**บทที่ 4**
(ไอ้เคตอนนี้มึงอยู่ไหน)
“แถวร้านเหล้าที่เคยมา กูมาธุระเดี๋ยวกูก็กลับ”
(รีบมานะมึง ไอ้เตมันรออยู่)
“อืม” ผมกดวางสายไอ้เพทายไป ก่อนที่จะเดินลงจากรถ ตรงเข้าไปในผับแห่งหนึ่ง ไม่ลืมที่จะหยิบถุงกระดาษสีขาวเล็กๆ ติดมือลงไปด้วย นาฬิกาข้อมือราคาแพง บอกเวลาอีกไม่กี่นาที่ก็จะเที่ยงคืน ภายในผับเต็มไปด้วยนักท่องราตรี ผมสาดส่องสายตามองหาบุคคลที่ผมจะมาเจอ
ร่างเล็กๆ กำลังโยกย้ายอย่างสนุกสนานกลางผับ ผมเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปด้านใน ก่อนจะเดินไปยืนตรงหน้าของหญิงสาวคนหนึ่ง แล้วยื่นถุงในมือส่งไปให้เธอ
“เค มาแล้วหรอ” ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยขนตางอนงามเบิกกว้างด้วยความดีใจ เธอดึงข้อมือของผมตรงไปนั่งที่บาร์เหล้าใกล้ๆ “รอตั้งนาน นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”
“อืม” ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา รับเครื่องดื่มจากพริ้งกี้มาดื่มรวดเดียวหมดแล้ว ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตั้งท่าจะเดินออกมาแต่เธอกับกอดแขนผมเอาไว้
“นั่งยังไม่หายร้อนเลย จะไปแล้ว เคอยู่กับเขาก่อนสินะ” ใบหน้าสวยทำท่าออดอ้อนผม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงใจอ่อน แต่ตอนนี้…. “นะเค วันนี้วันเกิดพริ้งนะ…”
“ฉันมีงานต่อ วันนี้เธอมากับเพื่อนก็อยู่กันไป” ผมดึงแขนกลับมา แล้วหันหลังเดินออกมาจากผับ ตรงไปที่รถยนต์ของตัวเอง ผมมุ่งหน้าไปตามนัดของเพื่อน ในขณะที่รถจอดติดไฟแดงอยู่ ผมมองเห็นความผิดปกติ มีรถจักรยานยนต์คันสีดำ มีชายสวมชุดดำสองคน ผมเห็นพวกมันขับตามผมออกมาตั้งแต่ที่ผับ
ความรู้สึกที่รวดเร็ว ผมรีบหยิบปืนในลิ้นชักรถขึ้นมา วางเอาไว้ด้านข้าง เมื่อสัญญาณไฟสีเขียวผมไม่รอช้ารีบสปีดเครื่องยนต์เต็มกำลัง พุ่งไปด้านหน้า ตอนนี้ถนนว่าง ผมไม่สนใจกล้องจับความเร็ว ถนนที่โล่งมันยิ่งทำให้ผมเพิ่มความเร็วของรถมากยิ่งขึ้นแต่นั่นมันก็คือผลเสีย ที่ผมไม่ได้เอะใจ ด้านหน้ามีรถพ่วงสองคันขับคู่ขนาด ผมเหยียบเบรก เหยียบให้ตายยังไงรถก็ไม่หยุด
ตอนนี้ผมต้องตัดสินใจ ระหว่างพุ่งไปด้านหน้า หรือหักมันเข้าข้างทาง สิ่งไหนจะรอด แต่ผมว่ามันมีค่าเท่ากัน แล้วผมก็ตัดสินใจ หักพวงมาลัยเข้าข้างทางที่เต็มไปด้วยพงหญ้า ผมมองเห็นแค่นั้น ทั่วบริเวณมันมืดไปหมด ลองเสี่ยงดวงดูจะเป็นอะไรไป เอี๊อด!!!
แรงกระแทกผมรู้สึกเจ็บที่หน้าอกแบบรุนแรง แต่ก็ยังมีสติ ผมรีบเดินลงมาจากรถด้วยร่างกายที่ปวดร้าว เสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ สายตาที่เริ่มปรับกับแสงความมืดได้ มองเห็นเงาของผู้ชาย แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้มองเห็นชัด เสียงรถยนต์คันหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจอด
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมเสียงรถจักรยานยนต์ที่ขับออกไป “คุณเปิดประตูรถหน่อย คุณ.. มีใครอยู่ข้างในไหม” น้ำเสียงของเธอดูร้อนรน
“ฉันอยู่นี่..” ผมที่นอนราบไปกับพื้นเพื่อซ่อนตัวจากชายชุดดำ “อ๊าา ให้ตายสิ แม่ง…” ผมพึ่งรู้ว่าตอนนี้ศีรษะผมมีเลือดออก แล้วตอนนี้มันกำลังปวดแบบสุดๆ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ เลือด!!” น้ำเสียงที่ดูตกใจ เธอร้อนรนจนผมรำคาญใจ มาช่วยหรือมาอะไรกันแน่ว่ะ!! “หัวคุณมีเลือด เอาผ้ากดไว้ก่อนนะ เดี๋ยวฉัน โทรเรียกรถโรงพยาบาลให้”
“ไม่ต้อง เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน”
“พูดเสียงดังฟังชัดแบบนี้ คงไม่ต้องเรียกรถพยาบาลแล้วมั้ง จะขอร้องคนอื่น พูดให้มันดีๆ กว่านี้หน่อยได้ไหมห๊ะ” น้ำเสียงที่ฟังแล้วแสบแก้วหูดังขึ้น ผมมองหน้าเธอไม่ชัดมากนัก แต่ผิวที่ขาว แม้อยู่ในความมืดก็ยังรับรู้ได้ว่าขาว เธอสวมใส่เสื้อสีขาว
“เอาโทรศัพท์ให้ฉัน เร็ว!!”
“เก่งนักก็ไปเอาเองสิ!! ให้ตายสิ!! คนอุตส่าห์มาช่วย แทนที่จะพูดดีๆ นี่อะไรตะคอกเหมือนฉันเป็นคนรับใช้ ไอ้เด็กบ้านี่” น้ำเสียงที่ไม่พอใจ มันชวนทำให้ผมอารมณ์หงุดหงิด ก่อนที่โทรศัพท์จะยื่นมาตรงหน้า ผมรีบรับมันมา คุยอยู่ไม่นานผมก็วางสาย
“ช่วยพยุงหน่อย” ผมคิดว่าผมใช้น้ำเสียงแบบดีที่สุดแล้วนะ แต่เธอก็ยังคงยืนนิ่ง “ฉันบอกว่า ช่วยพยุงหน่อย”
“นี่คือการขอความช่วยเหลือ??” ถึงเธอจะไม่พอใจกับคำพูดของผม แต่เธอก็ยังเข้ามาพยุงผมเดินตรงมาที่รถของเธอ ซึ้งตอนนี้ ผมได้มองเห็นใบหน้าของเธอเพียงด้านข้าง “ฉันว่าโทรแจ้งตำรวจหน่อยดีกว่า มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ ส่วนนายก็ควรไปโรงพยาบาล เจ็บขนาดนี้ ไปให้หมอตรวจหน่อยดีกว่า”
ประตูรถถูกเปิดออก เธอพยุงผมเข้ามานั่งในรถ ก่อนที่จะเดินอ้อมไปด้านฝั่งคนขับ เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก คงสูงประมาณไม่น่าเกิน ร้อยหกสิบเซนติเมตร เสื้อสีขาวของเธอ เต็มไปด้วยเลือด พอเธอขึ้นมานั่งบนรถได้ สิ่งแรกที่เธอทำคือ ยื่นผ้าเช็ดตัวสีขาวมาตรงหน้าให้ผม แล้วนี่ก็เป็นการได้มองเห็นใบหน้าที่ชัดเจน แบบทะลุถึงรูขุมขน
แม่เจ้า!! สวยขนาดนี่ไปอยู่ที่ไหนมา ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลง จ้องมองสบตาของผมเช่นเดียวกัน แล้วเธอก็หันมาสนใจ แผลที่ศีรษะของผมแทน
“เอาผ้ากดเอาไว้ ถ้าไม่อยากตายเพราะเลือดหมดตัว แนะนำให้ไปโรงพยาบาลตอนนี้”