ตอนที่ 5 [ซาดิสต์]
"ฮึก! ฮื่อ...”
ฉันวิ่งร้องไห้และปาดน้ำตามาจนถึงชั้นดาดฟ้าของตึก ฉันไม่ได้จะทำอะไรไม่ดีอย่างที่คิดหรอก แค่ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาเท่านั้นเอง
"ทำไมนะ ทำไมฉันถึงต้องรักผู้ชายแบบนั้นด้วย "
ภาพของภาคิณและผู้หญิงคนนั้นยังติดอยู่ในหัวของฉัน มันบาดตาบาดใจฉันมากกว่าที่ฉันคิดเสียอีก ยิ่งห้ามเท่าไหร่น้ำตาก็ยิ่งไหลลงมาอาบแก้ม เครื่องสำอางเมื่อเช้าน่าจะหลุดลอกออกมาหมดแล้วด้วย แต่ใครจะสนล่ะ ตอนนี้ในหัวของฉันมีแค่ภาพของคนที่เพิ่งเจอมาต่างหาก
"นี่เธอจะร้องไห้อีกนานไหม” เสียงปริศนาดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ฉันเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่เพิ่งจะตื่นนอนเพราะถูกเสียงร้องไห้ของฉันรบกวน
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่คิดว่าจะมีคนอยู่บนนี้” ฉันรีบปาดน้ำตาและพยายามกลั้นเสียงสะอื้น
“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
เมื่อกลั้นน้ำตาได้แล้ว ฉันก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวเดินจากไป ขืนอยู่ต่อก็มีแต่รบกวนผู้ชายคนนี้เปล่า ๆ
"เดี๋ยวสิ" แต่เขาก็รั้งฉันไว้
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เสียใจอะไรมา ทำไมถึงต้องร้องไห้ด้วยล่ะ” เขาถาม อีกมือก็ล้วงกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมายื่นให้ แม้ว่าฉันจะไม่อยากรับไว้แต่สภาพหน้าฉันตอนนี้ก็คงดูไม่ได้แล้วจริง ๆ
"ขอบคุณนะคะ” ฉันรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาและค่อย ๆ ถอดแว่นตาออกจนผู้ชายคนนั้นมองฉันไม่วางตา
นี่หน้าฉันมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย...
“มีอะไรติดหน้าฉันหรือเปล่าคะ” ฉันถามออกไปแบบงง ๆ
“ไม่หรอก ฉันแค่ไม่เคยเห็นใครขี้เหร่เหมือนเธอมาก่อนเลยน่ะ” เขาว่าและเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้สีดำตัวยาวซึ่งอยู่ตรงผนังดาดฟ้า แต่สายตาแอบอมยิ้มมองฉันเป็นระยะ
“นี่เขาว่าฉันว่าขี้เหร่เหรอ” ฉันถามย้ำกับตัวเอง
“แต่ก็ไม่ผิดแฮะ เพราะฉันมันขี้เหร่จริง ๆ นี่นา”
เพราะแบบนั้นภาคิณถึงได้ไม่เคยชอบฉันเลยแถมยังเอาแต่ควงสาวสวยคนอื่นไปเล่นจ้ำจี้อยู่บ่อย ๆ แต่ฉันก็คิดเพ้อเจ้ออยู่ได้ไม่นาน เพราะเสียงหัวเราะของชายหนุ่มคนนั้นก็ดังขึ้นมา ทำเอาฉันหน้าบึ้งโดยไม่รู้ตัว
“ว่าแต่ทำไมพี่ถึงได้มานั่งอยู่บนนี้คนเดียวล่ะ ไม่สบายใจเหมือนกันเหรอคะ” ฉันตัดสินใจถาม เขานิ่งไปชั่วขณะราวกับว่ากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะตอบ แต่จู่ ๆ เค้าก็ยิ้มอ่อนโยนที่ส่งไปไม่ถึงดวงตาออกมา
“เปล่า พอดีพี่ไม่มีเพื่อน เลยชอบมานอนเล่นที่นี่เป็นประจำเวลาพักเบรกหรือช่วงที่ไม่มีคาบเรียนน่ะ”
แม้คำตอบของเขาจะดูสะเทือนหัวใจไม่น้อย แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าคนอะไรจะไม่มีเพื่อนเลยสักคน อีกอย่างเขาหน้าตาดีขนาดนี้ จะไม่มีใครคบเลยจริง ๆ เหรอ
"ทำไม ไม่เชื่อพี่เหรอ" เขาถามอีกครั้ง ก่อนจะใช้สายตาสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า
"เธอคงเป็นนักศึกษาใหม่สินะ”
"ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งจะเข้าปีหนึ่ง” ฉันตอบสั้น ๆ
ฉันตัดสินใจเดินไปนั่งลงข้าง ๆ เขา มองดูดี ๆ พี่เขาหล่อจนใจเจ็บเลยนะเนี่ย ลองถามชื่อสักหน่อยดีกว่า
"ว่าแต่พี่ชื่ออะไรเหรอคะ”
"ขุนพล” เขาตอบ “เรียกพี่ขุนเฉย ๆ ก็ได้”
“อ๋อ...”
“เธอล่ะชื่ออะไร"
“มินตราค่ะ” ฉันแย้มรอยยิ้มตอบ
“ไว้เจอกันนะมินตรา” เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าออกไปจากดาดฟ้า ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ภาคิณวิ่งขึ้นมาพอดี ฉันเห็นสองสายตาคมเข้มจ้องมองกัน
"พี่ขุน...” ภาคิณพูดออกมาก่อน
“ไม่คิดว่าจะเจอแกที่นี่นะภาคิณ" ขุนพลกระตุกยิ้มมุมปากและเดินลงไปจากตึก โดยมีสายตาคู่คมของภาคิณจ้องมองตามแผ่นหลังนั้นไปจนสุดสายตา
ภาคิณมองตามขุนพลไปไม่ละสายตา ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลูกพี่ลูกน้องของเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เพราะแม้ทั้งสองคนจะเป็นญาติกัน แต่อุปนิสัยนั้นแตกต่างกันคนละขั้ว
ภาคิณรู้ดีว่าแม้ขุนพลจะดูเงียบและอ่อนโยน แต่ความซาดิสม์ในตัวนั้นโหดร้ายเกินกว่าที่ทุกคนคาดคิด
“ภาคิณ” มินตราเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ เธอเดินออกมาจากทางเดียวกันกับขุนพล ซึ่งก็ทำเอาภาคิณวิตกจนเผลอคว้าแขนเธอมาบีบรัดและถามอย่างร้อนรน
“เธอไปทำอะไรบนนั้น”
“โอ๊ย....” มินตราร้อง เธอสะบัดมือออกจากการกอบกุมของเขา
“มินตรา ฉัน....” ภาคิณกำลังจะเอ่ยขอโทษเมื่อเห็นว่าแขนขาวของหญิงตรงหน้าแดงก่ำเพราะแรงบีบ
“ออกไป!”
แต่เธอก็ผลักเขาออกและรีบวิ่งหนีไปทันที
“เดี๋ยวสิมินตรา ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ภาคิณตะโกนลั่นและรีบวิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาเป็นห่วงเธอจนแทบจะบ้า ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นมายุ่งกับเธอ ภาคิณอาจจะแค่หึงหวง ทว่าเมื่อคน ๆ นั้นเป็นขุนพล เขาก็บอกกับตัวเองเลยว่าเขาจะไม่ยอมให้มินตราได้ใกล้ชิดกับลูกพี่ลูกน้องของตนเด็ดขาด ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุอะไรก็ตาม
เขาไม่มีทางยอมหรอก....
“มินตราฉันหาแกจนทั่วเลย”
แพมและเฟราเวอร์รีบวิ่งเข้ามาหาฉัน เมื่อเห็นว่าฉันเดินลงมาจากชั้นบน
“แต่แกโอเครึเปล่า ร้องไห้มาเหรอ” แพมเอ่ยถามด้วยแววตาเป็นห่วง
“ไม่ ๆ พอดีฉันโดนแมลงบินเข้าตาอ่ะ” ฉันโกหกเพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง
“เออ แล้วนี่พวกแกจะกลับกันหรือยัง”
“ก็ว่าจะกลับแล้วแต่เป็นห่วงแก เลยเดินตามหาจนทั่ว” เฟราเวอร์ตอบก่อนจะถามต่อ
“ไหนบอกจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วเมื่อกี้แกหายไปไหนมาตั้งนานสองนาน”
“หรือภาคิณมันแกล้งแกอีกเหรอ แกบอกมา ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละ” แพมพูดขึ้นมา ท่าทางพร้อมมีเรื่องขั้นสุดจนฉันต้องรีบกล่าวห้ามอีกรอบ
“ไม่ ๆ ฉันก็แค่ไปนั่งตากลมบนดาดฟ้าเอง”
"แน่นะ” แพมถามย้ำ
“แน่สิ”
ฉันตอบแบบสั้น ๆ ก่อนจะรีบลากพวกมันเดินออกไปรอรถตรงป้ายหน้ามหาวิทยาลัย วันนี้พวกเราเลิกเร็วเพราะเป็นวันแรก อาจารย์แค่แจกแจงรายละเอียดวิชาเท่านั้น นับว่าเป็นความโชคดี เพราะปกติแล้วฉันเคยได้ยินมาว่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมักจะเริ่มสอนเลยตั้งแต่ครั้งแรก
แต่โชคร้ายที่ฉันต้องแยกกับแพมและเฟราเวอร์ เพราะพวกมันสองคนอยู่หอคนละเส้นทางกันกับฉัน ดังนั้นจึงต้องขึ้นรถคนละสาย
"กลับดี ๆ นะ”
“เจอกันพรุ่งนี้เว้ยแก”
ฉันยิ้มและโบกมือลาพวกมันจนทั้งสองคนก้าวขาขึ้นรถไป หลังจากนั้นฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ระหว่างรอนั่งรถประจำทาง กว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวันมันเหนื่อยใช่เล่นเลยนะ
แต่นั่งไปได้ไม่นาน รถยนต์สีขาวคันสวยก็มาจอดเทียบตรงป้ายรถประจำทาง ฉันเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัยก่อนจะพบเข้ากับ...
"ขึ้นมาสิ”
ภาคิณที่เปิดกระจกรถและชะโงกหน้าออกมาเรียกฉัน
"ฉันกลับเองได้”
"อย่าดื้อ จะขึ้นมาเองหรือให้ฉันลงไปอุ้ม” เขามองฉันอย่างคาดโทษ ก่อนจะลงจากรถและตรงมาที่ฉันจริง ๆ เมื่อหลีกหนีไม่ได้ ฉันจึงต้องจำใจขึ้นรถมากับภาคิณด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เขาคิดว่าเขาเป็นใครกันนะ ทำไมถึงชอบบังคับฉันนัก หรือเขาเห็นว่าฉันเป็นนักโทษของเขาไปแล้ว
“คาดเข็มขัดด้วย” ชายหนุ่มหันมาเอ่ย แต่ฉันไม่สนใจเขาหรอกนะ
“ว้าย! จะทำอะไรของนายเนี่ย” ฉันถึงกับสะดุ้งเมื่อภาคิณขยับใบหน้าเข้ามาใกล้แบบแนบชิดจนลมหายใจร้อนผาวกระทบต้นคอ
"คาดเข็มขัดให้ไง” ภาคิณตอบยิ้ม ๆ ซึ่งพอพูดจบ เขาก็ขับรถแล่นออกไป
ฉันนั่งนิ่งมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงคอนโด เขาเดินมาส่งฉันถึงหน้าห้องพักโดยไม่พูดจาอะไรกวนใจฉันอีก ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งวุ่นวายอะไรกับเขานักหรอก
“ขอบคุณนะที่พามาด้วย” ฉันเอ่ยกับภาคิณในระหว่างที่สแกนคีย์การ์ดเพื่อเดินเข้าไปในห้อง แต่พอจะปิดประตู ภาคิณก็เอาฝ่ามือของเขามาดันบานประตูไว้ทำให้มันปิดไม่ได้
"มีอะไรอีกล่ะ” ฉันเอ่ยถามเค้าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทนแล้ว
“อย่ายุ่งกับขุนพล” เขาพูดเสียงจริงจัง
“ทำไมฉันต้องทำตามนายด้วย ขนาดนายยังยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นได้เลย” ฉันพูดออกไปตามที่คิด ซึ่งพอพูดจบภาคิณก็แสดงแววตาที่ดูเหมือนจะโกรธมาก
“มินตรา....” เขาเอ่ยเรียกชื่อฉันแบบไม่ชอบใจจนฉันรู้สึกกลัว ฉันจึงรีบดันประตูปิดลง
ปัง! ปัง! ปัง!
ภาคิณเคาะประตูรัว ๆ เสียงดังสนั่น นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ฉันจะคุยกับใครมันก็เรื่องของฉันไหม ทำไมเขาต้องมาวุ่นวายกับฉันขนาดนี้ ทำอย่างกับหึงหวงฉันอย่างงั้นแหละ
ฉันไม่สนใจเสียงของเขาอีก จัดการล็อคประตูให้แน่นหนาก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ยังไงซะเขาก็เป็นเพียงเพื่อนสมัยมัธยมเท่านั้น ทำไมฉันต้องเชื่อฟังทุกคำพูดของเขาด้วย
อีกอย่าง...ภาคิณไม่ใช่แฟนของฉันสักหน่อย ถึงฉันจะชอบเขามากก็เถอะ
“เหอะ เอาไว้เป็นแฟนกันก่อนแล้วค่อยมาทำตัวหวงแบบนี้”
ฉันตัดสินใจเมินเสียงปึงปังที่หน้าประตูและเตรียมตัวไปอาบน้ำ วันนี้ฉันจะอาบให้ตัวเปื่อยเลย ไม่มีอะไรจะรักษาใจได้ดีมากไปกว่าการเปิดฝักบัวราดตัวและฟังเพลงเศร้าเคล้าอารมณ์อีกแล้ว
ภายในห้องของภาคิณ มือหนายันค้ำผนัง ใบหน้าเงยรับน้ำที่สาดหล่นลงมาจากฝักบัว แผ่นอกหนากำยำโดนน้ำไหลผ่านจนเปียกโชก แววตาคู่คมครุ่นคิดไม่ตก เรื่องของขุนพลและมินตรายังคงวนเวียนอยู่ในหัวเขา
"ทำไมเธอดื้อแบบนี้นะ” เขาบ่น
มือหนากำแน่นก่อนจะปิดน้ำ เขากระชากผ้าขนหนูมาคลุมท่อนล่างและเดินออกมาจากห้องน้ำ
วันนี้บรรยากาศรอบคอนโดในตอนกลางคืนเงียบสงบ เขาจึงสวมใส่เพียงผ้าขนหนูผืนบางปกปิดท่อนล่างและออกมายืนสูดอากาศนอกระเบียงห้อง ภาคิณหยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดและสูบเพื่อคลายความครุกรุ่นในใจ ริมฝีปากหนาพ่นควันบุหรี่ออกมาจนมันลอยพวยพุ่งขึ้นฟ้า
ติ๊ง!
เสียงข้อวามดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ มันเป็นข้อความจากสาวสวย คอนโดตรงข้าม เธอส่งสายตาพลันโบกมือให้ภาคิณไปมา ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งต่อมาว่า
‘พรุ่งนี้เจอกันนะคะภาคิณ’
‘ครับ คนสวย’