2
สายตาของทุกคน ก็ทำให้ต้องรีบปล่อยมือออกจากแขนของสาวเจ้า
“คนบ้า!” วรันยาถลึงตาใส่ แล้วเดินเข้าไปกอดกังศมาแทนการเข้าไปกอดสองหนุ่ม
“ก็เพราะปากแบบนี้ไงน้องถึงได้เกลียด” หิรัญส่ายหน้าอย่างรู้สึกเหนื่อยใจ ‘ทีกับสาวๆ คนอื่นทำเป็นปากหวาน ทีกับน้องไวน์ทำไมชอบปากเสียใส่จังวะ?’
“ใช่ครับ” คนที่อ้าแขนรอเก้อ เอ่ยสมทบตามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ขอโทษน้องเดี๋ยวนี้นะคิน” กังศมาสั่งหลานชายที่ชอบทำตัวเป็น ไม้เบื่อไม้เมากับวรันยามาตั้งแต่เด็ก ทั้งชอบแย่งขนมกิน ชอบวิ่งไล่กอดไล่หอมแก้มประหนึ่งคนบ้า ทำเอาเด็กสาวที่มักจะมานอนค้างกับตน ถึงกับผวา! นอนละเมอ กรีดร้องกลางดึกอยู่หลายครั้ง
“ยาย...” คนที่โดนว่า มองค้อนผู้เป็นยายอย่างรู้สึกนอยด์ๆ ‘ทำไมยายต้องทำเหมือนเราเป็นตัวร้ายด้วยวะ’
“ภาคิน!” กังศมาเอ็ดคนที่ยังยืนนิ่งอย่างเริ่มไม่พอใจ
หิรัญมองน้องชายอย่างรู้สึกเอือมระอา เพราะเมื่อหลายวันก่อนภาคินโทร. ไปออดอ้อนบิดา เพื่อขอมารับช่วงดูแลกิจการทางเหนือ พร้อมกับรับปากว่าจะช่วย ผู้เป็นยายดูแลสวนส้มไปรยาเวศ แถมยังหยิบยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้าขึ้นมาอ้างอย่างหน้ามึน ทั้งแพ้น้ำทะเล แพ้อากาศ แพ้นู่นนั่นนี่เยอะแยะมากมาย ทำให้ภัคคินัยต้องย้ายไปดูแลกิจการโรงแรมทางใต้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะตัวเขาต้องประจำการอยู่ที่สาขาใหญ่กรุงเทพฯ.
“หึๆ” ภัคคินัยขำคนโดนดุ ‘แอบชอบสาวเขามีแต่จะสร้างความประทับใจ แต่นี่กลับสร้างความเกลียดชัง จ้างให้ก็ไม่มีทางสมหวังหรอกไอ้คิน’
“ไอ้นัย มึงหัวเราะหาพระแสงอะไรวะ’” ภาคินหันไปมองแฝดผู้น้องด้วยสายตาเอาเรื่อง
“คิน!” กังศมาเรียกคนที่ยังไม่ยอมขอโทษเสียงดัง แถมยังแกล้งทำเป็นเหวี่ยงใส่ฝาแฝดตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนอีก
“คร๊าบบบ...ทราบแล้วครับยาย” ภาคินกลอกตาอย่างเพลียๆ ก่อนจะหันไปมองสาวเจ้า ก็เห็นใบหน้างามเชิดขึ้นนิดๆ มันทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก “พี่ขอโทษจ้ะสาวน้อย”
“ชิ! กองไว้ตรงนั้นเลย” วรันยาสะบัดบ๊อบใส่ ‘หึ! ทำเป็นพูดจาดี เดี๋ยวไม่ถึงห้านาทีก็ร้ายเหมือนเดิม’
“นึกแล้วววว ว่าต้องพูดแบบนี้” ภาคินลากเสียงยาว เพราะรู้ซึ้งดีอยู่แก่ใจว่าสาวเจ้าไม่มีทางจะยอมยกโทษให้ตนง่ายๆ
“ฮ่าๆๆ/ฮ่าๆๆ” หิรัญกับภัคคินัยหัวเราะอย่างขบขันกับอาการพ่อแง่แม่งอนที่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต
“น้องไวน์ พี่เขาขอโทษแล้วนะลูก ดีกับเขาหน่อยเถอะ” กรรมการห้ามทัพ รีบไกล่เกลี่ยก่อนที่เรื่องเล็กๆ จะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่
“ก็ได้ค่ะ” วรันยากลั้นใจส่งนิ้วก้อยออกไปรอเกี่ยว เหมือนเช่นทุกครั้ง
ภาคินขยับเข้าใกล้ร่างบางที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งชวนมอง ก่อนจะก้มหน้าลงไปใกล้ๆ กับแก้มนวล แล้ว...จุ๊บ!
“อะ...ไอ้คนชีกอ กรี๊ดดดด” วรันยาชี้นิ้วด่าคนหน้ามึนที่บังอาจฉวยโอกาสกับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะตอนที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง หรือต่อหน้ากังศมา หิรัญ ภัคคินัย ไอ้คนบ้านี่ก็จะชอบเข้ามากอดรัดเธอจากด้านหลัง แล้วขโมยหอมแก้มเป็นประจำ
“ฮ่าๆๆ/ฮ่าๆๆ” หิรัญกับภัคคินัยหัวเราะขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้างามแดงก่ำขึ้นมาทันตา
“แหม...สมัยนี้เขาไม่เกี่ยวก้อยกันแล้ว เด็กๆ” คนเจ้าเล่ห์บอกพร้อมฉีกยิ้มกว้างอย่างสุขใจ
“ตาคิน! น้องแตกเนื้อสาวแล้ว จะมาทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้นะ” กังศมาหน้าตึงขึ้นมาทันทีทันใด ‘นี่ถ้าสินชัยมาเห็นเข้า คงได้กินแหนงแคลงใจกันเป็นแน่!’
“โธ่...ยาย ผมก็แค่หอมแก้ม ไม่ได้ลากน้องเข้าห้องสักหน่อย” ภาคินตีมึนพร้อมกับยักไหล่ขึ้นทั้งสองข้างอย่างไม่ใส่ใจ
“พรุ่งนี้มึงไปสักคำว่า ‘ภาคิน’ ติดหน้าฝากเลยนะ” ภัคคินัยบอกด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ทำไมกูต้องทำแบบนั้นด้วย?” ภาคินหันไปถามอย่างสงสัย
“ก็เผื่อมึงทำเลว แล้วคนอื่นเขาคิดว่าเป็นกูไง” ภัคคินัยสวนกลับทันควัน ‘ดีนะที่แยกกันดูแลกิจการ ทางเหนือกับทางใต้ ขืนอยู่ด้วยกันทุกวันๆ มีหวังได้รับกระสุนปืนของอาสินแทนมันแน่’
“จริง!” หิรัญเห็นด้วย แม้ว่าภาคินจะไปสักที่แขนมา แต่หากสวมเสื้อแขนยาวทับรอยสัก แล้วทำตัวนิ่งขรึมเมื่อไหร่ ทุกคนก็จะพากันคิดว่าเป็นภัคคินัยทันที
“กูหล่อกว่ามึงตั้งเยอะ คนเขาแยกออกหรอกน่า” คนหล่อเสน่ห์แรงขวัญใจของสาวๆ ทั้งอำเภอ เอ่ยด้วยท่าทางมั่นหน้ามั่นโหนก ทั้งๆ ที่รูปร่างหน้าตานั้นก็เหมือนกันราวกับแกะ
“ใช่ค่ะ” วรันยาสมทบตาม
“เห็นมะ? ขนาดน้องไวน์ยังเห็นด้วยเลย” ภาคินยิ้มหน้าบานอย่างชอบใจที่ในที่สุดสาวเจ้าก็เห็นพ้องต้องกันกับตน
“แหม...ก็พี่นัยน่ะน่ารักนิสัยดี ส่วนพี่คินน่ะดูยังไงก็คนเลวชัดๆ แยกออกง่ายจะตายไปค่ะ” คนที่รอโอกาสงามๆ รีบปล่อยหมัดฮุกใส่ อย่างไม่รอช้า
“ฮ่าๆๆๆ / ฮ่าๆๆๆ” หิรัญกับภัคคินัยระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กันอย่างชอบใจกับสำนวนตอกกลับของสาวเจ้า
“แล้วอยากลองมีแฟนเป็นคนเลวดูไหมล่ะ?” ภาคินถามกลับทันใด
“คุณมาร์ขา...พี่คินพูดจาหยาบคายใส่น้องไวน์ค่ะ” วรันยารีบหันไปอ้อน ขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่
“ตาคิน! ยายขอล่ะหยุดแกล้งน้องซะทีเถอะ” กังศมาเริ่มจะทนไม่ไหว
“ผมไม่ได้แกล้งครับ” ภาคินพูดพลางยักไหล่ขึ้นนิดๆ ด้วยสีหน้าสุดเซ็ง
“ก็เห็นอยู่” กังศมาตอกกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“โอเคๆ ผมผิดก็ได้” ภาคินยอมยกธงขาวแต่โดยดี
“ชิ!” วรันยาเชิดหน้าขึ้นนิดๆ ราวกับผู้ชนะ
“เอ้...ยายได้ข่าวแว่วๆ ว่าคนแถวนี้สอบได้ที่สอง ไม่รู้จริงหรือเปล่า?” กังศมารีบเปลี่ยนไปถามคนขี้อ้อนเกี่ยวกับเรื่องสำคัญที่เพิ่งจะทราบมาจากคนสนิท
“จริงค่ะ” วรันยาบอกอย่างรู้สึกเขินนิดๆ
“ยายดีใจด้วยนะน้องไวน์”
“ขอบคุณค่ะคุณมาร์” วรันยารีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่
“งั้นอาทิตย์หน้าเราออกเดินทางกันเลยดีไหม” กังศมาเอ่ยชวน
“ดีค่ะ” คนที่ตั้งหน้าตั้งตาปั่นจักรยานมาเพื่อสิ่งนี้! รีบขานรับทันใด
“อะไรกันครับยาย จะพากันเดินทางไปไหน” ภาคินถามอย่างอยากรู้
“ยายจะพาน้องไวน์ไปเที่ยวอังกฤษน่ะ” กังศมาบอกพลางจ้องมองหลานชายอย่างไม่ไว้ใจ
“คฤหาสน์ที่นู่นสวยเชียวล่ะน้องไวน์” หิรัญรีบอวด
“ใช่ครับ! รับรองว่าน้องไวน์จะต้องชอบ” ภัคคินัยสมทบตาม
“ค่ะ” วรันยาอมยิ้ม เธอเคยเห็นในรูปถ่ายมาบ้างแล้ว ครั้งนี้จะได้ไปเห็นจริงสักที
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
ภาคินมองค้อนสาวเจ้าอย่างรู้สึกหมั่นไส้ ก่อนจะล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงที่ส่งเสียงดังออกมากดรับสาย “ฮัลโหล ครับ ใช่ครับ เดี๋ยวผมไปครับ”
“จะไปไหน?” ภัคคินัยถามหลังจากที่เห็นแฝดผู้พี่กดวางสาย
“ไปหาว่าที่พ่อตา” ภาคินตอบก่อนจะเดินตรงไปยังรถสปอร์ตสีแดงแรลลี่เปิดประทุนของตัวเอง
“เฮ้! ตลกเหรอ?” หิรัญตะโกนตามหลังน้องชายอย่างมึนงง
“ผมพูดจริง” ภาคินเหลือบมองใบหน้าจิ้มลิ้มแวบหนึ่งก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ
“อย่าดื่มหนักจนขับรถกลับไม่ไหวล่ะ” กังศมารีบเตือน เพราะไม่อยากจะไปประกันตัวหลานชายด้วยข้อหาเมาแล้วขับเหมือนครั้งก่อน
“ถ้าขับรถกลับไม่ไหว ผมจะนอนค้างที่บ้านว่าที่พ่อตาครับยาย”
“บ้า!” กังศมาส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อกับคำบอก
“ไปก่อนนะครับ” ภาคินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขับรถออกไปด้วยความเร็ว
วรันยาเบ้ปากนิดๆ อย่างรู้สึกหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายบอกว่าจะไปหาพ่อตา ‘ชิ! นิสัยแบบนี้ ผู้หญิงคนไหนกล้าเอาทำแฟนก็บ้าแล้ว’
“เราเข้าไปคุยกันข้างในบ้านกันเถอะน้องไวน์” กังศมาเอ่ยชวน เพราะช็อกโกแลตที่สามหนุ่มขนมาฝากนั้น มีเยอะจนเธอคิดว่าจะจัดใส่ถุงแล้วเอาไปแจกให้กับคนงานในไร่
“ค่ะ” วรันยาพยักหน้ารับยิ้มๆ
หิรัญก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะหันไปเอ่ยลาผู้เป็นยาย “เอ่อ...งั้นผมไปก่อนนะครับยาย”
“โชคดีจ้ะ ว่างๆ แวะมาหายายบ้างนะรัญ” กังศมาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะรู้ว่าหลานชายคนโตมีงานค่อนข้างเยอะ
“ครับ! พี่ไปก่อนนะสาวน้อย” หิรัญยิ้มให้สาวเจ้าก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ภัคคินัย
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะพี่รัญ” วรันยาส่งยิ้มหวานให้สองหนุ่มหล่อที่รักและนับถือดุจพี่ชายแท้ๆ
“ขอบคุณครับ” หิรัญเข้าไปนั่งในรถ ขณะที่น้องชายวิ่งอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับ
“นัย! แล้วเราจะกลับมาทานมื้อเย็นกับยายหรือเปล่า?” กังศมารีบถาม กลัวว่าหลานชายจะอยู่เที่ยวต่อในเมือง
“มาสิครับ ผมไปส่งพี่รัญที่สนามบินเสร็จก็จะรีบกลับมาเลย” คนหล่อ เสน่ห์แรงให้คำมั่น
“หึ! ให้จริงเถอะ” กังศมามองค้อนคนปากดี ‘ครั้งก่อนก็พูดแบบนี้ แต่กลับมาซะบ่ายของอีกวัน’
“เย็นนี้คุณพ่อเตรียมของปิ้งย่างเอาไว้ คุณมาร์กับพี่นัยไปทานด้วยกันนะคะ” คนที่เพิ่งจะนึกขึ้นได้รีบเอ่ยชวน
“โห...ได้ยินแบบนี้พี่ชักไม่อยากกลับแล้วสิ” หิรัญที่เพิ่งจะคาดเบลล์เสร็จ หันไปโอดครวญด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“ฮ่าๆๆ เดี๋ยวผมจะกินเผื่อเองครับไม่ต้องห่วง” ภัคคินัยบอกก่อนจะกดสตาร์ทเครื่องยนต์ เตรียมออกเดินทาง
กังศมากับวรันยาโบกมือให้สองหนุ่ม ก่อนจะพากันเข้าไปด้านในเรือนใหญ่ เพื่อพูดคุยเรื่องไปเที่ยวอังกฤษต่อ
หลังจากคุยเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวกันจนพอหอมปากหอมคอ วรันยาก็ขอตัวกลับบ้านไปอาบน้ำ เพื่อรอทานมื้อค่ำกับทุกคนที่บ้านพักท้ายรีสอร์ตของบิดา