บทที่ 12 นางบำเรอ
“รีบแต่งตัวซะ” ชายหนุ่มเลือดผสมสั่งเสียงเข้มหลังจากพาหญิงสาวกลับไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นที่บ้าน ก่อนจะย้อนกลับไปดูอาการผู้ให้กำเนิดอีกครั้ง กระทั่งหมดเวลาเยี่ยมจึงพาเธอกลับมายังห้องชุดส่วนตัว วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดมารดาของตน และมาร์ตินตั้งใจจะพาเธอไปด้วย
“คุณจะพาฉันไปไหนอีก?”
“เธอไม่จำเป็นต้องถาม ฉันสั่งให้ทำก็ทำ”
นลินดาส่งค้อนวงใหญ่ให้ชายจอมเผด็จการ แล้วเดินตรงเข้าไปภายในห้องน้ำด้วยอาการกระแทกกระทั้น มาร์ตินมองตามร่างบางไป รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบริเวณมุมปาก เขาวางชุดที่สั่งให้คนเตรียมไว้ให้แล้วออกไปนั่งรออยู่ด้านนอกระเบียง
เวลากว่ายี่สิบนาทีที่ใช้ในห้องน้ำ พอเดินออกมาเห็นชุดแซกสีงาช้างสั้นเหนือเข่าก็หยิบมาพิศดูด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก หากก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจแล้วหยิบชุดดังกล่าวไปเปลี่ยน ด้วยเพราะไม่อยากให้เจ้าของห้องมาต่อว่าได้อีก
ครู่ต่อมาเจ้าของร่างบางก็กลับออกมาด้วยท่าทางเขินอาย ชุดที่ใส่บวกกับทรงผมเกล้ามวยที่เจ้าตัวทำด้วยตัวเอง เผยให้เห็นไหล่กลมกลึง บวกกับวงหน้ารูปไข่รับกันอย่างลงตัวทำเอาคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาถึงกับยืนนิ่งไปชั่วขณะ
“จะไปกันหรือยังคะ” หญิงสาวถามกลบเกลื่อนอาการเขินอาย
“อืม...ไปสิ” คนลืมตัวตื่นจากภวังค์ในทันที แล้วรีบปรับน้ำเสียงตนเองให้เป็นปกติ ไม่ยินดียินร้ายกับหญิงสาวตรงหน้า เขาเดินนำเธอมายังลิฟต์ไปยังลานจอดรถที่มีลูกน้องคนสนิทจอดรออยู่ก่อนแล้ว
“ยืนรอสวรรค์วิมานอะไรของเธอแม่คุณ ถ้าคิดจะให้ฉันเปิดประตูให้ล่ะก็ ฝันไปเถอะนะ” คำพูดของเขาเล่นเอาคนที่ยืนเก้ๆ กังๆ เพราะทำตัวไม่ถูกว่าจะนั่งตรงไหนระหว่างด้านข้างคนขับหรือเข้าไปนั่งเคียงคู่กับผู้ชายปากร้ายอย่างเขาที่เบาะหลัง
“ฉันสั่งให้เธอไปนั่งข้างไอ้เจมส์หรือไง ลงมาเดี๋ยวนี้!” มาร์ตินกระชากเสียงไม่พอใจอีกครั้งที่เห็นหญิงสาวเปิดประตูฝั่งด้านข้างคนขับเข้าไปแทนที่จะมานั่งกับตน เล่นเอาคนทำหน้าที่คนขับสะดุ้งตาม
ไอ้เจมส์ซวยไปด้วยแล้วไง
“แล้วจะให้นั่งตรงไหน ทำไมไม่รู้จักบอกตั้งแต่แรก” นลินดาบ่นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจ ซึ่งริมฝีปากที่ขยับไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้
“บ่นอะไร?”
“เปล่าค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธแล้วหันหน้าหนีไปทางกระจกอีกฝั่ง
“อย่าให้จับได้นะว่าแอบนินทาฉัน ไม่อย่างนั้นเธอโดนหนักกว่านี้แน่” คนอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยคาดโทษ ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องคนสนิทเดินทางไปยังงานเลี้ยงวันนี้
ภายในงานเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากหน้าหลายตา โดยเฉพาะคนในแวดวงธุรกิจและสังคมไฮโซ มาร์ตินพาหญิงสาวข้างกายตรงเข้าไปหามารดา ซึ่งอาการของท่านก็ดูประหลาดใจไม่น้อย ซึ่งมองอายุแล้วเจ้าตัวน่าจะอ่อนวัยกว่าบุตรชาย
“มัมครับ...นี่นลินดาลูกสาวของพัตพงษ์ กฤชยภัคร” มาร์ตินเน้นชื่อและนามสกุลบิดาของเจ้าตัวราวกับต้องการย้ำให้มารดาได้รับรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของคนทรยศ คุณหญิงมนสิชามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา ภาพที่ผู้เป็นสามีต้องทนทุกข์เพระถูกอดีตคนไว้ใจหักหลัง ภาพที่นางกับลูกชายเกือบต้องตกระกำลำบากยิ่งตอกย้ำความรู้สึกเกลียดชังหญิงสาวตรงหน้าเมื่อรู้ว่าเธอคือลูกสาวของคนที่ทำให้สามีตนต้องจบชีวิตลง
“ดูท่าทางจะร้ายไม่แพ้พ่อเธอเลยนะ” หญิงสูงวัยเชิดหน้าขึ้นอย่างถือตัว แสดงอาการไม่พอใจชัดเจนจนคนมองรู้สึกแย่ไม่น้อย
“พ่อลูกกันคงไม่ต่างกันหรอกครับ” ยิ่งคนข้างๆ พูดจาเหมือนเห็นดีเห็นงามไปกับมารดา นลินดาก็พยายามข่มใจ กำมือไว้แน่น เขาตั้งใจพาเธอมาดูถูกกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“บรรยากาศตรงนี้ท่าจะไม่ดีแล้ว แม่ขอไปคุยกับคุณวิไลทางนู้นนะ”
“ครับ” มาร์ตินพยักหน้ารับคำมารดา พอลับหลังท่านก็หันกลับมามองร่างบางที่ยินอยู่ข้างกาย พอดีกับที่เสียงเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าดังขึ้น พอเห็นว่าเจ้าของเบอร์ที่โทรมาเป็นใครก็หันกลับมากำชับเธออีกครั้ง
“ยืนรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันมา”
นลินดายืนเพียงลำพังแล้วมองไปรอบๆ งานด้วยท่าทางท้อแท้ ที่นี่ไม่มีใครต้อนรับเธอสักคน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่ยอมตามมาด้วยทำไม หญิงสาวคิดก่อนจะเดินไปหาที่นั่งบริเวณไม่ไกลจากตรงนั้น
“เฮ้ย...ไอ้มาร์ค นี่ใจคอมึงไม่คิดจะชวนกูสักคำเลยสินะ ถ้าไม่รู้จากปากแม่มึง” คนมีตำแหน่งเป็นเพื่อนสนิทต่อว่าทันทีที่หลังจากอีกฝ่ายรับโทรศัพท์และเดินออกมารับบริเวณด้านนอกงาน
“โทษทีว่ะ ทำงอนไปได้นะมึง” มาร์ตินส่ายหน้าขำๆ กับท่าทางงอนเป็นผู้หญิงเนื่องจากเขาไม่ได้เอ่ยปากชวนมางานในวันนี้
“เออ...แล้วไหนวะลูกสาวของคนที่มึงบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนา” คริสถามพลางมองหาราวกับคนอยากรู้เสียเต็มประดา
“ถ้ามึงอยากรู้จัก เดี๋ยวกูพาไป” มาร์ตินบอกด้วยน้ำเสียงราวกับประชดประชัน
“มึงพูดจาเหมือนหมาหวงก้างยังไงยังงั้นเลยนะไอ้มาร์ค” อีกฝ่ายแซวเมื่อเห็นอาการของเพื่อน แบบนี้สงสัยจะหลงรักลูกสาวศัตรูเข้าสักวัน ไอ้คริสคอนเฟิร์ม
“มึงว่าใครหมา เดี๋ยวปากมึงจะมีสีนะไอ้คริส” มาร์ตินชี้หน้าเพื่อนรักที่ทำตัวรู้ดีเกินกว่าเหตุ ก่อนจะเดินนำเพื่อนสนิทเข้ามาในงาน พอมองเห็นเจ้าของร่างบางที่กำลังตามหาก็ตรงเข้าไปนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน
“นลินดา นี่ไอ้คริสเพื่อนฉัน”
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณนลินดา” คริสเป็นฝ่ายทักทายหญิงสาวตรงหน้าก่อน
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณคริส” นลินดาทักทายกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกันเมื่อเห็นท่าทางเป็นมิตรของอีกฝ่าย
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังยืนคุยกันอยู่นั้น หญิงสาวร่างระหงในชุดราตรียาวสีแดงเพลิงขับกับผิวขาวนวลเนียนเดินตรงเข้ามายังบริเวณดังกล่าว จวบจนกระทั่งเจ้าตัวเดินมาในระยะใกล้แล้วเห็นว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้กับคู่ควงหนุ่มของตนเป็นใคร เธอก็เปิดฉากวีนใส่เขาทันที
“มาร์คคะ...นี่มันอะไรกัน คุณพามันมาที่นี่ได้ยังไง” เจ้าของร่างสูงใหญ่หันมามองเจ้าของเสียงที่กำลังโวยวายด้วยท่าทางไม่ชอบใจนัก แต่เขากลับมีความคิดที่สนุกกว่านั้น
“ก็แค่นางบำเรอชั่วคราวที่อยากจะขอมาด้วยเท่านั้น”
“คุณโกหก” นลินดามองคนใจร้ายด้วยแววตาผิดหวัง เขากล่าวหาเธอ มิหนำซ้ำสรรพนามที่ใช้เรียกยิ่งทำให้เธออยากจะออกไปจากตรงนี้ให้พ้นๆ
“ฉันโกหกอะไร เธอเป็นคนบอกเองว่าให้ฉันพามาด้วย” เขาปั้นเรื่องราวอย่างไม่สะทกสะท้าน แสดงละครเก่งจนเธอแทบอยากจะมอบรางวัลตุ๊กตาทองให้ เขายังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่หรือเปล่าถึงทำแบบนี้กับเธอได้
“อีนังหน้าด้าน” อลิสตะโกนเสียงดังราวกับต้องการประกาศให้คนอื่นๆ ในงานรับรู้ด้วยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแค่นางบำเรอของคู่ควงเธอ
“ก่อนที่คุณจะว่าฉัน ถามคนรักของคุณก่อนไหมคะ” คนถูกกล่าวหาตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตากลมทอดมองไปยังชายหนุ่มอีกคนด้วยอาการน้อยใจ เสียใจ แค้นใจ และผิดหวังที่เขาทำให้เธอกลายเป็นฝ่ายร้องขอมากับเขาเอง
“แกก็แค่เด็กเมื่อวานซืน อย่ามาคิดเทียบกับฉัน” นางแบบสาวบอกเสียงลอดไรฟัน
“ทำไมคุณไม่บอกคนรักของคุณบ้างล่ะ ว่าอย่ามายุ่งกับฉัน”
“ปากเก่งนักนะ ฉันจะสั่งสอนให้แกรู้จักคนอย่างฉันมากกว่านี้”
เพี๊ยะ! สิ้นเสียงนั้นฝ่ามือเรียวก็กระทบเข้ากับพวงแก้มเนียนของอีกฝ่ายเต็มแรง ส่งผลให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกลับล้มลงไปกองกับพื้น ส่วนแขกในงานก็ได้แต่เงียบกริบและจ้องมองมายังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะซุบซิบกันด้วยท่าทางสนอกสนใจ แววตาตัดพ้อน้อยใจถูกส่งไปยังร่างสูงใหญ่ ทั้งที่เธอเป็นฝ่ายถูกกระทำและสาเหตุก็มาจากเขา ทว่าทำไมเธอต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย หญิงสาวคิดและเริ่มไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเอง
“สงสัยต้องโดนอีกที จะได้หัดจำใส่สมองไว้ว่านี่ผู้ชายของฉัน”
“หยุดได้แล้ว” คริสเป็นฝ่ายตรงเข้ามาห้ามทัพด้วยความสงสารผู้ถูกกระทำจับใจ เขารู้สึกว่าเพื่อนกำลังทำเกินไป นอกจากไม่คิดจะห้ามแล้ว ยังยืนมองด้วยสายตาราวกับพอใจลึกๆ
“ปล่อยฉัน ไม่ต้องมายุ่ง!” อลิสสะบัดมือจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายด้วยท่าทางขยะแขยง
“มาร์คต้องอธิบายให้อลิสฟังว่าไปพานังเด็กนี่มาทำไม”
“ไว้วันหลังแล้วกัน คุณกลับไปก่อนอลิส” มาร์ตินตัดบท เริ่มไม่พอใจที่เธอทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอีกครั้ง
“ไม่ค่ะ อลิสต้องการคำตอบตอนนี้และเดี๋ยวนี้”
“ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่านะคุณ ไอ้มาร์ค....มึงพาคุณนลินดากลับไปก่อน” คริสหันไปสั่งเพื่อนเมื่อเห็นว่าเรื่องราวกำลังจะบานปลาย ซึ่งมาร์ตินก็ยอมทำตามเพราะเห็นว่าทุกอย่างกำลังจะมากเกินกว่าที่ตั้งใจ ความจริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคู่ควงของตนจะกล้ามางานวันนี้
“ฝากด้วยนะไอ้คริส” มาร์ตินบอกเพื่อนในที่สุดและจับจูงร่างบางให้เดินตามไป ไม่ได้ใส่ใจเสียงเรียกที่ดังตามหลัง และเธอก็มีเพื่อนสนิทของเขาคอยกันเอาไว้
“แกมาขวางฉันทำไม...ฮะ!” เจ้าตัวแสดงอาการโวยวายใส่ด้วยความโมโหและเจ็บใจ ที่เห็นคู่ควงหนุ่มหักหน้าตนด้วยการพาผู้หญิงอีกคนออกไป
“จะตามมันไปทำไม ก็เห็นอยู่ว่ามันยังไม่อยากคุยกับคุณ”
“แต่ฉันเป็นแฟนมาร์ค”
“มันเคยบอกงั้นเหรอว่าคุณเป็นแฟนมัน” คริสถามเสียงกลั้วหัวเราะ ส่งผลให้คนถูกมองว่ามโนตวัดสายตาใส่
“นี่! แกกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉัน”
“ผมมีชื่อครับคุณ ชื่อคริสเป็นเพื่อนสนิทของไอ้มาร์ค” หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกันแนะนำตัวเพราะรู้ดีว่าเธอยังไม่รู้จักเขา เนื่องจากเจ้าตัวเพิ่งกลับมาเมืองไทยได้ไม่กี่วัน และก่อนหน้านี้เธอเองก็ไม่ใช่คู่ควงเพื่อนที่ตนเคยเห็น เดาว่ามันคงเพิ่งมาเจอที่นี่
“จะชื่ออะไรก็เรื่องของแก ฉันไม่อยากรู้จัก”
“พูดดีๆ สิครับคุณ อีกอย่างนะคุณเองก็น่าจะรู้ว่าเวลาไอ้มาร์คมันโมโห ใครก็เข้าหน้าไม่ติด” คริสเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดี ยิ่งเห็นท่าทางพยศของเธอก็ยิ่งอยากจะแกล้ง
“หลีกทาง ฉันจะกลับ”
“เชิญครับคนสวย” ชายหนุ่มผายมือให้อย่างง่ายดาย พร้อมกับมองตามแผ่นหลังบางไปแล้วส่ายหน้าเบาๆ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนจะคว้าผู้หญิงร้ายกาจแบบนี้มาเป็นคู่ควงได้ แต่ท่าทางร้ายๆ แบบนี้แหละมันน่าปราบพยศเสียให้เข็ด
“สะใจคุณแล้วใช่ไหมที่เห็นแฟนตัวเองทำร้ายฉัน” นลินดาเอ่ยขึ้นหลังจากที่นั่งเงียบมานาน มาร์ตินเป็นฝ่ายขับรถออกมาเองแทนการใช้ลูกน้องคนสนิท คันเร่งถูกเหยียบด้วยความเร็วเมื่อได้ยินคำตัดพ้อต่อว่าจากหญิงสาวข้างกาย
“เธอเองก็พูดจายั่วโมโหอลิสเหมือนกันนะ”
“นี่คุณโทษฉันเหรอ?” คนถูกยัดเยียดข้อหาครางออกมาราวกับไม่เชื่อหู
“ฉันพูดตามที่เห็น”
“พูดตามที่เห็น เฮอะ ถ้าคุณเห็นจริงแบบที่ปากพูดคุณคงเป็นผู้ชายตาบอดที่หลงผู้หญิงจนตัดสินคนอื่นแบบนี้” เธอกล่าวอย่างหมดความอดทน ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนผิดและเป็นฝ่ายเริ่มตั้งแต่แรก
“หุบปากของเธอเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ชอบ” ชายหนุ่มตะคอกกลับด้วยความโมโหไม่แพ้กันที่เธอบังอาจมายอกย้อนเขา
“ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน ฉันผิดตรงไหน?”
“เธอไม่มีสิทธิ์ถาม ฉันบอกให้ทำอะไรก็ทำ อย่าลืมว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร” ชายหนุ่มเลือดผสมย้ำถึงสถานภาพของเธออีกครั้ง นลินดาน้อยใจจนก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่ลำคอ
“ลืมไปว่าฉันมันแค่นางบำเรอ ที่ถูกคนใจร้ายใจดำอย่างคุณซื้อมา” สิ้นเสียงของหญิงสาวล้อรถยนต์ก็ถูกเบรกเสียงดังสนั่นจนคนไม่ทันตั้งตัวศีรษะเกือบคะมำไปยังคอนโซลด้านหน้า ดีที่ยังสามารถฝืนตัวเองเอาไว้ทัน
เอี๊ยดดด!
