ตอนที่ 6 [บาดแผล]
“ขึ้นไปด้านบนเลยครับน้อง ๆ” เสียงของรุ่นพี่ผู้ดูแลกิจกรรมรับน้องที่ยืนตะโกนอยู่ข้างประตูทางขึ้นรถทัวร์ดังลั่นลานอเนกประสงค์ซึ่งเป็นที่จอดรถชั่วคราว นักศึกษาปีหนึ่งต่างพากันจับจองหาที่นั่ง เพราะวันนี้ทุกคนจะต้องเดินทางไกล กว่าจะถึงทะเลก็คงช่วงเย็น
“มินตรา ฉันตื่นเต้นสุด ๆ กิจกรรมรับน้องจะต้องสนุกมากแน่ ๆ เลย” เฟราเวอร์พูดดี๊ด๊าในขณะที่พวกฉันกำลังต่อแถวขึ้นรถ
"นั่นสิต้องสนุกมากแน่ ๆ เลย แกเห็นด้วยกับพวกฉันไหม?" แพมพูดเสริมด้วยท่าทางกระตือรือร้นไม่ต่างกัน
"อือ ๆ”
ฉันตอบพวกเพื่อนสนิทสองคนไปเพียงสั้น ๆ เพราะความจริงแล้วฉันรู้สึกเฉย ๆ กับการรับน้องมาก อีกอย่างวันนี้ฉันก็กลัวว่าจะต้องติดรถมากับ ภาคิณ เลยแอบตื่นมาก่อนเวลา หวังว่าเขาคงไม่โกรธจนควันออกหูหรอกนะ เพราะดูท่าว่าช่วงนี้หมอนั่นอยากให้ฉันนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้บ่อย ๆ
"ขึ้นเลยครับน้อง ๆ” เสียงของรุ่นพี่ตะโกนเรียกน้องกลุ่มต่อไปดังขึ้น
ฉันจึงรีบเดินตามหลังแพมขึ้นไปบนรถ สายตากวาดมองหาที่นั่งที่พอจะว่างพอดีกับเราสามคน แต่ในระหว่างที่เดินเบียดเสียดกันเข้าไปอยู่ ฉันก็ถูกมือปริศนาของใครบางคนดึงจนร่างเซล้มนั่งลงบนตักนุ่ม
“ว๊าย ขอโทษค่ะ” ฉันกระวนกระวายเอ่ยขอโทษ พยายามจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่เผลอล้มใส่ตักเขา
แต่เอ๊ะ...
“นี่นายอีกแล้วเหรอภาคิณ” ฉันบ่น มือก็ขยับแว่นตามองหน้าคมเข้มที่กำลังยกยิ้มมุมปากมองมา เผื่อว่าจะมองผิดไปน่ะนะ
“ทำไม เสียใจเหรอที่เป็นฉัน” เขาเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก ฉันเลยไม่อยากพูดต่อ
แต่พอฉันพยายามจะลุกขึ้น ภาคิณกลับตวัดมือมากอดรัดเอวฉันไว้จนฉันต้องตะคอกบอกเขาให้ปล่อย
"ปล่อยนะ!”
"นั่งตรงนี้ ช่วยกันผู้หญิงพวกนั้นให้ฉันหน่อย” ภาคิณหันไปที่เก้าอี้ว่างด้านข้างพลันส่งสายตาบอกให้ฉันนั่งลงข้าง ๆ เขา
“เห็นฉันเป็นไม้กันหมารึยังไง” ฉันกระซิบเบา ๆ ลุกขึ้นกอดอกเดินไปกระแทกก้นนั่งข้าง ๆ เขาอย่างขอไปที โดยมีสายตาของเฟราเวอร์และแพม แอบมองอย่างห่วง ๆ อยู่ด้านหลัง
ติ๊ง!
เสียงข้อความของฉันดังขึ้น ฉันเอี้ยวตัวหลบสายตาของภาคิณและอ่านแชทจากเพื่อนสนิท
แพม : แกโอเคป่ะ มินตรา
มินตรา : ไม่โอเคแล้วฉันทำอะไรได้บ้างล่ะ
เฟราเวอร์ : ภาคิณมันรุกหนักว่ะ
มินตรา : ?
มินตรา : รุกหนักอะไรวะ
ฉันตอบข้อความผ่านกลุ่มแชทที่แพมส่งเด้งขึ้นมา จากนั้นก็ได้แต่นั่งเงียบ ๆ
“กรี๊ด ภาคิณ ๆ ๆ” เสียงตะโกนของสาว ๆ ด้านล่างรถทัวร์ดังขึ้นมา ฉันเห็นสายตาของพวกเธอแล้วทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันดูอาฆาตขนาดนั้น
“นี่ฉันไปทำอะไรให้พวกเธอไม่พอใจหรือเปล่า” ฉันหันมามองหน้าภาคิณที่กำลังยิ้มกริ่มและแสร้งหลับ
น่าหมั่นไส้ที่สุด....นี่เขาเห็นฉันเป็นอะไรกันเนี่ย ฉันหงุดหงิดจนอยากจะหยุมหัวเขาอยู่แล้ว แต่อยู่ ๆ ภาคิณก็เอียงคอลงมาซบบนบ่าฉัน
“น...นี่นายจะทำอะไรน่ะ คนมองใหญ่แล้ว” ฉันแก้มแดงระเรื่อ
ก็เขาเล่นทำแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิดได้นะ อีกอย่างหัวใจของฉันมันก็ไม่ได้แข็งขนาดที่ว่าให้คนที่แอบชอบมาซบไหล่แล้วจะเก็บอาการได้หรอกนะโว้ย!
"ฉันของีบสักเดี๋ยวนะ" ภาคิณเอ่ยเสียงแผ่ว
นี่เขาจะนอนแบบนี้จริง ๆ เหรอ... ฉันคิดในใจก่อนที่จะหันไปเห็นสาว ๆ ที่ยืนกรี๊ดภาคิณอยู่ด้านล่างกำลังมองขึ้นมาบนรถ พวกเธอมองฉันราวกับจะถลกหนังหรือแยกกระดูก นี่มันบ้าไปแล้วแน่ ๆ ฉันจึงต้องพยายามข่มสายตาแล้วหันไปมองทางอื่น
รถค่อย ๆ แล่นออกจากมหาวิทยาลัยหลังจากนั้นไม่นาน ตลอดทางภาคิณยังคงนอนซบบนไหล่ฉันไม่ไปไหน ซ้ำลมหายใจของเขากลับร้อนผาวจนฉันรู้สึกสยิวไปทั่วต้นคอ ตอนที่ใบหน้าของเขาแนบชิดฉันแทบจะกลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่ ก็เลยแกล้งหลับไปเพื่อปกปิดแววตาและความเขินอายเอาไว้
“มินตรา..มินตรา ..ถึงทะเลแล้ว"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังอยู่ใกล้ ๆ กกหู ฉันขยี้ตาเบา ๆ อย่างงัวเงีย นี่ถึงแล้วเหรอ ฉันเงยหน้าขึ้นเพื่อสำรวจรอบ ๆ แต่พอตาสว่างแจ่มแจ้งดีก็ต้องตกใจจนแทบกรี๊ด
“นี่ฉันนอนซบอกนายมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย” ฉันถามคนข้าง ๆ ตอนนี้ใบหน้าของฉันและแทบเขาจะแนบชิดติดกัน
“ก็ตั้งแต่รถออกแรก ๆ ยันตอนนี้” ใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มมุมปาก พลันลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเดินลงจากรถ ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งเหม่อตกใจกับสิ่งที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว
ยัยมินตราเอ๊ย...ฉันตีแขนตัวเองเบา ๆ ที่ทำเรื่องน่าอายแบบนั้นลงไป ใครจะคิดว่าการแกล้งหลับจะกลายเป็นหลับจริง ๆ แถมยังหลับนานจนมาถึงทะเลอีก โอ้ย...ฉันเผลอทำอะไรน่าเกลียดตอนหลับหรือเปล่าเนี่ย
ฉันนั่งครุ่นคิดอยู่นานจนแพมและเฟราเวอร์เดินมาเรียก
"ไปกันเหอะฉันอยากเห็นทะเลเต็มแก่ละ” ยัยเฟราเวอร์ยิ้มร่า จับมือฉันและยัยแพมลงจากรถด้วยใบหน้าที่ดูจะมีความสุขกว่าใคร
“ว้าว สวยแบบที่คิด ๆ จริง ๆ ด้วย” ยัยแพมพูดอย่างตื่นเต้นในระหว่างที่กวาดสายตามองทะเลและหาดทรายสีขาว บรรยากาศทะเลที่นี่ดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก
"เออนี่พวกแก ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะฝากด้วย " ฉันยื่นกระเป๋าฝากแพมและยัยเฟราเวอร์ ก่อนจะเดินไปทางด้านซ้ายของรีสอร์ต
“ให้พวกฉันไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า” เฟราเว่อร์ถาม
“ไม่เป็นไร พวกแกเดินเล่นเถอะ”
“โอเค งั้นแกรีบตามมา ฉันกับยัยแพมจะเอาของไปเก็บพลาง ๆ” ยัยเฟราว่าและหันไปจูงมือยัยแพมให้เดินตามไปด้วย
ฉันบอกเพื่อนว่าจะรีบไปรีบกลับ ก่อนจะเดินเลี่ยงมาอีกทางเช่นกัน ห้องน้ำที่นี่ดูสะอาดสะอ้านสมกับค่าที่พักซึ่งแพงอยู่พอตัว เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อย ฉันก็มายืนล้างมือตรงอ่าง
"ค่อยยังชั่วหน่อย” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาระหว่าง แต่ไม่นานนักผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา พวกนั้นมีกันทั้งหมดห้าคน สายตาของพวกเธอบ่งบอกให้รู้ชัดเจนว่าไม่ได้มาดีแน่ ๆ
ฉันรีบปิดน้ำและเตรียมจะเดินออกไปเพื่อหลบเลี่ยง ฉันไม่ชอบการมีเรื่องหรอกนะ อีกอย่างฉันก็มั่นใจว่าไม่เคยไปทำอะไรกลุ่มนี้ก่อนด้วย
"เดี๋ยวสิ ขอคุยด้วยหน่อย” เด็กสาวคนที่น่ารักที่สุดในกลุ่มร้องเรียก เธอยืนกอดอกดักหน้าฉัน
ดูเป็นผู้หญิงน่ารักทำไมถึงได้ทำตัวแบบนี้นะ...ฉันคิดในใจแล้วแสร้งยิ้ม ตีเนียนถามพวกเธอแบบหน้าซื่อตาใสไปว่า
“มีอะไรเหรอ”
"เธอเป็นอะไรกับภาคิณ ทำไมต้องนั่งข้าง ๆ เขาด้วย "
แค่เธอเอ่ยปากฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคงจะชอบภาคิณมาก ถึงได้ร้อนรนมาดักถามฉันถึงในห้องน้ำแบบนี้ หากฉันบอกว่าฉันเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน พวกนางคงได้หยุมหัวฉันตอนนี้แน่
"ฉันเป็นเพื่อนสนิทของเขา” ฉันโกหก
"เธอพูดจริงเหรอ”
"จริงสิ” ฉันยิ้ม ดูท่าว่าเธอคนนี้จะชอบนายนั่นเอามาก ๆ ถ้าเกิดฉันบอกไปว่าฉันเองก็ชอบเขาเหมือนกัน มีหวังฉันได้โดนทำร้ายแน่
ยอมรับว่าฉันไม่ชอบเลย...ทำไมเธอคนนี้ต้องทำขนาดนี้เพื่อหมอนั่นด้วย ยิ่งทำร้ายกันไปมา หมอนั่นจะยิ่งถอยห่างด้วยซ้ำ
เด็กสาวผมสีน้ำตาลคนที่น่ารักที่สุดในกลุ่ม คลี่ยิ้มมองฉันด้วยตาที่เป็นประกาย เธออยากจะให้ฉันช่วยเป็นแม่สื่อให้เธอกับภาคิณ เพื่อเอาตัวรอดจากจุด ๆ นี้ ฉันเลยจำยอมต้องตอบรับเธอไป
“สบายมาก เรื่องแค่นี้เองเหรอ” ฉันยิ้มเจื่อน ๆ หลังจากตอบรับ
“ใช่ แค่นี้แหละ”
ผู้หญิงกลุ่มนั้นพากันเดินออกไปแต่โดยดีหลังจากนั้น ฉันใจเต้นรัวและถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ได้อยากจะโกหกเธอคนนั้นหรอกนะแต่ฉันก็ห่วงชีวิตตัวเองเหมือนกัน ความรู้สึกผิดที่มีต่อหญิงสาวน่ารักคนนั้นทวีเพิ่มขึ้นในใจฉัน แต่ไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ในเมื่อภาคิณก็ไม่ได้ชอบฉันอยู่แล้วนี่
"แต่ถ้าหากนายนั้นรู้มีหวังได้ถูกฆ่าแน่มินตราเอ๊ย...”
รถสปอร์ตคันสีขาวและคันสีส้มขับแล่นมาจอดริมทะเล ก่อนที่สองหนุ่มสุดหล่อเพื่อนสนิทของภาคิณจะก้าวขาลงจากรถ
"ไอ้ภีมอยู่นั้นไง” ศักราชชี้ให้เปรมดู ก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะรีบเดินเข้าไปหาภาคิณซึ่งกำลังยืนอยู่ริมทะเล
"ว่าไงครับคุณภีม นั่งรถทัวร์ของคณะมากับสาวสนุกไหมล่ะ” เปรมกอดคอภาคิณและเอ่ยแหย่ ใบหน้าคลี่ยิ้มอารมณ์ดี ก่อนที่ศักราชจะโยนกุญแจรถสปอร์ตลงในมือหนาของภาคิณ
“รถมึงขับโครตมันส์เลยว่ะ”
“มันแน่อยู่แล้ว” ภาคิณยักไหล่และเก็บกุญแจรถของตัวเองเข้ากระเป๋ากางเกง
ถ้าหากวันนี้ไม่อยากนั่งข้าง ๆ มินตรา เชื่อเถอะว่าคนอย่างภาคิณไม่มีทางนั่งมากับรถทัวร์หรอก
"แล้วเรื่องห้องได้จองไว้หรือยังเปรม”
"เรียบร้อยละครับคุณเพื่อน ห้อง VIP ไร้เสียงรบกวน ตามแบบที่มึงขอเลย” เปรมตอบ
"งั้นเราเอาของไปเก็บกันเถอะ จะได้มาทำกิจกรรมต่อ” ศักราชเอ่ยปาก เขาอยากจะนอนเล่นสักหน่อย อากาศริมทะเลในตอนนี้ยังไม่ได้มีลมเย็นให้เดินเล่นสบายอารมณ์หรอกนะ
ทั้งสามหนุ่มเตรียมจะเข้าห้องไปพัก แต่ยังไม่ทันได้เดินไปถึงไหน เสียงเล็ก ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
"นี่นาย...ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ”
ศักราชและเปรม รวมถึงภาคิณหันไปมองพร้อมกันก็พบว่าเป็นมินตรา เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ ภาคิณจึงบอกให้เพื่อนอีกสองคนเดินล่วงหน้าไปก่อน
“เธอมีอะไรเหรอ” ดวงตาคู่คมมองหน้ามินตราราวกับรู้ว่าเธอมีอะไรในใจที่อยากจะพูด ปกติแล้วเธอไม่ค่อยเข้าหาเขาก่อน แต่วันนี้มาแปลก คงจะเป็นเรื่องสำคัญมาก
"คือว่า...” มินตราเอ่ยตะกุกตะกัก เธอมองหน้าภาคิณแต่กลับไม่บอกอะไรสักที
“มีอะไรหรือเปล่า”
"คือว่า ..มีคนชอบนายเธอให้ฉันมาติดต่อนายให้ " มินตรารวบรวมความกล้าก่อนจะพูดออกมา ภาคิณนิ่งเงียบ ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมินตราด้วยแววตาที่ราบเรียบ
“นี่เธอมาติดต่อฉันให้คนอื่นเหรอ” ภาคิณเอ่ยถาม
มินตรารู้สึกจุกในลำคอจนพูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่พยักหน้ารับเบา ๆ
"แล้วเธออยากจะให้ฉันคบกับผู้หญิงคนนั้นไหม"
ดวงตาคู่คมฉายแววนิ่งสงบ เขารอฟังสิ่งที่มินตราจะพูดออกมา ภาคิณไม่คิดเลยว่าเธอจะไม่มีเยื่อใยกับเขาเลยจริง ๆ หรือที่มินตราทำแบบนี้เพราะเหตุผลอื่น แต่ถึงยังไง เขาก็เลือกจะทำตามที่เธอต้องการ
"ว่ามาสิ” เขาถามย้ำเสียงเรียบ แม้ในใจจะรู้สึกโกรธมากก็ตามที
"อือ ฉันอยากให้นายคบกับเธอ”
ทันทีที่มินตราพูดจบ ภาคิณก็ร้อนวูบขึ้นคล้ายถูกน้ำกรดสาดหน้า มือหนากำแน่นมองมินตรา ก่อนจะเดินหันหลังจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แสดงให้เห็นว่าคำตอบของมินตราไม่ได้เป็นที่พึงพอใจสักเท่าไหร่
ไม่ต่างอะไรกับมือเรียวเล็กที่กำแน่นกลั้นสะอื้น แม้ในใจจะไม่ได้อยากตอบออกไปแบบนั้น แต่เธอกลับพูดมันออกไป สุดท้ายคนที่เจ็บปวดก็คือเธออยู่ดี ดวงตาคู่สวยได้แต่มองภาคิณเดินจากไปอย่างรู้สึกผิด
บนห้องนอน ร่างหนาเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังรุนแรง เขารู้สึกโกรธและตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการคือที่ระบาย ตรงไหนสักแห่งก็ได้ในห้องนี้
“โธ่เว่ย!” เสียงตะโกนถูกปลดปล่อยออกมาจากความรู้สึกที่เจ็บปวด พร้อมทั้งการจับข้าวของโยนลงพื้นระบายอารมณ์ชิ้นแล้วชิ้นเล่า
“ทำไมวะ...ทำไม"
ชายหนุ่มได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการแล้วจริง ๆเหรอ เธอต้องการให้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ เขาเข้าไปในห้องน้ำพลางมองจ้องตัวเองในกระจกบานใส ก่อนจะใช้มือตักน้ำขึ้นมาชะโลมใบหน้าเพื่อทำให้จิตใจเย็นขึ้นแต่ดูเหมือนความร้อนรุ่มในหัวใจของภาคิณจะดับลงยากกว่าที่คิด
ดวงตาคู่คมมองจ้องเงาของตัวเองในกระจกและกำหมัดต่อยจนเต็มแรง บานกระจกแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับเลือดสีแดงสดที่ไหลรินเป็นทาง
“เฮ้ยภีม!” เสียงตะโกนเรียกของเปรมที่เดินเข้ามาดังทั่วห้อง เขากวาดสายตามองหาเพื่อนสนิท
"มีอะไร” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามในระหว่างที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพเปลือยท่อนบน พร้อมกับมีบาดแผลเหวอะหวะตรงมือซ้าย
“นั่น..มือมึงไปโดนอะไรมาวะ” เปรมถามอย่างตกใจเมื่อเห็นบาดแผลและรอยเลือดบนมือของเพื่อนสนิท ก่อนจะเห็นกระจกที่แตกร้าวในห้องน้ำ สภาพแบบนี้ก็พอจะคาดเดาได้
“ไม่เอาดิวะมึง ทำไมต้องหงุดหงิดขนาดนี้ด้วยล่ะ แค่ผู้หญิงคนเดียวเอง”
“อย่าพูดถึงเธอเลย พูดเรื่องของมึงดีกว่า มาหากูมีเรื่องอะไร” ภาคิณตอบปัดและถามกลับไป
"กูจะมาบอกว่าคืนนี้รุ่นพี่ให้พักผ่อนเต็มที่ จะจัดกิจกรรมรับน้องในตอนเช้า ส่วนเรื่องอาหาร มึงจะให้กูสั่งให้คนเอาขึ้นมาให้หรือมึงจะลงไปกินกับพวกกูด้านล่าง” เปรมถามพลางก้มมองมือของภาคิณ
"แต่กูว่าสภาพนี้มึงอยู่บนห้องเหอะ เดี๋ยวกูให้คนเอาขึ้นมาให้ถึงปากมึงเลย พร้อมกับกล่องยามาทำแผลมึงด้วย” เปรมว่า
“เห็นละเสียว มึงแม่งต่อยไปได้ยังไงวะเนี่ย”
“อือ ขอบใจ” ภาคิณพยักหน้า
“มึงออกไปได้ละ กูอยากพักผ่อน”
เขาจัดการล็อคประตูและเดินเข้ามานั่งหลับตาเครียดบนโซฟา พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ร้องไห้ ก็แค่มินตราไม่ได้มีเยื่อใยต่อกันอย่างที่คิดเอง เขาต้องเดินหน้าต่อให้ไหวสิ