บทที่ 1 (2)
“พิม...”
อดีตนางเอกสาวถึงกับบ่อน้ำตาตื้น ร้องไห้โฮไม่ต่างจากเด็กตัวเล็กๆ โผเข้าไปสวมกอดผู้ที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งผู้จัดการส่วนตัวของตัวเองไว้แน่น พร้อมกันนั้นก็พึมพำสะอึกสะอื้น ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ที่กำลังเล่นตลกกับเธออยู่เช่นทุกวันนี้
“ทำไมต้องเป็นพีช ที่ประสบปัญหาแบบนี้ ทำไมพ่อกับแม่ต้องด่วนจากพีชไป ทำไมท่านไม่อยู่กับพีชก่อน ทำไมทุกคนถึงเกลียดพีช ทำไมพวกเขาไม่จ้างพีช พิม...พิมอย่าหนีพีชไปไหนนะ พีชไม่มีใครอีกแล้ว...”
พิมพ์มาดาตบเบาๆ ลงไปบนแผ่นหลังของเพื่อนสาว อยากลั่นวาจาตอบในทุกคำว่า ทำไม ของธัญพิชชาว่า ที่ผู้จัดละครไม่ยอมจ้างงานเธอนั่น ก็เป็นเพราะนิสัยที่ไม่เอาไหนของธัญพิชชาเอง แต่เมื่อไม่อาจพูดเช่นนั้นได้ พิมพ์มาดาจึงปลอบในถ้อยวาจาที่ช่วยให้ธัญพิชชารู้สึกคลายความเครียด คลายความทุกข์ได้มากที่สุด
“พีช เรื่องเกิดแก่เจ็บตาย เราห้ามกันไม่ได้หรอกนะ คุณพ่อกับคุณแม่ท่านไปสบายแล้ว แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างพีช ต้องต่อสู้กับปัญหาทุกอย่างที่กำลังรุมเร้าอยู่รอบตัวของพีชในขณะนี้ ใครเขาไม่จ้างงานพีชก็ช่างเขา พีชมีความรู้ มีความสามารถ พีชหางานอื่นทำก็ได้นี่”
ธัญพิชชาสูดสะอื้น เอ่ยถามเสียงขาดกระท่อนกระแท่น “จะ...จะให้พีชทำงานอะไร...พีชไม่เคยทำงานหนักเลยชั่วชีวิต พีชเล่นละคร เดินแบบ ถ่ายโฆษณาเป็นแค่เพียงอย่างเดียวนะพิม”
พิมพ์มาดาพยักหน้ารับเห็นพ้องในถ้อยคำที่ธัญพิชชาพูดออกมา คุณหนูของตระกูลศิรดาไม่เคยจับต้องงานบ้านให้ฝ่ามือได้หยาบกร้าน ไม่เคยหยิบจับงานหนักมาเลยทั้งชีวิต เพราะเหตุนี้เธอจึงได้หางานที่เบาและค่อนข้างสบายให้เพื่อนสาวได้ทำ
“ถ้าพิมหางานให้พีชทำ พีชจะทำไม งานเบาไม่หนักหนาอะไร แถมยังได้เงินเยอะด้วยนะ”
ธัญพิชชายกมือปาดน้ำตา พลางจ้องมองเพื่อนสาวเขม็ง เมื่อได้ยินเรื่องอาชีพการงาน ที่ฟังดูล่อแหลมเหลือเกิน และด้วยคิดไปไกลว่างานอันแสนสบายได้เงินดี ต้องเป็นงานเอาเนื้อตัวเข้าแลก จึงตวาดต่อว่าผู้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของตนเองทันที
“พิม! ถ้าต้องไปค้ายา ขายตัว หรือทำงานที่ผิดกฎหมาย พีชไม่เอาด้วยหรอกนะ”
พิมพ์มาดาส่ายหน้าช้าๆ ด้วยความระอาคนที่ช่างคิดไปไกล จากนั้นก็เอ่ยตอบถึงหน้าที่การงาน ที่ตนเองได้นำมาเสนอให้อีกฝ่ายพิจารณา
“พีช อย่าเข้าใจผิดคิดว่าพิมจะหางานพวกนั้นให้พีชทำสิ”
“แล้วจะให้พีชทำงานอะไร เลี้ยงเด็ก เลี้ยงคนชรา พีชไม่ทำนะ”
ธัญพิชชาเอ่ยดักคอก่อนที่เพื่อนสาวจะทันพูดจบ และพอเห็นพิมพ์มาดาพยักหน้ารับ บ่งบอกให้รู้ว่ากำลังเสนองานการเป็นพี่เลี้ยงให้กับเธอ ก็ถึงกับเอะอะโวยวายร้องเสียงหลง
“ไม่เอา! พีชไม่ทำ พีชเกลียดเด็ก เกลียดคนแก่ ยังไงๆ พีชก็ไม่ทำเด็ดขาด”
“ไม่ยอมเป็นพี่เลี้ยงเด็ก แต่จะยอมอดตาย และปล่อยให้เจ้าหนี้มาตามทวงหนี้เป็นรายวันแบบนี้หรือพีช สักวันจะถูกพวกเจ้าหนี้ยิงตายเหมือนที่เป็นข่าวหน้าหนึ่ง ถ้าพวกมันยิงพีชนัดเดียวแล้วพีชตายคาที่เลย พิมก็ไม่รู้สึกเสียใจเท่าไรหรอกนะ แต่ถ้าหากพวกมันทำอย่างอื่น ก่อนจะฆ่าพีชทิ้ง พีชคงต้องตกนรกทั้งเป็นแน่”
คำพูดของพิมพ์มาดา ช่วยให้ธัญพิชชาฉุกคิดขึ้นมาได้ ร่างบอบบางสะโอดสะองเกิดอาการสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว ทุกวันนี้เธอแทบจะไม่กล้าออกจากคอนโด เพราะเกรงว่าเจ้าหนี้ของบิดามารดา ที่กำลังตามทวงหนี้กับเธออยู่ในเวลานี้ จะเข้ามาทำร้ายเธอเอา หากมีความจำเป็นต้องออกจากคอนโดจริงๆ หญิงสาวก็ใช้วิธีปลอมตัวไม่ให้ใครจำเธอได้
“พีชต้องทำงานเป็นพี่เลี้ยงคนแก่ ขี้บ่นจู้จี้จุกจิกจริงหรือพิม” น้ำเสียงที่เอ่ยถามออกมานั้น บ่งบอกให้รู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นให้อดีตนางเอกสาวอย่างเธอได้เลือกเดินอีกต่อไป
“ไม่ใช่พีช พิมไม่ได้ส่งพีชให้ไปเป็นพี่เลี้ยงคนแก่ แต่พิมจะให้พีชไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กต่างหาก”
“พี่เลี้ยงเด็ก!!”
ธัญพิชชาทำหน้าเหยเกราวกับจะร้องไห้ ขณะทวนคำพูดของเพื่อนรัก จากนั้นก็โอดครวญถึงหน้าที่ที่ตนเองต้องทำ หากรับเป็นพี่เลี้ยงเด็กอย่างที่พิมพ์มาดาได้เอ่ยบอกมา
“ยี้! เป็นพี่เลี้ยงเด็กก็ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม ล้างอึให้เด็กด้วย ไม่เอาหรอก ยังไงๆ พีชก็ไม่ทำเป็นอันขาด พีชยอมอดตาย ดีกว่าไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กตัวเล็กๆ แบบนั้น เวลาร้องไห้โยเยหนวกหูจะตายไป”
อดีตนางเอกสาวร้องบอกตามตรง ก็คนอย่างธัญพิชชาไม่ใช่นางงามนี่ ที่จะโบกมือหย่อยๆ แล้วตอบคำถามกรรมการว่ารักเด็ก เอ็นดูเด็กเป็นที่สุด ตอนแสดงละครฉากที่เธอต้องเทคยับเป็นว่าเล่น ก็คือฉากที่มีเด็กๆ เข้ามาร่วมแสดงด้วย
พิมพ์มาดาถอนหายใจเฮือกๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กเล็กหรือเด็กโต แต่อีกฝ่ายก็ตีโพยตีพายจนเธออดหมั่นไส้ไม่ได้
“นี่พีช ก่อนจะร้องโวยวายกรุณาฟังพิมพูดให้จบก่อนได้ไหม” พิมพ์มาดาต่อว่าเสียงขุ่น มองค้อนอดีตนางเอกสาว ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“พอดีคุณป้าของพิม ท่านตกบันไดขาหัก ก็เลยไม่สะดวกดูแลน้องราฟาล ท่านอยากได้พี่เลี้ยงเด็กไปดูแลน้องราฟาลระหว่างที่กำลังพักรักษาตัวอยู่”
ธัญพิชชาขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง ขณะได้ยินชื่อของเด็กน้อยที่ตนเองต้องไปเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นให้ ซึ่งชื่อฟังออกเป็นชื่อของเด็กชาวต่างชาติ จนเธอต้องถามออกมาด้วยความสงสัย
“ราฟาล? ชื่อเหมือนเด็กต่างชาติเลยนะพิม”
“ใช่แล้วพีช ราฟาลมีศักดิ์เป็นหลานของเรา อายุราวๆ เจ็ดขวบ นั่นก็ทำให้พีชไม่ต้องดูแลราฟาลมาก แค่คอยหาข้าว หาน้ำให้ราฟาลกิน สอนการบ้านในตอนเย็น และพาราฟาลเข้านอนก็เท่านี้เอง”
พิมพ์มาดาไล่เรียงถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่ธัญพิชชาต้องทำระหว่างการทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบที่ชื่อราฟาล
“ก็ยังดีที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กโตแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยเปลี่ยนผ้าอ้อม คอยเช็ดอึของเด็ก และไม่ต้องหนวกหูเสียงร้องไห้โยเยของเด็กน้อยด้วย”
ธัญพิชชาโล่งอกขึ้นมาบ้าง เมื่อเด็กน้อยที่เธอต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงนั้น มีอายุพ้นวัยทารกมาแล้ว เด็กน้อยที่มีอายุเจ็ดขวบก็คงพอช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ซึ่งหากเธอรับทำงานนี้ รับเป็นพี่เลี้ยงของเด็กน้อยที่ชื่อราฟาล เธอก็คงไม่ต้องดูแลเขามากเท่าไร
“ดูแลเด็กที่มีอายุเจ็ดขวบก็คงไม่ยากเท่าไร อย่างน้อยเด็กก็กินข้าวเองได้ เข้าห้องน้ำเป็น พีชไปดูแลราฟาลแค่
4-5 เดือนเท่านั้น พอป้าของพิมหายดีแล้ว พีชก็ค่อยเดินทางกลับประเทศไทย”
ประโยคท้ายของพิมพ์มาดาสร้างความงุนงงให้กับธัญพิชชาเป็นอย่างมาก หญิงสาวขมวดคิ้วโก่งงามดุจคันศรเข้าหากันยุ่ง ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“ทำไมถึงบอกว่าให้ป้าหายดีแล้วค่อยเดินทางกลับประเทศไทย เด็กที่ชื่อราฟาลไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ หรือพิม”
พิมพ์มาดาส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยตอบไขข้อสงสัยของผู้ธัญพิชชา “ไม่จ้ะพีช ราฟาลเป็นชาวดัตช์ อยู่ที่ดินแดนแห่งกังหันลมและดอกทิวลิป หรือที่ใครๆ ก็รู้ว่าคือประเทศเนเธอร์แลนด์”
“ไม่ไป! พีชไม่ไปหรอก จะบ้าหรือยังไง ให้พีชข้ามน้ำข้ามทะเล เสียค่าเครื่องบินทั้งไปและกลับเป็นหมื่นๆ เพื่อไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กและได้เงินเดือนแค่ไม่กี่พันเนี่ยนะ ยังไงๆ พีชก็ไม่ไป ยอมอดตายอยู่ในประเทศไทยซะยังดีกว่า”
ธัญพิชชาส่ายหน้าดิกปฏิเสธเสียงหลง เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมเสียค่าเครื่องบิน เพื่อเดินทางไปยังดินแดนแห่งกังหันลม แต่อย่าว่าแต่ค่าเครื่องบินเลย ตอนนี้แค่ค่ารถแท็กซี่ที่จะว่าจ้างให้ไปส่งที่สนามบิน เธอยังไม่มีเลยแม้แต่บาทเดียว ซึ่งเรื่องนี้พิมพ์มาดาก็น่าจะรู้ดีว่าเธอนั้นกำลังถังแตกมากเพียงใด
“พีช ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าเดินทางนะ คุณป้าของพิมจะออกค่าใช้จ่ายให้พีชทั้งหมด ส่วนเรื่องอาหารการกินและที่พัก พีชก็พักอยู่ในบ้านของคุณป้าของพิมได้เลย ที่สำคัญพีชได้ค่าจ้างเดือนละ 3 พันยูโรเชียวนะ หากตีเป็นเงินไทยในอัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้ราวๆ 38 บาทต่อ 1 ยูโร ก็ตกเดือนละแสนกว่าบาทเลยนะพีช”
พิมพ์มาดาบอกถึงตัวเลขจำนวนเงิน ซึ่งถือว่ามากโขเอาการสำหรับการทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ซึ่งหากเธอไม่ติดงานอื่นที่รับปากผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการไว้ เธอคงบินปร๋อไปเนเธอร์แลนด์แล้ว เพราะนอกจากจะได้ไปเยี่ยมคุณป้า เยี่ยมหลานชายแล้ว ยังมีเงินเดือนติดกระเป๋าเดือนละแสนกว่าบาทด้วย
“นี่พิม ถามหน่อยเถอะว่าทำไมป้าของพิมไม่หาพี่เลี้ยงแถวๆ นั้นล่ะ จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเรื่องค่าตั๋วเครื่องบิน และที่เราสงสัยคือพ่อแม่ของเด็กไปไหน ถึงต้องให้ป้าของพิม เป็นคนเดือดร้อนเรื่องหาพี่เลี้ยงเด็ก”
ธัญพิชชาเอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย ออกจะแปลกใจอยู่มากที่ผู้เป็นป้าของพิมพ์มาดา ต้องควานหาพี่เลี้ยงไกลถึงประเทศไทย เพราะจะว่าไปแล้วหากป้าของพิมพ์มาดาจ้างชาวดัตช์ด้วยกันเอง ก็น่าจะสะดวกและง่ายกว่ากันเยอะ
“พิมก็ไม่รู้เหมือนกันนะพีช ว่าทำไมคุณป้าไม่ยอมจ้างคนแถวบ้านให้เป็นพี่เลี้ยงของราฟาล คุณป้าบอกแค่ว่าให้หาพี่เลี้ยงให้หน่อย เราก็จัดการเป็นธุระให้คุณป้า ส่วนเรื่องแม่ของราฟาลนั้น ราฟาลถูกแม่ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก พ่อของราฟาล พิมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของเขา ลูกพี่ลูกน้องของพิมนะดุมาก พิมเลยไม่กล้าไปยุ่งกับเขาสักเท่าไร”
ธัญพิชชามัวแต่ครุ่นคิดทบทวน คำนวณเรื่องผลได้ผลเสีย จากการเดินทางไปเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ที่เรียกว่าไกลโขคนละซีกโลก จนไม่ทันสังเกตว่าขณะพิมพ์มาดาเอ่ยตอบในประโยคแรกนั้น พิมพ์มาดาได้หลบสายตาไม่มองหน้าคู่สนทนาเลย ราวกับกำลังปกปิดบางสิ่งบางอย่างอยู่
“ว่าไงพีช สนใจไหม ถ้าสนใจพิมจะโทรบอกคุณป้าเดี๋ยวนี้เลย”
พิมพ์มาดาเอ่ยถามเป็นการเร่งเร้าไปในตัว เมื่อเห็นอดีตนางเอกสาวเบอร์หนึ่งนิ่งเงียบไปนานหลายนาที
“ค่าจ้างเดือนละแสน บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ โอเค! พีชไปก็ได้”
หลังจากใคร่ครวญครุ่นคิด บวกลบคูณหาร และเห็นว่าตนเองมีแต่ได้กับได้ ธัญพิชชาจึงตกปากรับคำในที่สุด ซึ่งคำตอบของเธอ ช่วยให้พิมพ์มาดาคลี่ยิ้มออกมาได้ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะเมื่อได้ยินถ้อยวาจาในประโยคถัดมาของอดีตนางเอกเบอร์หนึ่งของประเทศไทย พิมพ์มาดาก็ถึงกับหุบยิ้มทันที
“บอกคุณป้าของพิมด้วยนะว่าพีชไม่ใช่นางสาวไทย ที่จะรักเด็กได้ตลอดเวลา ถ้าราฟาลดื้อล่ะก็...พีชตีไม่เลี้ยงแน่”