บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 [หึงหวง]

เสียงประตูห้องถูกปิดลงก่อนที่ร่างหนาจะเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงสีเทาหนานุ่ม เขาเอามือยกขึ้นก่ายหน้าผาก นัยน์ตาคู่คมจ้องมองโคมไฟบนเพดาน สมองก็ครุ่นคิดถึงอดีตที่คาใจ 

ย้อนกลับไปในช่วงมัธยม...ตอนนั้นเขาได้รับจดหมายกระดาษสีขาวซึ่งเพื่อนมินตราได้นำมันมาแอบใส่ไว้ใต้โต๊ะในห้องเรียน สิ่งนั้นมันทำให้เขาเชื่อว่าเธอคงอยากจะสารภาพรักกับเขาแน่นอน ซึ่งก่อนหน้านั้นภาคิณก็รู้อยู่แล้วว่ามินตราคงจะแอบชอบเขาอยู่บ้าง...เหมือนกับที่เขาเองก็แอบชอบเธอ 

จนในที่สุดก็มาถึงวันปัจฉิม มันคือวันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันและมันคือวันที่มินตรานัดเขาไปเจอตามที่เขียนในจดหมาย ในตอนนั้นภาคิณจำได้ว่าเขาดีใจมากที่ได้เห็นจดหมายซองนั้น และคิดว่าเธอจะต้องมาตามนัดแน่ ๆ เพราะเขาอยากจะบอกกับเธอเต็มทีแล้วว่าเขาแอบชอบเธอมานานแค่ไหน 

แต่เมื่อเขาไปถึงห้องเรียนตามนัดหมาย ภาคิณยืนรอมินตราอย่างมีความหวัง แต่สิ่งที่คิดมันคงผิดพลาดไป เพราะจริง ๆ แล้วคนที่มาสารภาพรักกับเขาคือ พลอย ดาวโรงเรียนและสาวสวยอีกหลายคน

“พลอยแอบชอบภาคิณมานานแล้ว...”

ในตอนนั้นเองที่ภาคิณเข้าใจแล้วว่าจริง ๆ มินตราไม่ได้ส่งจดหมายนั้นมาเพื่อมาสารภาพรักกับเขา แต่เธอส่งมาเผื่อนัดให้เขามาเจอกับผู้หญิงกลุ่มนั้นต่างหาก

ภาคิณยอมรับเลยว่าวันนั้นเขาทั้งโกรธทั้งน้อยใจมินตรามากจนแสร้งตอบรับรักพลอยไปอย่างที่มินตราต้องการ แม้ในใจของเขาตอนนั้นจะไม่ได้รู้สึกชอบอะไรพลอยเลยสักนิด

และตั้งแต่วันนั้น เขาก็ไม่ได้เจอกับมินตราอีกราวกับว่าเธอพยายามจะหลบหน้าเขาอยู่ตลอด จนในที่สุดภาคิณก็ได้รู้มาจาก เฟราเวอร์ เพื่อนสนิทของมินตราว่ามินตราสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในเมือง แถมยังมาเช่าคอนโดที่นี่อยู่ด้วย

เธอเข้าเรียนช้าไปหนึ่งปีเนื่องจากปัญหาทางบ้าน ซึ่งก็นับว่าโชคดีที่เขาเองก็ไปท่องเที่ยวต่างประเทศก่อนเรียนต่อหนึ่งปี ทำให้ภาคิณตัดสินใจได้อย่างง่ายดายว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเธอและเลือกซื้อคอนโดนี้เพื่ออยู่อาศัยตลอดระยะเวลาจนเรียนจบ ถ้าหากว่าเป้าหมายของเขาไม่ย้ายหนีออกไปก่อนน่ะนะ

“อย่าหวังว่าจะหนีจากฉันไปได้อีกเลยมินตรา...”

หลังจากที่ภาคิณกลับไป ฉันก็เอาแต่นั่งกอดเข่าพิงพนักเตียงนอน ก่อนจะใช้มือดึงลิ้นชักหัวเตียงเปิดออก พร้อมทั้งหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาเปิดแบบเรียงแผ่น 

ฉันหยุดชะงักมือเมื่อเจอสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ในหนังสือ มันเป็นภาพถ่ายของภาคิณจากกล้องโพลารอยด์ที่ฉันเป็นคนแอบถ่ายเองกับมือในตอนที่เขาแข่งบาสซึ่งฉันเก็บซ่อนมันเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้มาตลอด หากวันไหนรู้สึกคิดถึงเขาก็แค่หยิบมันขึ้นมาดู 

"............" 

ฉันนั่งนิ่ง สมองย้อนหวนคิดถึงวันที่เราเจอกันครั้งแรก...

ท่ามกลางสายฝนที่ถาโถมลงมา ฉันในชุดนักเรียนมัธยมปลายยืนอยู่ภายใต้อาคารเรียนขนาดใหญ่ ฉันได้แต่ยืนรับลมหนาวและละอองฝนที่ลอยมาตามลมจนร่างกายเย็นชื้นและไม่สบายตัว สายตาเหม่อลอยมองหยาดน้ำที่กำลังร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย

ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ มืออันเรียวเล็กของฉันก็ยิ่งกำแน่นขึ้นมากเท่านั้น ร่างกายของฉันสั่นสะท้านไปด้วยความหนาวจากละอองฝน จนต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดลำตัว

"ขืนยืนรอต่อไปมีหวังได้มืดค่ำกันพอดี" ฉันพูดออกมาเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าออกไปเผชิญหน้ากับสายฝน แต่จู่ ๆ ก็ถูกมือปริศนากระชากตัวกลับมา พร้อมกับยัดร่มสีดำใส่ในมือให้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“อย่าตากฝนสิ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

ชายหนุ่มคล้ายวัยรุ่นคนนั้นพูดออกมาสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งฝ่าสายฝนออกไป

“อ๊ะ เดี๋ยวก่อนค่ะ” ฉันพยายามตะโกนเรียกชายหนุ่มคนนั้นที่ยื่นร่มให้ แต่พูดยังไม่ทันได้ขาดคำเขาก็จากไปเสียแล้ว ตอนนั้นฉันจำได้เพียงแค่น้ำเสียงและสายตาคู่นั้นที่หันมามองแว๊บเดียวและจากไป

แค่แว๊บเดียวเท่านั้นจริง ๆ....

“โธ่..แล้วฉันจะคืนร่มให้นายยังไงละเนี่ย” ฉันมองร่มในมืออย่างคิดหนัก

แต่หลังจากนั้น ฉันก็ตัดสินใจกางร่มคันนั้นและเดินฝ่าสายฝนออกไป

เช้าวันต่อมา ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนสนิทฟัง ทั้งสองคนช่วยกันคิดหาวิธีตามหาเจ้าของร่มคันนั้น แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ สอบถามจากเพื่อนในห้องก็ไม่มีใครเคยเห็นคนรูปร่างหน้าตาตามที่ฉันบอก 

จนวันถัดไป ทุก ๆ อย่างก็เหมือนถูกลิขิตเอาไว้ ฉันเข้าเรียนในคาบแรกของช่วงเช้าตามปกติ แต่จำได้ว่าวันนั้นฉันพกร่มสีดำติดตัวอยู่ตลอดเพราะคิดว่าหากเจอเจ้าของจะได้คืนและขอบคุณเขาให้เรียบร้อย

และฉันก็เจอเขาจริง ๆ...

ในวันที่อาจารย์ประจำชั้นเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับแนะนำนักเรียนคนใหม่ แค่เห็นสายตาคู่นั้น ฉันก็จำได้ทันทีว่าเขาคือเจ้าของร่มคันสีดำ ฉันจึงคลี่ยิ้มมองเขาอย่างดีใจ แต่เขากลับทำสีหน้าเย็นชาใส่ เหมือนว่าฉันไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเสียอย่างนั้น

แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก...เพราะจุดประสงค์ของฉันคือการคืนร่มนี่นา

“นี่ร่มของนาย ฉันเอามาคืน” ฉันส่งร่มของเขาคืนให้พร้อมรอยยิ้ม

“จำฉันได้ด้วยเหรอ”

“อือ จำได้สิ” ฉันพยักหน้า

“ขอบคุณนะที่ให้ยืม”

ฉันบอกก่อนจะหันตัวเดินออกจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกเอ่ยรั้งให้หันกลับมาอีกรอบ

“เดี๋ยวสิ ผู้ชายที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้นี้เป็นอะไรกับเธอเหรอ” เขาถาม

"อ้อ เฟราเวอร์เหรอ เขาเป็นเพื่อนสนิทฉันเอง นายมีอะไรหรือเปล่า ถ้าเฟราเวอร์มันไปทำอะไรให้นายโกรธก็อย่าไปถือสามันเลยนะ” ฉันตอบ ดูท่าทางแล้วเขาจะไม่ชอบยัยเฟราเวอร์เอามาก ๆ

นี่ฉันปกป้องแกสุด ๆ เลยนะยัยเฟรา...

"เปล่าหรอก ฉันแค่ถามเธอดู ไม่มีอะไร” ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้ม

ฉันบอกลาเขาและเดินออกไปจากห้อง ตั้งแต่นั้นทุกคนก็เริ่มให้ความสนใจเขาเนื่องจากหน้าตาที่โดดเด่นและการเรียนที่ไม่เป็นสองรองใครแม้จะทำตัวเกเรก็ตาม ผิดกับฉันที่ถูกมองว่าเป็นเด็กเรียนแว่นหนาเตอะ ไม่มีผู้ชายมาจีบหรือให้ความสนใจเท่าไหร่เหมือนทุกที

แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่มีคนในหัวใจ เพราะตั้งแต่ที่ฉันเจอกับเขาในวันนั้น ฉันก็รู้ตัวเองว่าแอบชอบเขามาโดยตลอด  และหลังจากนั้นฉันก็มารู้ว่าวันแรกที่เราเจอกันคือวันที่คุณพ่อของเขามามอบเงินสนับสนุนโรงเรียน โดยมีเขาตามติดมาด้วย

แต่ฉันก็ไม่เคยรู้เลยว่าทำไมเขาถึงย้ายออกจากโรงเรียนหรู ๆ แบบนั้นมาอยู่โรงเรียนเดียวกันกับฉันแบบกะทันหันได้

กริ๊งงงงงง

เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นในเช้าวันใหม่จนฉันสะดุ้งตื่นและลุกขึ้นมาขยี้ตาเบา ๆ ในเวลาหกโมงเช้า ถ้าเมื่อคืนไม่นอนเพ้อจนดึกดื่น ฉันคงไม่อ่อนเพลียขนาดนี้หรอก

"ฮ้าว..ง่วงชะมัด” ฉันยกมือขึ้นปิดริมฝีปากพลางเดินไปหยิบผ้าขนหนูเพื่ออาบน้ำ

ฉันอาบน้ำและแต่งตัวอยู่ราวหนึ่งชั่วโมง วันนี้เป็นการเรียนวันแรกฉันจึงไม่อยากสาย เมื่อจัดการมัดผมจนเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากห้องทันที แต่เหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้งกัน เพราะทันทีที่เดินออกมาฉันก็เจอเข้ากับภาคิณในชุดนักศึกษาเข้าพอดิบพอดี

ยอมรับเลยว่าเขาหล่อจนฉันตาค้าง เสื้อเชิ้ตนักศึกษาของเขาถูกปลดกระดุมออกสองเม็ดเผยให้เห็นผิวขาวเนียน ฉันสูดลมหายใจเข้า พยายามท่องนะโมตัสสะในใจอย่างข่มอารมณ์ไม่ให้เตลิดไปไกล (เจอเขากะทันหันแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเจอผีหรอก!) รีบล็อคประตูห้องและสาวเท้าก้าวยาวไปที่ลิฟต์ทันที

“เดี๋ยวสิ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยรั้งและรีบจับข้อมือเล็กของฉันเอาไว้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ปล่อย

“เดี๋ยวฉันไปส่ง”

ฉันรีบปฏิเสธทันทีเมื่อเขาเอ่ยชวนจบ เรื่องอะไรจะยอมไปด้วยกันเล่า!

แต่สุดท้ายฉันก็พ่ายแพ้...พาตัวเองมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของเขาจนได้

ภายในรถเก๋งสีขาวคันหรู ฉันได้แต่นั่งทอดน่องส่องสายตามองออกไปนอกกระจกรถตลอดทางไปจนถึงมหาวิทยาลัย เพราะฉันรู้สึกไม่มั่นใจทุกครั้งที่ต้องอยู่ใกล้ ๆ ภาคิณแบบนี้ ซ้ำยังต้องนั่งรถคันเดียวกันอีก นั่นยิ่งทำให้ฉันกลัวว่าจะต้องตกหลุมรักเขาหัวปักหัวปำอีกครั้ง

เหมือนเขาจะคิดว่าฉันโกรธที่เขาพาตัวมา เพราะหลังจากที่ชำเลืองมองฉันแว๊บหนึ่งก็ยกยิ้มมุมปากและเหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็วจนฉันต้องหลับตาปี๋

โอเค ตอนนี้ฉันขอถอนคำพูด ฉันว่าเขาไม่ได้คิดว่าฉันโกรธเขาหรอกแต่เขาจงใจจะแกล้งฉันมากกว่าเล่า!

เมื่อมาถึงที่หมาย ฉันคว้าสะพายกระเป๋าแล้วรีบเดินลงจากรถ ภาคิณรีบวิ่งตามฉันลงมาพร้อมกับจับแขนให้หยุดลง

“ถึงมหาลัยแล้ว จะอะไรอีก” ฉันว่าพร้อมจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างสงสัย

 “เย็นนี้ รอกลับกับฉัน” ภาคิณเอ่ยสั่งเสียงหนัก

แต่คนอย่างฉันมีหรือจะยอมฟัง....

"อือฮึ” ฉันแกล้งตอบตกลง เพราะหากปฏิเสธวันนี้คงไม่ได้ไปเรียนแน่

“แต่เอ๊ะ..นายเรียนที่นี่ด้วยเหรอ”

ฉันมองสำรวจชุดนักศึกษาชายที่ภาคิณสวมดูอีกรอบ เพราะเพิ่งเห็นตรามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่เดียวกันกับฉัน

“ทำไมละ ดีใจเหรอที่จะได้เจอกันบ่อย ๆ”

เขายักคิ้ว ยกมือขึ้นมาลูบหัวฉันอย่างถือวิสาสะและเดินหายไป ทิ้งให้ฉันได้แต่อ้าปากค้าง ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

“ดีใจกับผีสิ ใครมันจะอยากมาอยู่มหาลัยเดียวกับนายกันล่ะ” ฉันบ่นตามหลัง

หวังว่านายนั่นคงไม่ได้อยู่คณะเดียวกันกับฉันนะ เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตฉันคงได้วุ่นวายแน่!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel