ตอนที่ 2 [ความหลัง]
ฉันเดินมาเปิดประตูออกด้วยความหัวเสีย กำลังจะอ้าปากต่อว่าคนไร้มารยาทที่มาเคาะห้องโดยไม่ยอมตอบอะไร แต่เมื่อประตูถูกเปิดออกฉันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่เคาะคือ...
“ภาคิณ !!”
ฉันตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เมื่อเห็นเค้ายืนกอดอกพร้อมกับส่งสายตาเยือกเย็นอยู่ตรงหน้าประตูห้อง
“ขอเข้าไปหน่อยสิ”
“!!”
ชายหนุ่มร่างสูงเดินเบียดร่างของฉันเข้ามาภายในห้อง แต่เอ๊ะ...ฉันยังไม่ได้อนุญาตนี่!
“นี่! นาย ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ” ฉันว่า ในหัวมีทั้งความตกใจและตื่นตระหนก ไม่คิดว่าอดีตชายหนุ่มสุดฮ็อตที่เคยแอบชอบตอนมัธยมจะได้มาเจอกันอีกครั้งในช่วงเวลาแบบนี้
“ห้องเธอสวยดีนะ” ภาคิณเอ่ยชมหลังจากกวาดสายตามองจนทั่ว “ผมหิวแล้วอ่ะ เธอมีอะไรกินบ้างไหม”
เขาลูบท้องพลางส่งสายตาออดอ้อน ริมฝีปากนั่นยิ้มหวานส่งมาให้ เมื่อเห็นว่าฉันยืนกอดอกหน้าบึ้งไม่ตอบอะไรเขา ร่างสูงจึงลุกขึ้นและเดินตรงดิ่งไปทางตู้เย็น
‘นี่มันห้องฉันนะยะ’ ฉันได้แต่คิดในใจ ระหว่างมองดูแผ่นหลังหนาของเขา
“นี่นาย! หิวก็ออกไปร้านอาหารสิ ที่นี่ไม่มีอะไรให้คนแบบนายกินหรอกนะ” ฉันว่าต่อ
“มารยาทหน่อยค่ะ เชิญ!”
ฉันเชิดหน้าขึ้น เอามือมากอดที่อกแสดงความไม่พอใจ นี่มันห้องฉันนะ พรวดพราดเข้ามาเองยังไม่พอ ยังมาค้นของในตู้เย็นของฉัน(ที่มีอยู่น้อยนิด)อีก ฉันจะไม่ยอมเขาอีกต่อไปแล้ว!
“ทำไมเหรอ คนแบบผมมันทำไม" ภาคิณส่งสายตาแข็งกระด้างจ้องฉันจนขนลุกซู่ ค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามาใกล้ จนร่างของฉันถอยชิดติดผนังห้อง
“อย่าเข้ามานะ....”
น่ากลัวชะมัดเลย ให้ตายเถอะ....
"ตอบมาสิ คนแบบผมมันทำไม?" มือขวาของเขายกขึ้นกั้นตั้งตรงบนผนังจนฉันไร้ทางหลบหนี ส่วนมือซ้ายของเขาก็จับปลายคางของฉันให้เงยหน้าขึ้นมองอย่างเค้นคำตอบ ฉันพูดอะไรไม่ออก แววตาสั่นระริก สมองครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอด
“เอ่อ...คือว่า คือ....”
เอายังไงดียัยมินตรา! ตายแน่เรา
“มะ เมื่อกี้นายบอกว่าหิวไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้นายกินก็ได้ หลบไปสิ ฉันรีบ” ฉันหาเรื่องสลัดตัวเองออกมาจากการกักขังของภาคิณ ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องครัวทันทีเพื่อที่จะได้อยู่ห่างจากตัวเค้า
หากยังทำตัวกร่างหรือปากดีต่อไปมีหวังได้ถูกเขาสวบแทนข้าวแน่ มินตราเอ๊ย..!!
ฉันคิดในใจขณะยืนหั่นมะเขือเทศบนเขียง โดยมีสายตาแหลมคมคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา จนฉันเริ่มรู้สึกอึดอัด
"นี่ฉันไม่ใช่นักโทษของนายนะ จะจ้องอะไรขนาดนั้น!” ฉันโวยวาย ไม่กลัวแล้วว่าเขาจะเข้ามาทำอะไรฉันอีกหรือเปล่า ก็ลองดูสิ ดูมีดในมือฉันด้วยนะยะตาบ้าภาคิณ!
"ทำไปครับ หรือจะให้ผมไปช่วยดีล่ะ" น้ำเสียงหนานุ่มเอ่ยปนยิ้มจาง แขนล่ำกอดอกและมองมาทางฉัน
น่ากลัว... ยิ้มสยองชะมัดเลย
“ไม่ต้อง! นายยืนอยู่ห่าง ๆ ตรงนั้นแหละ" ฉันรีบเอ่ยปรามเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ ฉันไม่วายชำเลืองมองเป็นระยะ ถ้าเขาทำแบบนี้บ่อย ๆ มีหวังฉันได้หัวใจวายตายแน่ การได้อยู่ใกล้คนที่แอบชอบแบบนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกหายใจไม่คล่องคอเอาซะเลย
แต่เอ๊ะ...เมื่อกี้ฉันบอกว่าแอบชอบเขาอยู่เหรอ โอเค ฉันเคยชอบเขา คิดว่าเคยน่ะนะ ยอมรับตรงนี้ว่าฉันเองก็หลอกตัวเองอยู่ ความจริงแล้วฉันแอบชอบเขามาตลอดนั่นแหละ
ใบหน้าหล่อเหลาแอบกระตุกยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นว่าฉันมีอาการราวกับเขินอายเขาอยู่ตลอดเวลา ภาคิณมองฉันไม่ละสายตาเลยแม้แต่น้อยจนฉันรู้สึกวูบวาบ จะหยิบจับอะไรก็ขัดเขินไปหมด แต่สิ่งที่ฉันไม่รู้เลยนั่นก็คือภายในใจของเขากำลังคิดกับฉันอยู่ว่า...
‘ฉันจะทำให้เธอบอกว่าชอบฉันให้ได้ คอยดูสิ...มินตรา’
หลังจากนั้นประมาณห้านาที ข้าวไข่เจียวมะเขือเทศก็วางอยู่ตรงหน้าเขา
“นี่ค่ะ อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ คุณผู้ชาย” ฉันพูดประชด ก้มหัวนอบน้อมทำทีเป็นไม่มองใบหน้าของเขาโดยตรง
“ขอบคุณนะครับ” ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มหวาน เขาก้มหน้าลงมองจานอาหารและกล่าวขอบคุณ
“เพราะนายบังคับฉันต่างหากย่ะ!” ฉันตอบ ก็ไม่ได้อาสาจะทำให้หรอกนะแต่ผู้ชายมันอ้อนจะให้ทำยังไงล่ะ ไหนจะถูกเขาบีบบังคับทางอ้อมอีก ฉันจึงต้องยอมไปก่อนเพื่อเอาตัวรอด
และดูเหมืนว่ากลิ่นหอมกรุ่นของอาหารคงไปเตะจมูกของเขามากเพราะทันทีที่เขาหยิบช้อนส้อมขึ้นมาก็จัดการโกยข้าวพร้อมไข่เข้าปากซะคำโต
“เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก”
“แค่ก ๆ ๆ”
นั่นไง...ฉันพูดยังไม่ทันขาดคำ ภาคิณก็สำลักขึ้นมา ฉันจึงรีบยกน้ำเปล่ายื่นให้เขา แต่ที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือเขารับน้ำ...โดยจับเต็ม ๆบนมือของฉัน แม้ในใจมันจะรู้สึกดีแต่ร่างกายมันบอกว่าฉันต้องรักนวลสงวนตัว ฉันจะปล่อยให้เขาได้สัมผัสตัวแบบฟรี ๆ อย่างนี้ไม่ได้!
"ขอบคุณนะ" ชายหนุ่มเอ่ย สายตาของเขามองมาทางฉันไม่วางตา
“อือ...”
ฉันแสร้งทำหน้าเย็นชาแล้วรีบดึงมือกลับ พร้อมทั้งหลบสายตาไปทางอื่น พยายามข่มความเขินอายที่กำลังประทุขึ้น ไม่ได้นะ ฉันต้องเก็บอาการมากกว่านี้
“คุณรีบกินแล้วก็รีบไปได้แล้ว ฉันอยากพักผ่อน” ฉันกระแอมและเอ่ยอย่างติดขัดก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งตรงโซฟาสีขาว มือก็คว้าหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านกลบเกลื่อนแก้มที่แดงระเรื่อ
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแอบมองชายหนุ่มจากด้านหลัง สมองครุ่นคิดถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ในอดีต มันก็ไม่ได้แย่นะ แต่จะว่าอย่างไรดีล่ะ...
ฉันกับเขาห่างกันราวฟ้ากับเหว เขาคือหนุ่มหล่อสุดฮ็อต แต่ฉันเป็นได้แค่เด็กเนิร์ดที่ต้องสวมแว่นปกปิดความไม่มั่นใจของตัวเอง ต่อให้มองยังไงก็ไม่เห็นหนทางที่เขาจะมาชอบฉันได้เลย
ฉันค่อย ๆ วางหนังสือลงช้า ๆ หลับตาลงนึกย้อนไปถึงอดีตสมัยมัธยมกับความรักที่ไม่สมหวังของตัวเอง
โรงเรียนมัธยมประจำเมืองหนาแน่นไปด้วยนักเรียนมากมาย อากาศวันนั้นร้อนอบอ้าวมากกว่าปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเหงื่อของฉันที่ไหลออกมาเต็มมือก็ไม่ได้เกิดจากพระอาทิตย์อย่างเดียว
‘มินตรา สู้สู้ดิวะ แกจะไม่ได้เจอเขาอีกเลยนะเว้ย?’ ฉันเอ่ยให้กำลังใจตัวเองครั้งที่ร้อยขณะที่กำลังครุ่นคิดหาทางสารภาพรักกับภาคิณ ในวันที่ฉันใกล้จะจบการศึกษาเข้ามาเต็มที
ฉันต้องทำได้ ต้องสารภาพรักกับเขาให้ได้ในสักวันแหละน่า!
‘มินตรา...ช่วงนี้แกดูเครียด ๆ นะ ไหนบอกฉันมาสิว่าแกเป็นอะไร’ แพม เพื่อนสนิทของฉันยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางเลิกคิ้วรอฟัง
“เอ่อ...คือว่าฉัน...” ฉันเอ่ยตะกุกตะกักจนเพื่อนสนิทอีกคนที่เดินกลับมาจากซื้อน้ำพูดแทรกขึ้นมาว่า
“จะอะไรอีกล่ะ ก็ยัยมินตราเพื่อนสาวของเราเนี่ย กำลังหาทางสารภาพรักกับผู้ชายที่แอบรักมานานอยู่น่ะสิ!” เฟราเวอร์ เดินถือแก้วน้ำมาวางลงตรงหน้าฉัน พลางเอามือเท้าคาง มองจ้องอย่างหยอกล้อ
“แกนี่ช่างรู้ใจฉันจริง ๆ เลยค่ะ ยัยเฟราเว่ออออ” ฉันกรอกตาและเอ่ยย้ำเสียงสูงปรี๊ด ก่อนจะคลี่ยิ้มจาง ๆ มอง เฟราเวอร์ เพื่อนกะเทยและ แพม เพื่อนสาวที่รู้ใจฉันมากที่สุด
“เอาน่ามินตรา แกจะทำหน้าหงอยทำไมวะ แกอย่าลืมสิว่าฉันกับยัยแพมคือเจ้าแม่แห่งวงการจับคู่นะยะ เรื่องคิดแผนชั่ว ๆ น่ะวางใจพวกฉันได้เลย....”
เฟราเว่อร์ยกยิ้มกริ่มพลางหันไปมองตาแพมอย่างรู้กัน ท่าทีดูไม่น่าไว้วางใจจนฉันถึงกับส่ายหัว สองคนนี้ชอบจับคู่ให้คนอื่นไปเรื่อยเป็นประจำ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือพวกนี้มันดันจับคู่สำเร็จเสียด้วยนี่สิ
“ไว้ใจพวกฉันได้เลยเพื่อน....” เฟราเวอร์ยิ้มกริ่ม
“เดี๋ยวฉันจัดการให้”
ฉันส่ายหน้าให้กับท่าทางของเพื่อนสนิท เฟราเวอร์ไหวไหล่ทั้งสองข้างไปมาและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คโซเชียล มุมปากยังคงยิ้มค้างไว้ มองจากดาวอังคารก็รู้ว่ายัยนี่มีแผนการร้ายอยู่ในใจแน่ ๆ เพื่อที่จะช่วยเพื่อนรักให้ได้สมหวังกับผู้ชาย
ฉันซาบซึ้งใจกับการกระทำของเพื่อนนะ แต่ก็รู้ดีว่าการที่จะได้ครองรักกับชายในฝันที่เปรียบดั่งเจ้าชายรูปงาม แถมยังดูดีทุกมุมทุกองศา พ่วงด้วยตำแหน่งหนุ่มหล่อสุดฮ็อตประจำโรงเรียน เกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่าสี่ ไหนจะฐานะที่เรียกได้ว่าเศรษฐี โอกาสนั้นแทบจะเป็นศูนย์
ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งเพ้อฝันถึงผู้ชายที่ชอบ ยัยเฟราเวอร์ก็ส่งสายตาล้อเลียนและอีกสักพักก็ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ถ้าให้ทายล่ะก็ ยัยนั่นคงกำลังคิดในใจประมาณว่า...
‘ผู้ชายที่ยัยมินตราชอบก็ดีทุกอย่างเลยแฮะ ติดอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ แบดบอยและเกเรสุด ๆ ไม่รู้ยัยมินตราชอบไปได้ยังไง หล่อแต่เย็นชาขนาดนี้ ถ้าเป็นฉันนะ...ต้องพุดเดิ้ลเท่านั้นจ้ะ’
“ฉันคิดแผนการเอาไว้แล้ว รับรองว่าคราวนี้ภาคิณต้องรับรักแกแน่ ๆ” เฟราเว่อร์วางโทรศัพท์ลงและพูดขึ้น
“แกพูดจริง ๆ นะ” ฉันยกยิ้ม จับแขนเฟราเวอร์เขย่ารัว ๆ อย่างดีใจ
“โอ๊ย หยุดค่ะ! แขนฉันจะหลุดก่อนจะได้ช่วยแกนี่แหละยัยมินตรา” เฟราเวอร์ร้องห้าม ก่อนจะรีบดึงแขนตัวเองออกจากมือของมินตรา
“ขืนปล่อยให้แกเขย่าอีก แขนฉันได้เป็นง่อยแน่ แกอยากมีเพื่อนแขนไม่สมประกอบหรือไงยะ”
“ไม่ต้องห่วง ถ้าแกแขนพิการ ฉันจะป้อนข้าวแกเอง”
“ไม่เอาค่า! ดีลผู้มาดูแลฉันก็พอ” เฟราเวอร์จีบปากจีบคอจนแพมที่นั่งเงียบมานานหัวเราะร่าออกมา และหลังจากนั้นไม่นานเสียงหัวเราะก็ดังลั่นขึ้นมาจากกลุ่มของพวกเรา
“กรี๊ดดด พี่ภีมคะ ขอถ่ายรูปหน่อยค่า”
เสียงสาว ๆ กลุ่มหนึ่งตะโกนขึ้นที่หน้าตึกเรียน พวกเธอรีบร้องเรียกแล้วก็วิ่งกรูเข้าไปประกบหนุ่มหล่อประจำโรงเรียนเพื่อขอถ่ายรูป
แค่พูดถึง...เขาก็มา
ฉันหันไปมองภาคิณที่กำลังถูกสาว ๆ สวย ๆ มากมายรุมล้อมขอถ่ายรูป บ้างก็เข้าไปเสนอตัวชวนเค้าไปดูหนัง บ้างก็ชวนไปออกเดต เฮ้อ ..ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้นะเวลาที่ต้องเห็นเขาอยู่ใกล้กับผู้หญิงคนอื่น
ตั้งแต่วันที่เข้าเรียนจนถึงวันนี้ ฉันยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าเคยเข้าไปอยู่ในสายตาของเขาบ้างหรือเปล่า เพราะภาคิณคือผู้ชายที่ฉันชอบมากที่สุด แต่เขาหล่อและฮ็อตจนเกินไปน่ะสิ ผู้หญิงที่ขาดความมั่นใจแบบฉันคงทำได้แค่แอบชอบแบบนี้แหละ
แต่ถึงยังไงก็เถอะ แม้มันจะมีความหวังแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ตาม ฉันก็จะขอลองเสี่ยงดูสักครั้ง ในวันปัจฉิมนี้มันคือโอกาสสุดท้ายของฉันที่จะได้เจอกับภาคิณและสารภาพรักต่อหน้าเขา และทุกคนคงจะคิดว่ามันคือการกระทำที่บ้าบิ่นเอามากแน่ ๆ
ใช่...ฉันก็คิดแบบนั้น
โอ๊ย เครียด เขาจะชอบฉันไหมเนี่ย ฉันตะโกนก้องในหัวตัวเองอย่างอัดอั้น แค่คิดว่าจะต้องไปบอกรักเขาก็หน้าแดงแล้ว ถ้าเขาไม่ชอบฉันและพาลหนีหน้าไปจะทำอย่างไรดีล่ะ
ฉันฟุ้งซ่านนึกย้อนกลับไปไกลก่อนจะถูกมือหนาสะบัดไปมาตรงหน้าเรียกสติ
“เธอ...เธอ” เป็นภาคิณนั่นเองที่มาเรียกฉัน
“คะ” ฉันมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างพยายามเก็บอาการ หวังว่าเขาคงจะไม่ได้ยินเสียงหัวใจของฉันที่เต้นระรัวอยู่นะ
ในนาทีนั้นเอง...เขาก็พลันส่งสายตาจ้องมองฉัน ดวงตาของเราประสานเข้าด้วยกันเหมือนเจ้าหญิงเจ้าชายในละคร มันช่างรู้สึกดีจนฉันคิดว่าตัวเองอยู่ในหมอกฟุ้งสีชมพู เผลอทำปากจู๋พร้อมที่จะรับการจูบเหมือนในละคร
โป๊ะ!
“โอ๊ย”
มือหนาเคาะลงบนกบาลหนา ๆ ของฉันจนได้สติ
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย” ฉันว่าและเริ่มตาสว่างเห็นภาคิณยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะใช้มือถูหน้าผากที่เพิ่งจะโดนเขาเคาะไปเมื่อสักครู่
“ฉันต้องถามเธอมากกว่าว่ากำลังคิดอะไรอยู่” น้ำเสียงหนานุ่มกล่าวตอบ เขายกยิ้มมุมปาก สายตาเย้าแหย่ของเขามองจ้องจนฉันเสียอาการ รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ฉันก็แค่คิดอะไรเพลิน ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะจูบเขาจริง ๆ สักหน่อย! (แม้ในความฝันจะแอบหวังอยู่เรื่อย ๆ ก็ตามเถอะ)
“ฉันก็กำลังคิดว่า...พระเอกนิยายเรื่องที่อ่านเมื่อคืนน่ะโง่จริง ๆ” ฉันรีบแก้ตัว แม้ว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยได้อ่านนิยายเลยก็เถอะ
ก็แหม่...ฉันก็ต้องเอาตัวรอด แกล้งทำท่าทางใส ๆ ซื่อ ๆ ไปก่อน
“งั้นเหรอ” เขามองดวงตาของฉัน
“ใช่! กลับห้องของนายไปได้แล้ว ฉันง่วงนอน” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องพร้อมลุกขึ้นยืน ใช้แรงอันน้อยนิดดันร่างหนาของเขาไปที่ประตูห้อง
“ขออยู่ต่ออีกหน่อยสิ” เขาเอ่ยแกล้งฉัน แต่ฉันไม่ยอมหรอกนะ ฉันยังคงดึงดันจะไล่เขาออกไปจากห้อง
“ก็ได้ ๆ ผมไปก็ได้” เขายกมือยอมแพ้
"ฝันดีนะคะ ขอบคุณสำหรับอาหาร” ภาคิณยิ้มหวานและยกมือขึ้นลูบหัวฉันเบา ๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องแต่โดยดี
ในขณะที่ฉันนั้นยืนค้างอยู่ที่เดิม เหมือนสติจะเลือนหายไปหมดแล้ว ฉันตบหน้าตัวเองเบา ๆ แล้วรีบวิ่งไปล้มตัวลงนอนบนเตียง ก้มหน้าซุกหมอนและกรี๊ดออกมาสุดเสียง
"ไอ้คนบ้า! บ้า ๆ ๆ ๆ กรี๊ดดด”