บทที่ 29 ค่ายกลตาข่ายฟ้า (2)
บทที่ 29 ค่ายกลตาข่ายฟ้า (2)
“ไปกันเถอะเหล่าจืออาจอยู่ที่นั่นก็ได้”
จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟย ก่อนจะทะยานไปยังตำหนักดังกล่าว แต่แล้วต้องพลิ้วตัวหลบใต้พุ่มไม้อย่างคล่องแคล่วเมื่อหน้าตำหนักเย็นมีชายร่างยักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองคน ลู่เฟยที่ตามมาติดๆ ก็หลบตามอย่างทันท่วงที
จิวชงหยวนมองอยู่ครู่หนึ่งพลันสะบัดเข็มพิษยาสลบใส่ทั้งคู่ด้วยความเร็ว เพียงไม่นานผู้เฝ้าตำหนักก็ล้มสลบลงไปด้วยฤทธิ์ยา เขาจึงเดินออกมาพร้อมลากร่างนั้นไปหลบไว้ด้านหลังกำแพงโดยมีลู่เฟยช่วยลากอีกคนไปหลบเช่นกัน ทั้งคู่เดินเข้าไปภายในตำหนักที่ดูวังเวง
“ข้าจะไปหาดูทางนั้น ส่วนเจ้าไปทางนี้แล้วกัน ระวังตัวด้วยนะ” ลู่เฟยหันมาบอกเพื่อจะได้หาเป้าหมายเร็วขึ้นกว่าเดิม
จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะแยกไปคนละทางกับลู่เฟย เขาเดินผ่านห้องต่างๆ มาเรื่อยๆ ทว่าขณะเดินผ่านก็ยกมือขึ้นลูบกำแพงห้องมาตลอดเส้นทางเช่นกัน เพราะความเจ้าเล่ห์ของตาแก่นั่นทำให้เขาไม่ไว้ใจ จนกระทั่งมาถึงห้องรับแขก น่าแปลกข้าวของเครื่องใช้มีน้อยกว่าห้องอื่น มีเพียงชั้นหนังสือขนาดกลางที่ตั้งอยู่ริมห้อง นอกนั้นก็โต๊ะเก้าอี้นิดหน่อย ทั้งๆ ที่ห้องอื่นจะประกอบไปด้วยข้าวของที่มีค่าทำมาจากทองคำทั้งนั้น
ครืดดด
ฝ่ามือที่ลูบกำแพงมาเรื่อยๆหยุดชะงักตรงข้างชั้นหนังสือ พร้อมกลไกบางอย่างทำให้ชั้นหนังสือขนาดกลางเลื่อนออกอัตโนมัติ เผยให้เห็นบันไดลงไปยังชั้นล่างที่มืดทึบจนไม่อาจรู้ได้ว่าใต้ล่างนี้มีสิ่งใด
วีดดดด
จิวชงหยวนผิวปากยาวๆ หนึ่งครั้ง เพียงไม่นานคนที่ต้องการเรียกก็มาปรากฏตัวตรงหน้า ลู่เฟยนิ่วหน้าพร้อมบ่นเบาๆ อย่างไม่จริงจังมากนัก
“ข้าไม่ใช่หมาจะได้ผิวปากเรียกอย่างนั้น” จิวชงหยวนยิ้มให้อย่างไม่ถือสาแล้วตอบกลับอย่างหยอกเย้า
“หรือเจ้าจะให้ข้าเป่าขลุ่ยเรียกล่ะ จะได้แห่กันมาทั้งตำหนักเลย”
“เปล่าซะหน่อย” ลู่เฟยตอบกลับเบาๆ แล้วขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าตนอย่างหมั่นเขี้ยวที่ชอบเถียง และเดี๋ยวนี้เริ่มจะตอบโต้เขาได้แล้วหลังจากเมื่อก่อนโดนเขาแกล้งมาเนิ่นนาน
“หัวยุ่งหมดแล้ว” จิวชงหยวนปัดมือออกหน้ายุ่ง ลู่เฟยหัวเราะในลำคออย่างชอบใจแล้วหยิกแก้มป่องด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ใช่เวลาเล่นไหมนี่”
จิวชงหยวนมองคนเล่นไม่เป็นเวลาตาเขียวปั้ด จนลู่เฟยผละมือออกอย่างยอมแพ้ก่อนชะเง้อมองทางลับที่มืดมิดจนมองไม่เห็นเบื้องล่าง แต่ไม่ใช่สำหรับเขาเพราะตั้งแต่ความทรงจำเริ่มกลับคืนมาจะมองเห็นกลางคืนเหมือนในเวลากลางวันไม่มีผิด
“ไปเถอะ” ลู่เฟยหันมาบอกพร้อมจูงมือคนงาม ทว่าเมื่อลงมาลึกเท่าไรยิ่งต้องระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากสิ่งผิดปกติภายใน
ทั้งคู่เดินเข้ามาระยะทางไกลมากจนไม่น่าเชื่อว่าตาแก่นั่นจะสร้างทางใต้ดินไว้ใต้เมืองเจียงหนานได้ และยิ่งเดินมาลึกเท่าไรความอับชื้นก็มีมากขึ้นเท่านั้น การเดินทางในที่มืดและอับชื้นเช่นนี้ ทำให้จิวชงหยวนลำบากไม่น้อยเพราะมองไม่เห็นเส้นทางได้เหมือนลู่เฟย
ฟิ้วววว~
เสียงแหวกอากาศดังเข้ามาทำให้สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำงาน สองร่างพลิ้วตัวตีลังกาหลบห่าธนูที่อาบยาพิษไปมาอย่างคล่องแคล่ว โดยที่ลู่เฟยพยายามปัดป้องช่วยคนรักด้วยความเร็ว เพียงไม่นานห่าธนูชุดแรกก็เงียบไปทว่าทั้งคู่ยังไม่กล้าขยับไปไหนเพราะเริ่มรู้แล้วว่าเข้ามาในเขตค่ายกล
“ลู่เฟยพอจะเห็นกลไกอะไรที่ทำให้ไฟสว่างไหม” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่จับมือตัวเองแน่น ตอนนี้เขามองไม่เห็นนอกจากอาศัยสัญชาตญาณเอาตัวรอดเท่านั้น
ลู่เฟยกวาดมองตามพื้นผนังห้องใต้ดินในอุโมงค์ที่กว้างขวางไม่น้อย ดูลักษณะภายนอกไม่น่าจะมีค่ายกลอะไรซุกซ่อนอยู่ แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ประมาทไม่ได้เช่นกัน ดวงตาคมกริบสะดุดกับรูปปั้นอินทรียักษ์ที่อยู่เหนือศีรษะไปสามเมตรและมีไข่มุกสีขาวลูกใหญ่อยู่ตาซ้ายของอินทรียักษ์
“ยืนรออยู่นี่อย่าเพิ่งขยับไปไหน”
ลู่เฟยบอกพร้อมโคจรลมปราณมาที่เท้าแล้วดีดตัวขึ้นไปโดยอาศัยกำแพงปีนป่ายขึ้นไปด้วยความเร็วพร้อมฝ่ามือซัดเข้าไข่มุกสีขาวที่เป็นนัยน์ตาของอินทรี เพียงแค่สัมผัสคบเพลิงที่วางไว้ในจุดต่างๆ กลับมีไฟลุกโซนอย่างน่าอัศจรรย์ ลู่เฟยพลิ้วตัวลงมายืนข้างกายคนรัก