ตอนที่ 1 [จุดเริ่มต้น]
"สวัสดีค่ะ นี่คีย์การ์ดของคุณนะคะ”
เสียงพนักงานสาวประจำล็อบบี้ในคอนโดหรูพูดขึ้นพร้อมยื่นคีย์การ์ดมาให้ เมื่อเห็นว่าฉันยิ้มตอบและเอื้อมมือไปรับคีย์การ์ดสีดำเงามาถือไว้แล้ว เธอก็ผายมือไปที่ลิฟต์ทางขวามือพร้อมพูดต่อ
“ห้อง 0516 ชั้นห้านะคะ มีอะไรสามารถติดต่อสอบถามที่เคาน์เตอร์นี้ได้ตลอดเวลาค่ะ ประตูลิฟต์อยู่ทางด้านนั้น"
"ขอบคุณค่ะ" ฉันกล่าวทิ้งท้ายและรีบลากกระเป๋าใบโตพร้อมกับถือกล่องสี่เหลี่ยมในมือเดินเข้าไปในลิฟต์ทันที
ระหว่างรอลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นจนถึงชั้นห้า ฉันก็ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามแล้ว ถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับการเข้าพักในคอนโดวันแรก
ฉันเป็นเด็กสาววัย 21 ปีที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยเต็มตัว หลังจากสอบติดคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาการถ่ายภาพ ฉันก็มีข้ออ้างที่จะย้ายออกจากบ้านของตัวเองซึ่งอยู่นอกเมืองมาเช่าหอพักที่อยู่ใกล้มหาลัยวิทยาลัย ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะฉันเบื่อหน่ายภรรยาใหม่ของคุณพ่อเต็มทน
จะว่าไปแล้วระยะทางจากบ้านของฉันมาถึงมหาวิทยาลัยก็ถือว่าไกลอยู่พอสมควร ต้องขับรถนานถึงสองชั่วโมงเต็มหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ถ้าฉันไม่มาเช่าคอนโดที่นี่มีหวังได้เหนื่อยจากการนั่งรถแทนการเรียนแน่ ๆ
ยังดีที่พ่อของฉันเป็นคนมีเหตุผลและเข้าใจอะไรง่าย ท่านจึงไม่ได้บังคับอะไรฉันมากมายนัก ซ้ำยังเป็นห่วงด้วยเมื่อรู้ว่าฉันจะย้ายมาอยู่หอตามลำพัง จะติดก็แค่ น้าปราณี แม่เลี้ยงของฉันเท่านั้นที่คอยอิจฉาและหาทางกลั่นแกล้งฉันอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นในตอนที่คุณพ่อไม่อยู่บ้าน เธอก็มักจะพูดเสียดสีฉันอยู่บ่อยครั้ง
แต่ใครจะไปสนกันละ...ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะให้ใครมารังแกง่าย ๆ สักหน่อย
อีกอย่างฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหากคุณพ่อไม่มีเงินที่จะคอยเลี้ยงดูปรนเปรอเธอ เธอจะยังคงรักคุณพ่อของฉันอยู่ไหม เพราะตั้งแต่ที่พ่อกับแม่ของฉันแยกทางกัน การเงินของบ้านฉันก็เริ่มดิ่งลง แต่กระนั้นก็ไม่ถึงกับเข้าขั้นวิกฤต ก็แค่ใช้จ่ายไม่คล่องมือเหมือนเมื่อก่อน
“รอดพ้นจากแม่เลี้ยงนั่นสักที หวังว่าจะไม่ต้องเจอกันไปอีกสี่ปีนะ” ฉันพึมพำ
ติ๊ง!!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นและเปิดออก ภาพด้านหน้าของฉันคือกำแพงที่มีหมายเลขชั้นกำกับไว้อยู่เพื่อให้รู้ว่าเป็นชั้นห้า ฉันก้าวเท้าออกมาพลางเบนสายตาหันมองซ้ายขวาเพื่อดูว่าห้อง 0516 อยู่ทางด้านไหน
“บรรยากาศเงียบสงบดีแฮะ” ฉันเปรยเบา ๆ
ภายในคอนโดแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นทางซ้ายและขวา มีพื้นที่โล่งและลิฟต์อยู่ตรงกลาง ประตูห้องเรียงกันเป็นแถบ มีหมายเลขห้องสลักไว้อย่างชัดเจน
“ต้องทางนี้ชัวร์”
ฉันมองเลขห้องทางด้านขวามือที่สลักเอาไว้ว่า 0510 ก่อนจะตัดสินใจเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องหมายเลข 0516 ที่ฉันเช่าเอาไว้
“นี่ไง เจอห้องสักที” ฉันไม่รอช้า รีบยกคีย์การ์ดขึ้นสแกนแล้วเปิดประตูเดินเข้าไปภายในทันที
แค่ได้เข้ามาในห้อง ความเหนื่อยจากการเดินทางก็เริ่มลดลงจนเกือบหมด
ห้องพักของที่นี่ถูกจัดและดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี ฉันมองสำรวจข้าวของโดยรอบเพื่อตรวจดูว่ามีตรงจุดไหนที่ยังจะต้องจัดการตกแต่งอีกหรือไม่ ก่อนที่จะวางกระเป๋าและของที่นำมาลงบนโต๊ะกลางห้อง
"ที่นี่ดูสะดวกสบายดีจัง"
ฉันคงไม่ต้องจัดแจงอะไรมากนอกจากจัดกระเป๋าเพื่อนำเสื้อผ้าเข้าตู้และโต๊ะหนังสือเท่านั้น
“เอาล่ะ มาเริ่มจัดห้องดีกว่า”
ฉันถอดแว่นตาที่สวมอยู่วางลงบนโต๊ะหัวเตียงพลางพับแขนเสื้อสีขาวขึ้นมาถึงข้อศอกและใช้มือเก็บรวบผมที่ยาวสลวยให้รวบตึง ก่อนจะเริ่มจัดแจงเก็บข้าวของออกจากกระเป๋าที่นำมา
เวลาผ่านไปไม่กี่นาที ห้องที่เคยโปร่งโล่งก็ถูกจัดตกแต่งจนเต็ม แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ลืมทำความสะอาดซ้ำอีกรอบ ฉันหันไปดึงกระชับผ้าปูเตียงสีชมพูให้แน่น พร้อมทั้งจัดวางตุ๊กตาตัวโปรดลงข้าง ๆ หมอนใบใหญ่
“เสร็จสักที...” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใช้มือเรียวเล็กปาดเหงื่อตรงใบหน้าเบา ๆ พลางยกยิ้มอย่างมีความสุข
“ต่อไปก็คงต้องเช็คของในครัวสักหน่อยว่ามีอะไรกินบ้าง ถ้าคืนนี้หิวขึ้นมาคงแย่แน่ มินตรา” ฉันบอกกับตัวเองและเดินตรงดิ่งไปที่ตู้เย็น ก้ม ๆ เงย ๆ มองสำรวจสลับชั้นบนชั้นล่าง
ของที่อยู่ภายในตู้มีไม่มากนัก แต่ก็พอจัดแจงได้สักเมนูหรือสองเมนู ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบฉัน...
“โอเค ทุกอย่างเรียบร้อยดีเหมือนที่คิด”
ดวงตาคู่สวยฉายแววพึงพอใจ เมื่อสำรวจของทุกอย่างจนครบถ้วนดีแล้ว
ฉันบิดตัวไปมา ตอนนี้คงจะได้เวลาออกไปยืดเส้นยืดสายตรงนอกระเบียงสักหน่อย คิดได้ดังนั้นฉันก็เดินไปเปิดผ้าม่านผืนยาวแหวกออกข้างประตูบานใสริมระเบียงและค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วปลดล็อกเพื่อเลื่อนประตูเดินออกไปรับลม
ในเวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำ แสงไฟสว่างวิบวับจากตึกโดยรอบเริ่มผุดขึ้นมาทีละน้อย ช่างเป็นบรรยากาศที่แตกต่างจากนอกเมืองเหลือเกิน
หาก เฟราเวอร์ และแพม เพื่อนสนิทของฉันมาเห็นเข้า พวกมันจะต้องอิจฉาฉันมากแน่ ๆ ที่ได้ห้องเช่าแถมวิวสวยขนาดนี้ นัยน์ตาสีอ่อนมองออกไปยังตึกสูงเบื้องหน้ามากมาย ใบหน้าของฉันเผยรอยยิ้มสดใสออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จะเริ่มได้ยินเสียงดังประหลาดลอยมาตามลม ดับความสงบของทิวทัศน์แสนสวยตรงหน้าไปจนหมดสิ้น และดูเหมือนว่า...เสียงนั้นจะดังอยู่ใกล้ ๆ ห้องของฉันซะด้วย!
"อ๊ะ....อ๊ะ...อ๊ะ"
เสียงร้องดังลอยออกมาจากระเบียงห้องข้าง ๆ จนสะกิดเข้าหูฉัน แม้จะเบาบางแต่มันก็ชัดพอให้ชวนเอะใจ ฉันกวาดสายตามองหาเจ้าของเสียงด้วยการเดินตามเสียงนั้นไปจนชิดขอบระเบียงห้องพร้อมทั้งไล่สายตามองหา จนเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นจนได้
“ว้าย!!” ฉันรีบอุดปากของตัวเองอย่างไว ในขณะที่สายตากำลังตรึงค้างกับภาพของคนข้างห้องที่กำลังมีเซ็กซ์กัน บ้าจริง! พวกเขาไม่คิดจะปิดม่านกันเลยหรือไง
แต่เมื่อมองดี ๆ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาผู้ชายคนนั้นจังเลยนะ
ชายหนุ่มคนนั้นคลี่ยิ้มบริเวณมุมปาก ในระหว่างที่กำลังบดขยี้กลีบกุหลาบของสตรีผมสีน้ำตาลยาวสลวยต่อหน้าต่อตาฉัน แม้เขาจะรู้ว่าฉันมองอยู่ก็ไม่เกิดความละอายเลยสักนิด ซ้ำยังเร่งความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อีกต่างหาก
ฉันยกมือเรียวขึ้นมาขยี้ตาเบา ๆ มองหน้าผู้ชายคนนั้นแบบเต็มตาอีกครั้ง
"ภาคิณ ใช่เขาจริง ๆ ด้วย" ฉันพึมพำ
ฉันมองใบหน้าของชายหนุ่มที่นับว่าเป็นหนุ่มหล่อในดวงใจที่เคยแอบชอบสมัยมัธยมด้วยความตกตะลึง ไม่จริงน่า...นั่นเขาเหรอ
"จะมองอีกนานไหม หรือจะเข้ามาร่วมจอยด้วยก็ได้นะ” น้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยแรงอารมณ์เอ่ยถามจนฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ รีบวิ่งกลับเข้าห้องล็อกประตูนอกระเบียงอย่างแน่นหนา แม้ในใจอยากจะก่นด่าแทบตาย แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขาจำฉันได้
"ไอ้คนบ้า ไอ้คนโรคจิต ใครจะอยากไปร่วมจอยกับนายกันล่ะ น่าเกลียดที่สุดเลย ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย” ฉันตบหน้าตัวเองไปมา แทบอยากจะควักลูกตาออกมาล้างเสียด้วยซ้ำ
อีตาบ้าภาคิณ เป็นเขาไปได้ไงนะ!
“กรี๊ด! ไม่จริงน่า”
ฉันเอาหน้าซุกลงหมอนและกรี๊ดออกมาเพื่อระงับอารมณ์หงุดหงิด ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเจอเขาที่นี่ แถมยังมาอยู่ห้องติดกันอีก นี่มันฟ้ากลั่นแกล้งกันชัด ๆ เลย
“ทำไมวันนี้เสร็จเร็วจังละคะภีม ปกติเอานานกว่านี้นี่น่า” หญิงสาวเอียงคอถามเมื่อเห็นร่างหนาใช้มือถอดถุงห่อหุ้มแกนกายสีใสที่ภายในบรรจุน้ำสีขาวขุ่นโยนทิ้งลงถังขยะ
วันนี้เขาเพิ่งจะใช้มันไปเพียงอันเดียวเท่านั้น ทั้งที่ปกติใช้มากกว่านี้เป็นไหน ๆ
“วันนี้ผมมีธุระน่ะ ไว้วันอื่นผมจะเอาให้คุณหายอยาก เดินไม่ได้เป็นเดือนเลย” ริมฝีปากหนากระซิบข้างกกหูขาวเนียนจนหญิงสาวผมสีน้ำตาลบลอนด์คลี่ยิ้มชอบใจ เธอกอดซบอกกว้างอย่างออดอ้อนทันที
"ก็ได้ค่ะ สัญญาแล้วนะคะ เฟียจะรอ” ปลายนิ้วเรียวลูบสัมผัสลำตัวของภาคิณไปมาด้วยแววตาเย้ายวน ก่อนจะถูกมือหนาสลัดออกอย่างไม่ใยดี
"ผมบอกแล้วไง วันนี้พอแค่นี้ก่อน” น้ำเสียงหนักกล่าวดุจนหญิงสาวรีบจัดแจงสวมเสื้อผ้า ไม่กล้าที่จะยั่วอารมณ์ของเขาต่อ
มุมปากหนากระตุกยิ้มร้ายในระหว่างหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวมาสวมใส่ ปกปิดเรือนร่างหนาล่ำที่ดูสมส่วน บ่งบอกถึงการออกกำลังกายอย่างหนักและดูแลตัวเองอย่างดี
ภาคิณติดกระดุมเสื้อจนเกือบจะครบทุกเม็ด เขาเผยแผงอกกำยำสีขาวเอาไว้พลางคิดถึงแววตาของมินตราเมื่อสักครู่นี้ เธอคงจะตกใจไม่น้อยที่เห็นเขาในสภาพแบบนั้น
เขายกยิ้มอีกครั้ง ยิ่งเห็นสีหน้าตกใจก็ยิ่งอยากแกล้ง ก็ใครใช้ให้เธอพยายามหลบหน้าเขากันล่ะ...เห็นแค่นี้มันยังน้อยไป เพราะคนต่อไปที่จะมายืนให้เขาบดขยี้ จะต้องเป็นเธอ
ในเมื่อวันนี้เหยื่อชิ้นที่เขารอมาถึงแล้ว ถ้าอย่างนั้นอาหารจานเก่าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
“ไว้เจอกันนะคะ”
“กลับดี ๆ ล่ะ” เขาเอ่ยลาเมื่อมาส่งหญิงสาวที่หน้าห้อง
“จุ๊บนะคะ” ริมฝีปากสีแดงระเรื่อประทับรอยจูบตรงแก้มภาคิณก่อนจะเดินส่ายก้นจากไป
ก็อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงประตูที่ดังขึ้นอย่างหนักสามครั้งทำให้ฉันที่นอนเล่นอยู่บนเตียงถึงกับสะดุ้งอย่างหนัก
“ใครคะ?” ฉันตะโกนถามออกไป แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
“นั่นใครคะ”
เงียบสนิท...ไร้เสียงตอบจากผู้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูห้อง ฉันลังเล กำลังจะอ้าปากถามอีกครั้งแต่คราวนี้กลับเป็นเสียงเคาะประตูที่รุนแรงขึ้นอีก
ปัง ปัง ปัง !!
“ใครคะ...พี่พนักงานเหรอ” ฉันลองตะโกนถามอีกครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบ
เห็นแบบนั้นฉันจึงรีบลุกจากเตียงเพื่อเดินไปเปิดดูว่าใครกันที่มาเคาะเล่น พูดถามย้ำถึงขนาดนั้นแล้วยังไม่ยอมหยุดอีก ถ้าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญจะด่าให้หูชาเลย คอยดูเถอะ!