3.ไม่ใช่อย่างที่คิด
ซูซูมองกำแพงสูงเบื้องหน้าแล้วก็ถอนใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะหลุดมาอยู่ในนิยายที่เธอเป็นคนเขียนเสียได้ แต่ที่หน้าแปลกคือพ่อของอวี้หรูควรเป็นขุนนางซึ่งมียศสูงที่ได้เข้าราชสำนัก ทำไมกลายมาเป็นแค่รองหัวหน้ากรมพิธีการได้ ความสงสัยมีมากจนต้องถามสาวใช้อีกรอบ
“นี่มู่เหนียง เอ่อ ที่นี่คือแคว้นอะไรเหรอ แล้วปีอะไร มีใครเป็นฮ่องเต้” เพราะอยากรู้ว่าทุกอย่างเหมือนที่เธอเขียนหรือเปล่า เนื้อหานิยายทั้งหมดซูซูอ้างอิงมาจากประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องครอบครัวเธอสมมติขึ้น
“ที่นี่แคว้นหนานเจ้าค่ะ รัชศกฉินหนานปีที่สิบ มีฮ่องเต้พระนามว่าฉินอันหนาน” ถ้อยคำที่มู่เหนียงเอ่ยบอก ทำเอาคนฟังถึงกับกลืนน้ำลาย ตอนนี้ซูซูไม่รู้ว่าเธอย้อนมาเกิดใหม่ในร่างนี้เพราะนิยายที่เขียน หรือเพราะอะไรกันแน่ เพราะส่วนหนึ่งมันคือเรื่องจริงที่เธออ้างอิงจากรัชศกนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่าตัวละครที่เขียนถึงจะมีตัวตนจริง ๆ ในยุคนี้ด้วย มันมหัศจรรย์เกินไปที่จะเชื่อ
“ประตูเปิดแล้ว เรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ” เสียงพูดทำให้คนกำลังมึนงงได้สติ ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากหาที่หลบซ่อนตัวก่อน ไม่งั้นคงถูกพ่อแท้ ๆ จับกลับไปขังไว้ในจวนรอวันตายอีกแน่
เธอรู้เรื่องนี้เพราะศึกษาเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมมาเป็นอย่างดีก่อนจะลงมือเขียนนิยาย บุตรสาวที่ทำเรื่องผิดศีลธรรม หากไม่มีใครมาสู่ขอ ก็ต้องถูกขังไว้จนตาย ที่เธอเขียนให้ถงเสิ่นหลางยืนมองบุตรสาวกระโดดน้ำตายก็เพราะเหตุนี้
ชื่อเสียงของสกุลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ยิ่งกำลังไต่เต้าเพื่อไปอยู่จุดที่สูงขึ้น ก็ยิ่งต้องรักษามันไว้ อีกอย่างถงอวี้หรูคือตัวร้ายในนิยาย วางแผนวางยาให้เผยหย่งหานนอนอยู่บนเตียงของตน จนผู้ใหญ่ยอมให้หมั้นหมายแต่งงานกัน และซูซูเองที่เขียนบทให้นางได้รับผลกรรมเช่นเดียวกัน
แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายเธอนี่แหละที่ต้องมาชดใช้กรรมเสียเอง ช่างเป็นเรื่องบ้าที่ไม่อาจเข้าใจได้จริง ๆ
“รู้งี้แต่งให้อวี้หรูทำเลวน้อยหน่อยก็ดี” พึมพำกับตนเองเมื่อคนนำทางพาหยุดพักที่ริมลำธาร ซึ่งทั้งสองเดินห่างจากเมืองหลวงมาหลายลี้แล้ว
“เธอ เอ่อ…พี่บาดเจ็บอยู่นั่งพักก่อนเถอะ เดี๋ยวฉัน เอ๊ย…ข้าไปหาสมุนไพรที่พอใช้ได้มาให้”
“คุณหนูอย่าไปนะเจ้าคะ ท่านไม่เคยเข้าป่าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าต้นไหนคือสมุนไพร มันอันตราย” ร้องบอกด้วยความเป็นห่วง เสียงถอนหายใจจึงดังขึ้นจากผู้เป็นนาย
“ข้าไม่ใช่อวี้หรูคนเดิม เธอ…เอ่อ…พี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้าขนาดนั้นหรอก นั่งรออยู่ตรงนี้แหละ” บอกก่อนจะเดินเข้าป่าไป ทิ้งให้สาวใช้มองตามอย่างเป็นกังวล
ทว่ายามนี้ร่างกายของมู่เหนียงก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว นางจึงเอนกายผล็อยหลับไปในที่สุด จนไม่รู้ว่ามีผู้คนเดินทางตรงมา และหยุดลงบริเวณใกล้ ๆ ที่นางนั่ง
“ดูเหมือนนางจะบาดเจ็บจนจับไข้ขอรับ” องครักษ์หนุ่มรายงานผู้เป็นนายที่สั่งให้ลงจากหลังม้ามาดู
“นี่หยุดนะ จะทำอะไรพี่มู่เหนียง” เสียงแหลมแหวใส่คนที่กำลังจับแขนสาวใช้ของตน พร้อมกับมองหาท่อนไม้ที่เหมาะมือมาถือ แล้วตรงเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
“ไม่ได้อยู่คนเดียวหรือ ข้าเห็นนางนอนหมดสติ ก็แค่เป็นห่วงเกรงว่าจะมาตายในป่า ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” จางเหว่ยต่อว่าสตรีตัวน้อยที่ยืนถือไม้ชี้หน้าตน หากไม่เห็นว่าเป็นหญิงเขาคงถีบเข้าให้
ทว่า! ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใดอีก นางก็ถูกนายของเขาดึงตัวไปเสียก่อน ทำเอาผู้ติดตามทั้งสามต่างก็มึนงง
“เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่” ถามเสียงเข้ม พร้อมกับนัยน์ตาคมดุจ้องมองสตรีตัวน้อยที่เขาจดจำนางได้ดี แม้ว่าค่ำคืนนั้นจะมีเพียงแค่แสงเทียนส่องรำไรก็เถอะ
คนถูกถามได้แต่จ้องหน้าเขาพร้อมกับกะพริบตาถี่ เพราะตนก็พึ่งมาอยู่ในร่างนี้ ไม่รู้ว่าคนที่พูดด้วยเป็นใคร เขาไว้หนวดบนริมฝีปากซึ่งมันไม่ได้หนานัก ใต้คางมีเคราที่ไว้ยาวในระดับหนึ่ง และหนวดใต้ริมฝีปากซึ่งจะเชื่อมต่อกับเคราจนคล้ายรูปสมอเรือชี้ปลายขึ้น
“คุณ เอ๊ย…ท่านเป็นใคร รู้จักข้าหรือ” ถามออกไปพร้อมกับต่อว่าตนเองในใจ ‘โอ๊ย!! แกต้องจำนะซูซู ว่าเราไม่ได้อยู่ในยุคเดิมแล้ว คำพูดต้องให้เนียน’ คิดเสร็จก็ก้มหน้าหนีสายตาคมดุของอีกฝ่าย ซึ่งเอาแต่มองนางราวกับเป็นนักโทษเสียอย่างนั้น
“ลั่วเฟยเข้าเมืองไปเอารถม้ามา” เสียงสั่งการของผู้เป็นนาย ทำให้องครักษ์หนุ่มวัยยี่สิบห้าต้องรีบทำตาม คนถูกจับตัวไว้ถึงกับไปไม่เป็น ถ้าตัวคนเดียวไม่แน่อาจหาทางหนีไปได้ แต่ว่ามีมู่เหนียงซึ่งยังนอนไม่ได้สติอยู่ด้วย จะให้ทำใจทิ้งคนที่ช่วยตนไปซูซูไม่ทำแน่
“หนีออกมาจากจวนกระนั้นหรือ” เสียงเข้มถามผู้ที่ตนรั้งให้นั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่อีกฝั่ง
“อืม” ตอบสั้น ๆ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อยู่ในตัวละครที่เธอเขียนหรือเปล่า
“ข้าได้ยินว่าเจ้ากระโดดน้ำปลิดชีพตนเองแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังมีชีวิตอยู่” ถามในสิ่งที่สงสัย เขาได้ข่าวเมื่อสามชั่วยามก่อน ก็เร่งเดินทางกลับมาทันที
“นั่นสิ ทำไมต้องฟื้นขึ้นมาเจอเรื่องมากมายแบบนี้ด้วย ทำไมไม่ตายไปจริง ๆ จะให้เกิดใหม่ทำไม ทำไม” ครานี้คนที่อัดอั้นตันใจไม่ทนอีกแล้ว นางปล่อยโฮออกมาทันที
หลินโจวเยว่ถึงกับทำตัวไม่ถูก เพราะหยดน้ำตาของนางมันทำให้นึกถึงเรื่องคืนนั้น เขาถูกเชิญไปงานเลี้ยงด้วยจึงใช้โอกาสนี้ ลอบเข้าไปค้นหาบัญชีการยักยอกงบซ่อมแซมเขื่อนในจวนสกุลเผย
แต่ใครจะคิดว่าภายในห้องที่ตนแอบเข้าไปซ่อนตัว จะมีคนจุดกำยานเพิ่มกำหนัดไว้ และมันก็แรงมากเสียด้วย พอมีสตรีเข้ามาเขาก็ไม่รอช้าที่จะย่ำยีนาง
คราแรกคิดว่าเป็นสาวใช้ในจวน มารู้ทีหลังว่านางคือบุตรคนรองของสกุลถง ก็ตอนที่เขาอยู่ต่างเมืองแล้ว จึงไม่อาจช่วยนางไว้ได้ทัน การกลับมาครานี้เขาก็ตั้งใจจะไปรับผิด แม้นางจะตายไปแล้วก็เถอะ ทว่ายามนี้ถงอวี้หรูกำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างกายเขา มันไม่น่าเป็นไปได้เลย
“เงียบได้แล้ว” บอกเสียงเรียบ ทว่าคนตัวเล็กก็ยังคงร้องไห้เช่นเดิม “ข้าบอกให้เงียบ!!” เสียงตวาดดังขึ้น แม้กระทั่งคนที่หมดสติยังรู้สึกตัว
เหล่าคนสนิทพากันหน้าเสีย เกรงผู้เป็นนายจะลงไม้ลงมือกับสตรีตัวน้อย
ซูซูผู้อยู่ในร่างของอวี้หรูยามนี้ มองคนตัวโตซึ่งมีหน้าดุมาก เพราะหนวดเคราบนหน้าเขานั่นแหละ นางหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับปากด้านล่างที่ยื่นออกมา โจวเย่รู้ทันทีว่าอีกไม่กี่อึดใจนางต้องแหกปากร้องอีกแน่ เขาจึงยกนิ้วเรียวขึ้นชี้หน้านาง
“ถ้าเจ้าร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว ข้าจะจับเจ้าทำเมียอีกรอบเหมือนคืนนั้น อย่าคิดว่าข้าไม่กล้า” เสียงรอดไรฟันเปล่งออกมาอย่างเหลืออด
และมันก็หยุดคนตัวเล็กที่ตั้งท่าจะร้องได้ทันทีเช่นกัน ใช่ว่านางจะกลัวสิ่งที่เขาพูด เพียงแต่ว่าข้อสงสัยมันถูกเฉลยแล้ว คนผู้นี้คือชายที่ร่วมเตียงกับอวี้หรูในคืนนั้น ผู้ที่สร้างความอับอายให้นางจนคิดสั้น และถูกคู่หมายถอนหมั้นในคืนนั้นด้วย