บท
ตั้งค่า

บทที่ 29 ค่ายกลตาข่ายฟ้า (3)

บทที่ 29 ค่ายกลตาข่ายฟ้า (3)

จิวชงหยวนมองดูรอบกาย ก่อนจะเก็บพัดในมือพร้อมเรียกกระบี่ออกมาเตรียมพร้อม เส้นอักขระที่วาดเขียนภายในนี้ดูคุ้นตายิ่งนัก เขาพยายามนึกข้อมูลที่มีอยู่ในหัวและอ่านผ่านตา ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อคิดได้ว่าอักขระที่ถูกวาดตรงกำแพงพวกนี้มันคืออะไร

“อักขระพวกนี้รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก” คำพูดของลู่เฟยยิ่งตอกย้ำความมั่นใจมากขึ้น

“มันคือค่ายกลตาข่ายฟ้าที่ไว้ใช้สำหรับกักขังเทพเซียนและปีศาจ” ลู่เฟยหันขวับมามองจิวชงหยวนอย่างตระหนกและเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

“เจ้าแน่ใจหรือ”

“อืม ข้าเคยอ่านเจอตอนที่อาจารย์เอามาให้อ่านช่วงอยู่หุบเขาแห่งเซียน” จิวชงหยวนบอกเสียงมั่นใจ ดวงตาเรียวมองรอบกายโดยยังไม่ขยับไปไหน

“หากเป็นเช่นนั้นใครกันที่มาสลักอักขระอาคมตะข่ายฟ้า หรือจะเป็นพวกนักพรตลัทธิเต๋า” ลู่เฟยออกความเห็นเพราะหลายแคว้นจะมีพวกนักพรตประจำอยู่

“ก็มีความเป็นไปได้ แต่ที่ข้ามั่นใจคือเหล่าจือต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ” จิวชงหยวนบอกแล้วก้าวเดินนำไป ทว่ามือหนากลับยึดแขนเอาไว้เขาจึงหันไปเลิกคิ้วถาม ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อลู่เฟยดึงเขามาไว้ด้านหลังและเป็นคนนำทางไปเอง

ฟิ้ววว~

ธนูพิษพุ่งมาทุกทิศทุกทางจนไม่สามารถหลบได้พ้น นอกจากใช้กระบี่ปัดป้องและตัดให้ขาดด้วยความเร็วเท่านั้น ลู่เฟยเองก็ปล่อยมือจิวชงหยวนให้เป็นอิสระเพื่อจะได้ป้องกันตัวเองถนัดมากขึ้น ผ่านไปครึ่งก้านธูปทุกอย่างก็เงียบลง แต่ความเงียบเหมือนเป็นภัยครั้งยิ่งใหญ่

“วิ่งเร็ว!” ลู่เฟยตะโกนดังลั่นพร้อมลมปราณสะกิดปลายเท้าวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

จิวชงหยวนเองก็เร็วไม่แพ้กัน ทั้งคู่วิ่งไปไกลกว่าสามเมตรก่อนจะหยุดวิ่งเมื่อไม่ได้ยินเสียงตามมาแล้ว เขาหันกลับไปมองด้านหลังแล้วต้องกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียว ขวานขนาดใหญ่นับสิบอันแกว่งไปมา หากพลาดท่าและชักช้าอีกนิดเดียวร่างของเขาคงโดนตัดขาดเป็นชิ้นๆ แน่

ดวงตาเรียวหันไปมองลู่เฟยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ก่อนจะเบิกตากว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อหินขนาดใหญ่กำลังร่วงลงมา จิวชงหยวนคว้ามือลู่เฟยวิ่งหลบได้ทันท่วงที

ตูม!

หินน้ำหนักกว่าพันตันร่วงหล่นลงจนพื้นสะเทือน แต่คาดว่ามันคงไม่สะเทือนไปถึงด้านบนผิวดินเนื่องด้วยตอนนี้เขาอยู่ลึกและออกนอกเมืองเจียงหนานมาไม่น้อย

แฮ่กๆๆ

จิวชงหยวนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้างดงามซีดเผือดหลังจากผ่านพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด

“ข้าว่านี่ไม่ใช่ค่ายกลตาข่ายฟ้าอย่างเดียวแล้วล่ะ ข้าว่ามันเป็นค่ายกลนรกมากกว่า” จิวชงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด หวังว่าเขาคงจะไม่มาจบชีวิตอยู่ที่นี่หรอกนะ

ครืดดดด

ยังไม่ทันได้หายเหนื่อย จิวชงหยวนต้องกวาดมองรอบๆ กายอย่างตื่นตัว และคราวนี้ไม่ต้องให้ใครเอ่ยเตือน สองร่างวิ่งพลิ้วหลบคมดาบ หลบลูกตุ้มหนามแหลมขนาดใหญ่ที่กลิ้งเข้ามาหาได้อย่างทันท่วงที

“ผ่าพิภพ”

ตูม!

จิวชงหยวนหันกลับมาตวัดผ่าลูกตุ้มยักษ์ที่กลิ้งเข้ามาหาด้วยความเร็วแล้วทะยานขึ้นฟ้าหลบการแตกกระจายของมัน

เคร้ง เคร้ง เคร้ง...

ลู่เฟยเองก็ตีลังกาหลบพร้อมคอยตวัดกระบี่ตัดคมหอกคมดาบที่พุ่งออกมาด้วยความเร็วเช่นกัน แม้จะทำลายอาวุธลับที่พุ่งเข้ามาหาหมดแล้ว แต่ทั้งคู่ไม่ได้คลายความหวาดระแวงลง เมื่อผ่านมาได้สักพักยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงเริ่มเดินไปตามอุโมงค์ซึ่งมีคบไฟจุดตามรายทางไปเรื่อยๆ

จิวชงหยวนมองคนนำทางที่บาดเจ็บเล็กน้อย ก่อนจะหายาแก้พิษยื่นให้เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไรซึ่งเจ้าตัวก็รับมากินอย่างว่าง่าย ดวงตายังกวาดมองรอบกายอย่างหวาดระแวง กระบี่ในมือลู่เฟยคือกระบี่มารที่หยิบติดมือมาระหว่างโยนหินไฟใส่ร่างของตาแก่เจ้าเล่ห์

แม้เขาจะไม่เห็นด้วยเพราะกระบี่มารนั้นหากจิตใจไม่แข็งแกร่งพออาจจะโดนครอบงำได้ แต่ลู่เฟยกลับยืนยันที่จะใช้มันเนื่องจากกระบี่เดิมถูกทำลายไปเมื่อคืน เขาจึงปล่อยเลยตามเลย อีกอย่างเขามั่นใจว่าคนที่เคยเป็นถึงแม่ทัพสวรรค์คงไม่มาพ่ายแพ้ให้กับแค่กระบี่มาร

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel