ร่างเล็กทรุดแหมะลงกับพื้น อุตส่าห์เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง แต่ยังไม่มีใครเชื่ออีก มิหนำซ้ำยังมองนางราวกับเป็นตัวประหลาด เหล่าผู้ติดตามก็หัวเราะเยาะซึ่งหน้า
“คุณหนู เหตุใดถึงเอ่ยไปทั่วเช่นนี้เจ้าคะ” มู่เหนียงขยับกายมากุมมือไว้ หากต้องโทษก็ยินดีจะรับผิดไปด้วย แม้ต้องตายก็ยอม เพราะสีหน้ากั๋วกงดูไม่พอใจมาก
“ฉันพูดความจริงนะ ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เชื่อยาก แต่ทุกคนคิดดูสิ คนตายไปตั้งครึ่งคืนแล้ว จะฟื้นกลับมามีชีวิตอีกได้ยังไง นอกเสียจากว่าจะเป็นคนอื่นกลับมาเกิดในร่างนี้ และฉันก็เป็นวิญญาณที่หลงมาจากยุคที่มีความเจริญมาก เข้ามาอยู่ในร่างนี้จนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ถ้าไม่เชื่อก็” เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็นึกหาวิธีพิสูจน์ ว่าตนมาจากอนาคตอันไกลโพ้น
‘เอาไงดี จะทำอะไรให้พวกเขาเชื่อว่าเรามาจากอีกยุค พูดภาษาอังกฤษก็คงหาว่าเราพูดไปเรื่อย เอาไงดี เอาไงดี’ นึกหาวิธีเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนดู
“บังอาจ!! ต่อหน้ากั๋วกงเจ้ากล้าพูดไปเรื่อยกระนั้นหรือ” จางฟู่คนสนิทประมุขจวนส่งเสียงตำหนิสตรีตัวน้อยทันที เมื่อเห็นนางทำตัวไร้มารยาท และยังเอ่ยไปทั่วอีก
“ขออภัยแทนคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ นางฟื้นกลับมาก็จำสิ่งใดมิได้แม้แต่ชื่อตนเอง คุณหนูน่าสงสารมาก นางถูกพี่สาววางยาจนพลาดท่าเกิดเรื่องในคืนนั้น ต่อมานายท่านก็กล่าววาจาทำร้ายจิตใจ มิหนำซ้ำยังบอกให้คุณหนูตายไปเสีย อยู่ไปก็ทำให้สกุลเสื่อมเสีย วันที่คุณหนูคิดสั้นปลิดชีพตน นายท่านก็ยืนมองโดยไม่ห้ามสักนิด ตายแล้วก็ไม่ยอมหาโรงมาใส่ร่าง ปล่อยให้นอนอยู่ในเรือนหลัง โชคดีที่นางฟื้นคืนกลับมาก่อนเช้ามืด ข้าน้อยจึงได้พานางหนีออกมาจากจวน หากอยู่ต่อเกรงว่าจะตายไปจริง ๆ เจ้าค่ะ” มู่เหนียงหมอบกราบรายงานเรื่องราวทั้งหมด
บุรุษที่นั่งและยืนอยู่ต่างก็นิ่งงันไป ไม่คิดว่าใต้เท้าถงจะไร้เมตตาใจดำกับบุตรสาวถึงเพียงนี้
“ที่เจ้าเอ่ยมาเป็นเรื่องจริงหรือ” โจวเยว่เอ่ยถามอีกครั้ง ตามที่สืบมาเขารู้แค่ว่าสตรีตัวน้อยนี้คือบุตรสาวใต้เท้าถง เพราะอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นนางจึงปลิดชีพตน ทว่าความเป็นจริงเกิดขึ้นเพราะคนในครอบครัว
“บ่าวมิกล้าปดเจ้าค่ะ หลังจากเกิดเรื่องกับคุณหนูรอง บ่าวก็ดูแลนางตลอด ก่อนจะถูกทำโทษบ่าวเผอิญไปได้ยินคุณหนูใหญ่สั่งสาวใช้คู่กายทำลายกำยานที่เหลือทิ้ง ในขณะนั้น” มู่เหนียงหยุดเสียงลง หันมาหาอวี้หรูซึ่งนั่งฟังอย่างตั้งใจ นางเกรงจะทำให้ผู้เป็นนายคิดมากอีก
“พูดมาเถอะ ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่อวี้หรูคนเดิม คนสกุลถงไม่ใช่ครอบครัวฉัน ไม่ต้องกลัวฉันจะเสียใจ” ย้ำอีกรอบ ทำเอาสาวใช้ถึงกับหลั่งน้ำตา นางคิดว่าผู้เป็นนายคงเสียใจมาก จึงสร้างกำแพงปกป้องตนเองด้วยวิธีนี้
“ดูท่าคุณหนูรองผู้นี้จะเสียสติไปแล้วนะขอรับ” ลั่วเฟย ผู้ยืนอยู่ข้างซื่อจื่อเอ่ยขึ้นเบา ๆ
‘คืนนั้นหากข้าอยู่รับผิดชอบการกระทำของตนเอง นางจะอยู่ในสภาพเช่นนี้หรือเปล่านะ’ โจวเยว่นึกในใจ มองสตรีตัวน้อยยังคงยืนยันว่าตนไม่ใช่อวี้หรู
‘ดะ เดี๋ยวนะ ทำไมทุกคนมองเราแบบนี้ล่ะ คงไม่คิดว่าเราเสียสติไปแล้วนะ’ เมื่อเงยหน้าก็เห็นสายตาของแต่ละคนที่มองมาอย่างเวทนา แม้แต่สาวใช้คนสนิท
“โอ๊ย! จะบ้าตาย” เอ่ยออกมาเสียงดัง นั่นยิ่งทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นอย่างที่พวกเขาคิด