บทที่ 2 (1)
มิถุนายน 2555
ฤดูร้อนในกรุงอัมสเตอร์ดัม ด้วยอุณหภูมิ 18-25 องศาเซลเซียล ซึ่งเป็นอากาศที่กำลังอบอุ่นเย็นสบายสำหรับชาวดัตช์ ทว่าอุณหภูมิภายในคฤหาสน์อัลเคอร์เมสส์ ดูท่าว่าจะทะลุองศาเดือดในทุกขณะ เมื่อจอมแสบของบ้าน กำลังอาละวาดใส่พี่เลี้ยงคนใหม่อย่างไม่ยั้ง
โครม!!!
เพล้ง!!!
ทั้งแก้วน้ำ ทั้งจานข้าว และข้าวของเครื่องใช้อีกมากมายที่อยู่ใกล้มือพอจะหยิบฉวยได้ ถูกมือเล็กจับโยนลอยละลิ่วปลิวว่อนทั่วห้องนอนใหญ่ เมื่อผู้เป็นเจ้าของห้องอย่างเจ้าหนู ราฟาล อัลเคอร์เมสส์ ได้แผลงฤทธิ์ใส่พี่เลี้ยงคนใหม่ ซึ่งเพิ่งเข้ามาทำงานไม่ทันจะครบวันด้วยซ้ำไป
“ออกไปเลย ราฟาลไม่ชอบคุณ ไม่ต้องมาดูแลราฟาลทั้งนั้น ไปให้พ้น”
สิ้นเสียงเล็กแหลมซึ่งตะโกนด่าตวาดไล่พี่เลี้ยงที่ตนเองไม่ชอบหน้า ก็มีเสียงวัตถุหนักลอยมากระทบประตูห้องดังเป็นระลอก และสิ่งสุดท้ายที่ตามมาคือเสียงร้องไห้โฮของผู้เป็นพี่เลี้ยง ซึ่งวิ่งแจ้นลงมาจากห้องนอนของคุณหนูราฟาลอย่างรวดเร็ว จนผู้ที่นั่งมองอยู่ตรงห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ นึกหวาดกลัวว่าพี่เลี้ยงคนนี้จะสะดุดบันไดตกลงมาคอหักตายก่อนจะได้รับค่าจ้าง
“ฮือๆๆ ไม่เอาแล้ว เด็กอะไรแสบเป็นบ้า ทั้งโมโหร้าย ทั้งชอบแกล้งคน ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว ถ้าต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กผี แสบไปทุกหยด ต่อให้ได้เงินเดือนเยอะแค่ไหนก็ไม่เอา”
มาดามเกรซ อัลเคอร์เมสส์ ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หรูหรา ซึ่งได้นั่งถักผ้าพันคอไหมพรม เตรียมสำหรับใช้ในฤดูหนาวอันใกล้นี้ รีบเงยหน้าขึ้นมองตามที่มาของเสียงร้องไห้โฮลั่นบ้าน พอเห็นผู้ที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กซึ่งมีสภาพดูไม่จืด ทั้งผมเผ้า เสื้อผ้าเลอะไปด้วยข้าวต้มเละๆ ที่ดูเหมือนถูกละเลงด้วยข้าวต้มตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก็ไม่ปาน ส่วนใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาก็ถูกขีดเขียนด้วยสีเมจิกหลากสีซะเต็มใบหน้า จนมองดูเป็นสีรุ้งยังไงยังงั้น ก็ถึงกับอ้าปากค้างกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ พอหญิงสาวที่ถูกจ้างให้มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กทำท่าจะวิ่งออกไปจากตัวบ้าน ก็รีบเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เดี๋ยวฉันจะให้เลขาฯ ส่งเช็คค่าเสียหาย ค่าเสียเวลาไปให้เธออีกที”
“ขอบคุณ ดิฉันลาล่ะค่ะ”
ผู้เป็นพี่เลี้ยงเด็กเอ่ยตอบเสียงปนสะอื้น ก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกจากห้องโถง ไม่ยอมทรุดกายลงนั่งสนทนากับมาดามเกรซให้เสียเวลา ราวกับเกรงว่าเด็กน้อยที่เธอตั้งฉายาให้ว่าเด็กผี จะตามมาเล่นงานเธออีกระลอก และก่อนจะก้าวพ้นจากประตูบ้าน ก็ไม่ลืมหันมาพูดกับมาดามเกรซเป็นการส่งท้าย
“บอกตามตรงนะคะมาดาม ว่าดิฉันขอสาปส่งหลานชายของมาดาม ชาตินี้ขออย่าได้เจอกันอีกเลย เด็กอะไรไม่รู้ร้ายกาจเป็นที่สุด”
มาดามเกรซถอนหายใจเฮือกๆ มองตามพี่เลี้ยงเด็กที่วิ่งออกจากคฤหาสน์ไปจนสุดสายตา ก่อนจะหันมาปรับทุกข์กับแม่บ้านแอลลีน ผู้เป็นคนรับใช้ส่วนตัว
“รายที่ 5 แล้วนะแอลลีน ที่หนีกระเจิงไม่เป็นท่าแบบนี้”
“ใช่แล้วค่ะมาดาม รายที่ 5 แล้ว ที่ถูกคุณหนูราฟาลเล่นงานเสียเละ และแอลลีนคิดว่าคงมีรายที่ 6 7 และ 8 ในเร็วๆ วันนี้แน่ค่ะ”
แม่บ้านแอลลีน ซึ่งเป็นต้นห้องของมาดามเกรซ เอ่ยคาดเดาสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า ซึ่งนางมั่นใจว่าต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน เพราะระยะเวลาแค่เพียงสองสัปดาห์ มาดามเกรซต้องจ้างพี่เลี้ยงเด็กถึง 5 คนแล้ว ทว่าไม่เคยมีใครอยู่ทำงานเกิน 1 วันเลย แค่เพียงเข้าไปทักทาย เข้าไปทำความรู้จักกับคุณหนูราฟาล อัลเคอร์เมสส์ ที่พวกเธอต้องอยู่ดูแลตลอดระยะเวลา 4-5 เดือน ระหว่างมาดามเกรซพักรักษาตัวจากอาการขาหัก ไม่ถึงสิบนาทีดี ทุกคนก็ต้องร้องไห้โฮวิ่งหนีออกจากบ้าน และเอ่ยสาปส่งคุณหนูราฟาล เหมือนเช่นดั่งหญิงสาวคนเมื่อสักครู่ตะโกนต่อว่าลั่นบ้าน
“ฉันกลุ้มใจจริงๆ นะแอลลีน ถ้าไม่เจ็บตัวขาหักเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ จนต้องนั่งแกร่วอยู่กับที่อย่างตอนนี้ ฉันจะไม่จ้างใครให้มาดูแลตาหนูราฟาลเลย แต่ละคนไม่มีใครกำราบหลานของฉันได้ เจอกันไม่ถึงสิบยี่สิบนาทีก็พากันเผ่นหนีป่าราบ”
มาดามเกรซบ่นอุบ รู้ว่าหลานชายหัวแก้วหัวแหวนนั้นร้ายกาจมากเพียงใด ซึ่งนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ แถมยังขี้โมโหเป็นที่หนึ่ง รวมทั้งหน้าตาสีผมเค้าโครงหน้า ราฟาลถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อเสียทุกกระเบียดนิ้ว และด้วยความที่ราฟาลเป็นเด็กกำพร้าขาดแม่ตั้งแต่เล็ก เลยทำให้ผู้เป็นคุณย่าอย่างนางทั้งรักทั้งหลง และเอาใจหลานชายคนเดียวเป็นที่สุด
ผู้เป็นต้นห้องของมาดามเกรซ ตีสีหน้าหนักใจไม่แพ้ผู้เป็นนายหญิง เพราะตั้งแต่มาดามเกรซประสบอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก ต้องใส่เฝือกและรักษาอาการบาดเจ็บเป็นเดือนๆ ก็ไม่มีใครคอยดูแลคุณหนูราฟาล ซึ่งยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งดื้อเอาแต่ใจ ไม่มีใครกำราบลงนอกจากผู้เป็นพ่อแต่เพียงผู้เดียว
“เอายังไงดีค่ะมาดาม จะประกาศรับสมัครพี่เลี้ยงคุณหนูอีกไหมคะ หรือว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก”
แม่บ้านแอลลีนถามความเห็นมาดามเกรซ ซึ่งกำลังสีหน้าครุ่นคิดว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ยังไงดี
“ประกาศรับสมัครอีกแอลลีน ให้เงินเดือนเยอะกว่ารอบแรกอีก 10 ยูโร ลองดูจะมีใครมาสมัครอีกหรือเปล่า ถ้ามีมาสมัครก็ให้เขาทำงานไปพลางๆ ระหว่างรอหลานสาวของฉันเดินทางมาอัมสเตอร์ดัม ถึงตอนนั้นหนูพิมก็คงดูแลราฟาลได้ เพราะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว”
มาดามเกรซเพิ่มจำนวนเงินเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนมาสมัครเป็นพี่เลี้ยงหลานชายของตนเองอย่างคนใจป้ำ ไม่รู้สึกเสียดายเงินสักนิด ซึ่งเงินเดือนจำนวนเดิมที่ประกาศไว้ก็มากโขปาไป 3 พันยูโปแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีใครอยู่ทำงานได้เต็มเดือนเลยแม้แต่รายเดียว แต่ละคนถ้าไม่หนีราฟาลภายใน 1 หรือ 2 ชั่วโมง ก็อยู่ทำงานได้นานสุดไม่เกิน 1 วัน และทุกรายต่างก็ร้องไห้โฮมีสภาพดูไม่จืดเหมือนกับพี่เลี้ยงคนก่อนหน้า ที่เพิ่งวิ่งหนีออกไปไม่กี่สิบนาทีที่ผ่านมา และระหว่างรอให้พิมพ์มาดาผู้เป็นหลานสาวได้เดินทางมาถึงอัมสเตอร์ดัม นางก็จำเป็นต้องประกาศรับสมัครพี่เลี้ยงให้มาคอยดูแลหลานชายของตนเองไปเรื่อยๆ
“ได้ค่ะมาดาม เดี๋ยวแอลลีนจะประกาศรับสมัครอีกครั้งนะคะ แต่ไม่รู้ว่าคราวนี้จะมีใครมาสมัครอีกหรือเปล่า
แอลลีนว่าป่านนี้คุณหนูราฟาลคงดังทั่วอัมสเตอร์ดัมแล้วล่ะมั้งคะ”
แม่บ้านแอลลีนรับคำสั่งของมาดามหญิงแห่งตระกูลอัลเคอร์เมสส์ ในใจนั้นอยากแนะนำผู้เป็นเจ้านายเหลือเกินว่าให้ส่งคุณหนูราฟาลเข้าโรงเรียนประจำ เพื่อเป็นการดัดนิสัยที่เอาแต่ใจของคุณหนูราฟาลบ้าง แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ถึงแนะนำออกไปนางก็มั่นใจว่ามาดามเกรซ และคุณผู้ชายซึ่งเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของคุณหนูราฟาล คงไม่ยอมส่งแก้วตาดวงใจของพวกตนให้ไปอยู่ไกลหูไกลตาแน่
มาดามเกรซหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำสัพยอกของแม่บ้านแอลลีน จากนั้นก็ได้กวักมือเรียกให้อีกฝ่ายช่วยขยับเท้าข้างที่เข้าเฝือกมาเกือบถึงหัวเข่าให้ตนเองด้วย
“แอลลีนช่วยขยับเท้าฉันมาวางบนโซฟาหน่อย ชักจะเมื่อยเท้ามากแล้ว”
“ค่ะมาดาม”
แม่บ้านแอลลีนรับคำ พร้อมกับผุดลุกขึ้นไปช่วยยกเท้าของนายหญิง ข้างที่เข้าเฝือกไปวางบนโซฟาด้วยกริยาแผ่วเบา ไม่ให้อาการเจ็บปวดได้เข้ามาระแคะระคายผู้เป็นนายหญิง
“เฮ้อ...ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถอดเฝือกได้สักที ฉันรำคาญมันจะแย่อยู่แล้ว”