4.สุดท้ายก็ไปไม่รอด
ดวงตากลมโตมองบุรุษที่นั่งชันเข่าอยู่เบื้องหน้า ทอดถอนใจกับโชคชะตาที่กำลังเล่นตลกกับชีวิตนาง
“เป็นคุณ เอ่อ…เป็นเจ้าที่ทำชีวิตข้าป่นปี้เช่นนี้” ใช้นิ้วชี้หน้าอีกฝ่ายด้วย ทำเอาบุรุษผู้ทำหน้าที่อารักขาผู้เป็นนายถึงกับกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน
“ดูท่าเจ้าคงอยากลำลึกความหลังกับข้าสินะ” ไม่ว่าเปล่า ทว่ามือเรียวนั้นยื่นออกมารั้งเอวคอดเข้าหาตัวด้วย ยังไม่ทันที่เขาจะได้โน้มหน้าลงมาหานาง ร่างเล็กก็ฟุบลงบนอกแกร่งก่อน ครานี้เป็นโจวเยว่ที่ตกใจเสียเอง
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” คนป่วยขยับกายหมายจะเข้ามาหาผู้เป็นนาย ทว่าถูกคนของบุรุษผู้นี้ขวางไว้
“นางก็แค่หมดสติไปก็เท่านั้น พวกเจ้าเดินทางมาใกล้เพียงนี้ รอดมาได้ก็นับว่าบุญแล้ว” จางเหว่ยเอ่ยขึ้น คนถูกต่อว่าจะก้มดูตนเอง จริงอย่างที่เขากล่าว ไม่รู้นางคิดผิดหรือถูกที่พาตัวคุณหนูของตนออกมาเช่นนี้
“คุณชายโปรดเมตตาคุณหนูข้าน้อยเถอะนะเจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าจารีตประเพณีแคว้นหนานเป็นเช่นใด นางกลายเป็นสตรีมีมลทินเช่นนี้ หากอยู่ที่จวนก็จะพบแต่ความลำบาก บ่าวไพร่ก็ไม่นับถือ ได้โปรดอย่าจับนางกลับไปเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้ขยับกายคำนับผู้ที่ยังโอบกอดร่างของเจ้านาย หมายว่าเขาจะสงสารปล่อยนางไป
“หึ! นางเป็นคนของข้าแล้ว คิดหรือว่าจะจากไปได้ง่าย ๆ” เสียงเย็นเปล่งออกมา ก่อนจะหันไปตามเส้นทาง ซึ่งมีรถม้ากำลังมุ่งมาทางพวกตน
“ลั่วเฟยกลับมาแล้วขอรับ” จ้าวเฟยรายงาน
โจวเยว่ไม่รอช้าที่จะอุ้มสตรีตัวน้อยขึ้นแนบอก ทำเอามู่เหนียงเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย เกรงว่าคนผู้นี้จะไม่ใช่คนดี ยิ่งประโยคที่เขาเอ่ยมันดูไม่ปลอดภัยกับนายของตนเลย
“หากเจ้าลุกไม่ไหวข้าจะอุ้มไปขึ้นรถม้านะ” ว่าพร้อมกับตั้งท่าจะช้อนเอาร่างของสาวใช้อย่างที่พูด
“ข้าเดินเองได้” รีบบอกอีกฝ่าย ทว่าพอจะลุกร่างกายมันก็ไร้แรงเหลือเกิน สุดท้ายก็ต้องอาศัยองครักษ์หนุ่มประคองพาขึ้นไปบนรถม้าในที่สุด
ด้านโจวเยว่ลงมาขี่ม้าของตนเช่นเคย ด้านในจึงมีเพียงสตรีสองนาง ด้านหน้าเป็นคนของเขาคอยบังคับม้า เมื่อมันเคลื่อนตัวออกไป คนที่หมดสติก็เปิดเปลือกตาขึ้น
“พี่มู่เหนียง คนผู้นี้เป็นใครพี่รู้จักหรือไม่” เอ่ยถามเสียงเบา เพราะเกรงคนด้านหน้าจะได้ยิน
“คะ คุณหนูไม่ได้หมดสติอยู่หรือเจ้าคะ” ถามหน้าตื่น
“ชู่ว…อย่าเสียงดังสิ ข้าแค่แกล้งเท่านั้น พี่ก็เห็นว่าเขาจะทำอันใด ใครจะไปยอม” บอกตามจริง ทำเอาคนสนิทถึงกับตาโต ปกติผู้เป็นนายจะไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ นางอ่อนโยนไร้เดียงสาจนเสียรู้คนชั่วมาก็หลายครั้ง
“คุณหนูแต่ก่อนท่านไม่ใช่คนเช่นนี้นะเจ้าคะ” เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย ตั้งแต่ผู้เป็นนายฟื้นขึ้นมาท่าทีทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มิหนำซ้ำยังเข้าป่าไปหาสมุนไพรอีก มันไม่ใช่วิสัยของนางที่ตื่นกลัวทุกสิ่งอย่างเลย
คิ้วสวยผูกกันเป็นปม ปกติอวี้หรูก็ร้ายเช่นนี้ ตนเป็นคนเขียนตัวละครขึ้นมาเอง และให้พบจุดจบตามที่เขียนค้างไว้ก่อนตาย แต่ทำไมคนสนิทของนาง ถึงเอ่ยราวกับพึ่งเห็นนางเสแสร้งเป็นครั้งแรก
“พี่พูดแบบนี้ หมายความว่าอย่างไร จะบอกว่าข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนี้หรือ” จ้องหน้าอีกฝ่ายเพื่อรอคำตอบ สร้างความประหลาดใจให้กับสาวใช้คู่กายไม่น้อย
“คุณหนูอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กเจ้าค่ะ ไม่เคยคิดร้ายกับผู้ใดเลย สองแม่ลูกคู่นั้นต่างหากที่วางแผนวางยาท่านในงานเลี้ยง จนต้องอับอายถูกผู้คนครหา ยิ่งไปกว่านั้นนายท่านยังรู้เห็นเป็นใจด้วย ข้าน้อยรู้แต่กลับช่วยคุณหนูไม่ได้ มู่เหนียงขอโทษนะเจ้าคะ” กล่าวทั้งน้ำตา ผู้ที่อยู่ในร่างถึงกับมึนงง เพราะมันตรงกันข้ามกับที่ตนเขียน
“มะ ไม่ต้องร้องนะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” กอดอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลม ในใจก็ครุ่นคิด ‘นี่มันอะไรกัน ทำไมทุกอย่างมันตรงกันข้ามไปหมด นางเอกกลายเป็นตัวร้าย ตัวร้ายกลายเป็นนางเอกงั้นเหรอ ไม่สิ ยุคสมัยนี้มีจริง เพราะเราเขียนอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ ขนมธรรมเนียมจารีตประเพณีทุกอย่าง แต่ทำไมตัวละครของเราถึงต่างออกไป หรือว่า ทุกคนจะมีชีวิตอยู่จริง เพียงแต่นิสัยไม่ได้เป็นเหมือนที่เราเขียน’ นึกจนไม่รู้ว่าสาวใช้ดันตัวออกห่างแล้ว ทว่านางก็ยังคงอยู่ในความคิดเดิม
‘แย่ล่ะ งั้นคนที่อวี้หรูมีอะไรด้วยเป็นใครกันล่ะ ตอนเราเขียนก็ไม่ได้ระบุเสียด้วยว่าเขาเป็นใคร คงไม่ใช่โจรอะไรพวกนั้นหรอกนะ ไว้หนวดเคราแบบนี้’ อดกังวลถึงสถานะของคนที่พาตนมาไม่ได้ หน้าตาก็ดุเอาเรื่อง
“คุณหนูกังวลหรือเจ้าคะ” เพราะเห็นผู้เป็นนายเอาแต่นิ่ง และยังแอบแง้มผ้าม่านออกไปดูคนด้านนอกด้วย
“แล้วพี่ไม่กลัวเหรอ คนพวกนี้ไม่รู้เป็นใคร ดูเหมือนเขาจะสืบเรื่องข้ามาแล้วถึงได้ถามว่าเรามาอยู่กลางทางได้อย่างไร เขาคงไม่คิดจะแบล็คเมล์เรียกเอาเงินจากพ่อข้าหรอกนะ” เอ่ยในสิ่งที่ตนคิด และลืมไปว่าบางคำคนยุคนี้ไม่ใช้ พอเห็นสีหน้าคนสนิทก็ขำทันที
“ขอโทษ ขอโทษ ข้าหมายถึงพวกเขาอาจจะเรียกเงินจากท่านพ่อ โดยเอาเรื่องคืนนั้นมาอ้างอะไรทำนองนี้ คนยุคนี้ห่วงชื่อเสียงเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ” บอกแล้วก็ดูสีหน้าอีกฝ่าย ครานี้นางดูเข้าใจบ้างแล้ว
“ก็จริงเจ้าค่ะ เช่นนี้แล้วเราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ” แม้ร่างกายจะอ่อนล้า ทว่ามู่เหนียงก็ยังอยากพาผู้เป็นนายหนีจากกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งแต่ละคนต่างก็ไว้หนวดเคราดูน่ากลัวยิ่งนัก มิหนำซ้ำยังถือดาบติดตัวทุกคน
“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้เรี่ยวแรงยังไม่มี หิวก็หิว” บอกไปตามจริง ก่อนที่เสียงของท้องจะร้องให้ได้ยิน
“จริงด้วย เราหนีออกมาตั้งแต่เช้ามืด ข้าน้อยก็ลืมไม่ได้หาอันใดให้คุณหนูกินเลย นี่ก็บ่ายคล้อยแล้ว ข้าน้อยขออภัยนะเจ้าคะ” บอกเสียงเครือเพราะรู้สึกผิดที่พาผู้เป็นายมาลำบาก หากอยู่ที่จวนไม่แน่อาจแค่ถูกขัง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน คนที่ตายแล้วฟื้นมันก็ไม่ต่างจากตัวกาลกิณี ไม่มีใครอยากให้นางมีชีวิตอยู่ต่อแน่
“พอแล้วอย่าร้อง พี่ทำเพื่อข้ามากเพียงนี้ ยังจะโทษตนเองอีก หากเรายังอยู่ที่จวน ไม่แน่พวกเขาอาจจะไม่ปล่อยให้เรารอดก็ได้ รักชื่อเสียงหน้าตากันถึงเพียงนั้น”
นึกถึงคำบอกเล่าของสาวใช้ ที่เอ่ยว่าบิดายืนมองนางกระโดดน้ำตาย โดยไม่ร้องห้ามสักคำ ใครจะคิดว่าบนโลกใบนี้จะมีพ่อแบบนี้อยู่ด้วย ยอมให้ลูกตายดีกว่าอยู่ให้ขายหน้า ช่างเป็นความโชคร้ายของถงอวี้หรูยิ่งนัก
“ประเดี๋ยวข้าน้อยจะลองถามพวกเขาดูนะเจ้าคะ คนที่ออกเดินทางเช่นนี้ เชื่อว่าต้องมีเสบียงติดตัวบ้างแหละ” เอ่ยแล้วก็ตั้งท่าจะทำอย่างที่พูด
“ช้าก่อนข้าเอง” รั้งอีกฝ่ายไว้ ก่อนชะโงกหน้าออกไป
“สามี! สามี! ข้าหิวมากเลย มีสิ่งใดกินหรือไม่” ตะโกนถามคนที่บังคับม้าอยู่ด้านหน้า บังเหียนถูกดึงจนม้าหยุดชะงัก ก่อนที่มันจะหันกลับมาหาผู้ที่โผล่หัวออกมา
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร” ถามเสียงเย็นน่าขนลุก
“สามี ไม่ใช่หรือ ก็ท่านบอกเองว่าเราเคย เอ่อ…ทำเช่นนี้กันแล้ว ข้าก็ต้องเรียกท่านว่าสามีสิ” เอ่ยด้วยท่าทีเขินอาย ทว่ามันกลับตรงกันข้ามกับคำพูดเป็นอย่างมาก
และยังยกมือขึ้นทำท่าประกบใส่กัน ทำเอาสาวใช้คนสนิทถึงกับตาโต ไม่เว้นแม้แต่ผู้ติดตามของชายหนุ่ม ซึ่งมีอาการไม่ต่างกันเลยทว่าผู้เป็นนายนั้นกลับยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะหันไปหาคนสนิทของตน โดยที่ไม่ได้เอ่ย ห่อเสบียงก็ถูกยื่นส่งให้คนในรถม้า
“ขอบคุณสามี น่ารักที่สุด” เอ่ยจบก็ปิดผ้าม่านลง โดยไม่ใส่ใจว่าคนด้านนอกจะว่าเช่นใด
“คุณหนู เหตุใดท่านถึงเอ่ยเรียกเขาเช่นนั้นเจ้าคะ”
“พี่คิดว่าเราจะรอดจากกฎของแคว้นได้เช่นไร สตรีมีมลทินเช่นข้า ต้องรีบหาสามีจึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ไม่ใช่หรือ ยามนี้ต่อให้เป็นเพียงอนุของเขาข้าก็ต้องยอม อย่างไรเสียบุรุษผู้นี้ก็เป็นคนทำให้ข้าต้องมลทิน” บอกอย่างที่คิด ขอแค่ฟื้นตัวได้ค่อยหาทางหนีทีไล่อีกที ซูซูไม่ยอมจนมุมให้กับโชคชะตาเด็ดขาด