บท
ตั้งค่า

บทที่ 11 บีบบังคับ

วันนี้นลินดารีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปเยี่ยมมารดาที่โรงพยาบาล เนื่องจากทางโรงพยาบาลมีกำหนดเวลาในการเข้าเยี่ยมสำหรับผู้ป่วยวิกฤต และอีกอย่างตอนบ่ายเธอมีนัดกับเอกภพ หลังจากโทรไปขอให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ช่วยหางานให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับปากและบอกว่าจะพาไปสมัครงานที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งมีเพื่อนสนิททำงานอยู่

“คุณแม่คะ วันนี้นาจะไปสมัครงานใหม่อีกครั้ง คุณแม่เป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะ” หญิงสาวเดินไปกระซิบบอกกับผู้ให้กำเนิดที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง พร้อมกับจับมือของท่านขึ้นมาแนบบริเวณพวงแก้ม ซึ่งคนที่นอนอยู่บนเตียงก็ขยับมือตอบ บ่งบอกให้รับรู้ว่าเข้าใจในสิ่งที่บุตรสาวกำลังสื่อสาร

“คุณแม่!” ปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้นลินดาอดตื่นเต้นไม่ได้ เธอจะไม่มีวันทำให้ท่านต้องผิดหวัง

บ่ายวันนั้นหญิงสาวเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าพร้อมชายหนุ่มรุ่นพี่ ก่อนจะตรงไปยังฝ่ายบุคคลเพื่อยื่นใบสมัคร หลังจากกรอกรายละเอียดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวก็ได้รับคำตอบว่าอีกสองวันจะเป็นฝ่ายติดต่อกลับ

ทว่าทุกความเคลื่อนไหวของเธอไม่เคยรอดพ้นสายตาของมาร์ติน เทอร์เนอร์ไปได้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด เขาเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากลูกน้องคนสนิทว่าลูกหนี้จอมอวดดีกำลังไปสมัครงานใหม่ที่แผนกเครื่องสำอาง มิหนำซ้ำยังเป็นห้างสรรพสินค้าที่ชายหนุ่มมีหุ้นส่วนอยู่ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้นลินดาได้รับโทรศัพท์ในวันต่อมา

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีจ้ะ น้องนลินดาใช่ไหมคะ?”

“อ๋อ...ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึกว่าตนจะได้รับข่าวดี

“พี่โทรมาจากฝ่ายบุคคลของห้างฯ ที่น้องมาสมัครงานไว้เมื่อวานนี้นะจ๊ะ พอดีพี่จะโทรมาบอกว่าน้องได้รับเลือกเข้ามาทำงานแล้วนะ” สิ้นเสียงของคนปลายสาย รอยยิ้มกว้างก็ผุดบนใบหน้าทันที

“จริงเหรอคะ แล้วหนูต้องไปเริ่มงานวันไหนคะ?”

“มาพรุ่งนี้เลยก็ได้จ้ะ ตอนนี้กำลังต้องการคนน่ะ” ปลายสายตอบกลับมาและบอกรายละเอียดให้ฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เนื่องจากเพิ่งได้รับโทรศัพท์มาจากเบื้องบนว่าให้รับหญิงสาวคนนี้เข้ามาทำงานเป็นกรณีพิเศษ

“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

“จ้ะ ถ้ายังไงมาถึงแล้วมาคุยกับพี่ที่ห้องก่อนนะ”

หลังจากวางสายไป นลินดาก็ตรงเข้าไปหอมแก้มมารดาเพื่อเรียกกำลังใจ ก่อนจะหมดเวลาเยี่ยมในวันนี้หญิงสาวก็เดินทางกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวกับงานใหม่ในวันพรุ่งนี้

นลินดาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว ท่อนล่างเป็นกระโปรงทรงเอสั้นสีดำเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย เส้นผมยาวถูกรวบเป็นหางม้าเพื่อความเรียบร้อย เมื่อเดินทางมาถึงที่หมายเจ้าตัวก็รีบตรงไปยังฝ่ายบุคคลทันที

“น้องนลินดาใช่ไหมคะ เชิญเลยค่ะ” พนักงานสาวคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อเห็นร่างของผู้มาใหม่

“สวัสดีค่ะ” เธอกล่าวทักทายผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลพร้อมกระพุ่มมือไหว้ด้วยท่าทางนอบน้อม

“สวัสดีจ้ะ ถ้าพี่จะให้น้องนาเริ่มงานวันนี้เลย เราคงไม่ขัดข้องอะไรใช่ไหมจ๊ะ”

“ได้ค่ะ”

“งั้นดีเลย วันนี้พี่จะพาไปฝึกเช็กสต็อกสินค้าก่อนนะ เดี๋ยวก้อยพาน้องไปหน่อยนะ” หัวหน้าแผนกหันไปสั่งลูกน้องอีกคนซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลกัน

“พี่ชื่อก้อยนะจ๊ะ ส่วนงานที่พี่จะให้ทำก็ไม่มีอะไรมาก น้องนาแค่นำใบสินค้ามาเช็กสินค้าที่อยู่ในสต๊อกว่าครบหรือเปล่า จำไว้ให้ขึ้นใจเลยนะว่าห้ามหายแม้แต่ชิ้นเดียว” อีกฝ่ายกำชับหลังจากอธิบายรายละเอียดต่างๆ ของการทำงานแทบจะครบทุกอย่างแล้ว

“ค่ะพี่ก้อย” หญิงสาวรับคำหนักแน่น คิดว่าจะตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุด ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยความตั้งใจ โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องเธอผ่านบริเวณหน้าจอของกล้องวงจรปิดซึ่งอยู่ภายในห้องทำงานของตน

“เดี๋ยวเธอจะได้รู้จักคนอย่างฉันดีกว่านี้” มาร์ตินพูดพร้อมกับผุดรอยยิ้มหยันบริเวณมุมปาก เขาจะทำให้เธอได้รู้ว่าการปฏิเสธคนอย่างมาร์ตินจะได้รับผลกระทบอย่างไร

หลังเวลาเลิกงานนลินดารีบเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมอาการของมารดาทันที ตอนนี้เธอได้งานทำแล้วก็กลัวว่าเวลาที่จะคอยดูแลท่านจะน้อยลงเนื่องจากกำหนดเวลาเข้าเยี่ยมมีแค่วันละสองรอบเท่านั้น

เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวเดินทางไปทำงานตามปกติ เพราะแผนกที่ตนเพิ่งเริ่มเรียนรู้ต้องเข้าทำงานในช่วงเช้า ไม่เหมือนกับแผนกเครื่องสำอางที่ได้กรอกใบสมัครลงไปในตอนแรกที่สามารถเข้าทำงานในเวลาห้างฯ เปิดได้

“น้องนามาพอดีเลย พี่ก้อยเรียกไปพบน่ะจ้ะ” พนักงานสาวที่ทำงานในแผนกเดียวกันเอ่ยบอก ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อโดยที่ไม่พูดอะไรอีก นลินดากล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปยังโต๊ะทำงานของบุคคลที่เรียกพบตน

“พี่ก้อยเรียกหานาใช่ไหมคะ?”

“จ้ะ พอดีว่าพี่มีเรื่องจะคุยด้วย”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถาม คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ

“เมื่อวานที่พี่ให้นาเช็กสินค้าในสต๊อกน่ะ เราดูดีแล้วใช่หรือเปล่าจ๊ะ ตอนที่พี่ตรวจดูใบสินค้าที่เราเขียนมากับสินค้าที่อยู่ในสต๊อกทำไมมันไม่ตรงกันล่ะ” คำพูดของคนตรงหน้าทำเอาคนฟังอึ้งไปชั่วขณะ เธอเชื่อว่าต้องมีการเข้าใจกันผิดแน่ๆ

“พี่ก้อยคะ แต่นาก็ตรวจดีแล้วนะคะ เป็นไปได้ไหมคะที่อาจจะมีอะไรผิดพลาด”

“น้องนาจ๊ะ...ทุกอย่างที่เราทำต้องมีขั้นตอนนะ อีกอย่างเราเป็นพนักงานใหม่ พี่ก็ให้ทำตามที่พี่มอบหมาย แล้วพี่ก็ต้องทำการเก็บรายละเอียดจากนาอีกที พี่ทำงานที่นี่มาหลายปี พี่ไม่เคยเช็กอะไรพลาดนะ” อีกฝ่ายยืนยันเช่นกันจนนลินดาถึงกับหน้าเสียไปชั่วครู่

“หมายความว่ายังไงคะพี่ก้อย นาไม่เข้าใจ?” ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาและรับฟังเรื่องราวทั้งหมด เธอก็ถึงกับมึนงงและไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คิดจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า หลังจากที่คนตรงหน้าพูดราวกับว่าเธอกำลังทุจริตอะไรบางอย่าง

“เอาแบบนี้ดีกว่านะ เพื่อไม่ให้ดูใจร้ายเกินไป พี่ลองปรึกษาผู้ใหญ่ถึงกรณีดังกล่าวแล้ว สิ่งที่นาทำมันมีความผิดทางกฎหมาย แต่พี่ก็เห็นแก่น้อง ไม่อยากให้อนาคตของเราต้องมาหมดด้วยเรื่องแบบนี้ ผู้ใหญ่ไม่เอาเรื่องอะไรหรอกจ้ะ แต่ว่า...”

“แต่ว่าอะไรคะ?” แม้จะรู้ชะตากรรมตัวเองหลังจากนี้ดีแต่หญิงสาวก็อดที่จะถามออกไปไม่ได้

“เอ่อ...น้องนาคงไม่ต้องมาทำงานที่นี่แล้วล่ะ”

คำพูดจากปากของพี่ก้อยสร้างความสะเทือนใจให้เธอไม่น้อย ถึงแม้จะไม่มีตรงไหนที่แสดงว่าดูถูกเธอเลยก็ตาม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัดสินเธอในวันนี้ก็ทำเอาน้ำตาแทบจะไหลลงมาด้วยความอดสูในชะตาชีวิตของตน ทำไมอะไรๆ ถึงได้แย่ไปหมด เธอไม่มีแต่โอกาสจะแก้คำกล่าวหา ไม่แม้กระทั่งได้ปริปากว่าตนคือผู้บริสุทธิ์

สิ่งที่นลินดาไม่รู้ก็คือ ผู้ใหญ่ที่ว่าเป็นผู้ถือหุ้นเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งกำลังมองจอมอนิเตอร์ในห้องทำงานกับท่าทางราวกับหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เขายอมรับชนิดไม่อายว่าทุกอย่างคือคำสั่งการของตนเอง ผู้หญิงอย่างเธอไม่ควรค่าที่จะรักษาเกียรติและหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี เขาเชื่อว่าข้อเสนอที่เคยให้ไปจะต้องมีผลบังคับใช้ในเร็ววันนี้แน่นอน

หลังจากถูกสั่ง(บังคับ)ให้เขียนใบลาออก ซึ่งอีกความหมายคือ...เธอถูกไล่ออก เอกภพก็มานั่งรออยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลในตอนเช้าเมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

“นาไม่ต้องห่วงนะ ยังไงพี่จะช่วยนาหางานทำให้ได้” ชายหนุ่มให้กำลังใจ เขาคิดว่าเธอต้องถูกกลั่นแกล้ง เพียงแต่ไม่มีหลักฐานพอจะช่วยอะไรได้

“ขอบคุณนะคะ พี่ภัทรไม่ไปเรียนเหรอคะ เดี๋ยวสายนะ” หญิงสาวเอ่ยเตือนเพราะอีกฝ่ายต้องรีบเดินทางไปมหาวิทยาลัยต่อ

“ครับ เดี๋ยวพี่ค่อยโทรหานะ”

หลังแยกกับชายหนุ่มรุ่นพี่ นลินดาก็เข้าไปเยี่ยมมารดาตามปกติ หากวันนี้แพทย์เจ้าของไข้มาเข้าเวรแต่เช้าและรอพบกับเธออยู่ก่อนแล้ว

“เดี๋ยวหมอขอคุยกับญาติคนไข้อีกครั้งนะครับ” นายแพทย์หนุ่มพูดขึ้นหลังจากเห็นว่าเธอเดินเข้ามา

“ค่ะคุณหมอ”

“ตอนนี้สมองคนไข้บวมมากนะครับ หมอกลัวว่าจะเป็นการไปกดทับเส้นประสาทของคนไข้...” การได้รับรู้เรื่องราวจากปากของคนตรงหน้าทำเอาเจ้าตัวอึ้งไป นอกจากเป็นห่วงอาการของมารดาแล้วเธอยังกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นด้วย แต่ถ้าไม่ตัดสินใจในตอนนี้ก็จะกลายเป็นลูกที่อกกตัญญูไม่เลือกชีวิตแม่ตนเองไว้

“เอ่อ...ค่ะ แล้วเรื่องค่าผ่าตัด”

“คนไข้สามารถจ่ายครึ่งหนึ่งก่อนได้ครับ ส่วนที่เหลือค่อยว่ากันอีกที” แพทย์เจ้าของไข้เสนอทางเลือกด้วยรอยยิ้มจรรยาบรรณในวิชาชีพต้องมาก่อนอะไรทั้งหมด

“ตกลงค่ะคุณหมอ ดิฉันจะเซ็นยินยอมวันนี้เลย ส่วนค่าใช้จ่ายขอเวลาอีกไม่เกินสองวันค่ะ” หญิงสาวตัดสินใจบอกในที่สุด

“ครับ เดี๋ยวหมอจะจัดการทุกอย่างให้อย่างดีที่สุด” นายแพทย์หนุ่มพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะเดินไปดูคนไข้รายอื่นๆ ต่อ

“คุณแม่ขา นามาหาแล้วนะคะ” นลินดาตรงเข้าไปหามารดาที่เตียงก่อนจะก้มลงกอดร่างของท่านเอาไว้ มีเพียงมืออุ่นเท่านั้นที่ขยับ ตอบสนองว่ารับรู้ถึงการมาของบุตรสาวเพียงคนเดียว

“ทำไมครอบครัวเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยคะคุณแม่

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่ามีข้อเสนอดีๆ ให้ มัวแต่หยิ่งในศักดิ์ศรีที่กินไม่ได้ แม่เธออาการเป็นตายเท่ากันนะ” เจ้าของเสียงที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องสร้างความไม่พอใจให้คนฟัง แค่ทำตัวไร้มารยาทบุกรุกเข้ามายังไม่พอ เขายังพูดจาไม่ถนอมน้ำใจใคร

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”

“เธอมันรักแต่ตัวเองน่ะสิ” นอกจากจะไม่ออกไปอย่างที่โดนไล่แล้ว มาร์ตินยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเธอเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง

“คุณไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้กับฉัน” นลินดาแหวกลับเสียงไม่พอใจ

“เธอคงภูมิใจมากที่ได้นอนกอดศักดิ์ศรีแล้วมองดูแม่ตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตา” สิ้นเสียงนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับจ้องเขาไม่วางตา ดวงตากลมฉายแววสับสนและสะเทือนใจไม่น้อยกับคำพูดของคนใจร้ายตรงหน้า

“แต่เอาเถอะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมาวุ่นวายอะไร เพราะจะว่าไปแล้วคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่ใช่แม่ฉันเสียหน่อย” พูดจบเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็เดินออกมาจากห้อง ปล่อยให้อีกคนจมอยู่กับความสับสนของตัวเอง

“เดี๋ยวก่อน” มาร์ตินหยุดเดินกับเสียงเรียกที่ดังตามหลังมาไม่กี่นาที

“ฉันต้องทำอะไรบ้าง” คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มจากมุมปากของมาร์ตินได้เป็นอย่างดี เขาหันหลังกลับมามองใบหน้าสวยที่ยืนกัดฟันแน่น

“เธอแค่ทำให้พอใจในระยะเวลาหนึ่งปี แต่ถ้าวันไหนเธอทำให้ฉันไม่พอใจขึ้นมาและทำเกินข้อตกลงที่ระบุไว้ วันนั้นฉันจะถือว่าข้อตกลงระหว่างเราเป็นโมฆะทันที”

“คุณมันเห็นแก่ตัว เกิดฉันทำให้คุณไม่พอใจตั้งแต่เดือนแรก คุณไม่ยกเลิกสัญญาเลยหรือไง” เธอได้แต่หลงคิดว่าเขาจะยอมช่วยจริงๆ แต่พอได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มเสนอมาก็รู้สึกได้ว่าเขาพร้อมจะเหยียบย่ำเธอทุกครั้งที่มีโอกาส

“มันก็ขึ้นอยู่กับเธอว่าจะทำให้ฉันพอใจได้แค่ไหน” มาร์ตินบอกอย่างไม่สะทกสะท้าน คำพูดของเขาทำเอาคนฟังกำมือแน่นด้วยอารมณ์โมโห แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยเพราะรู้ดีว่าอยู่ในสถานะที่ต้องยอมอีกฝ่าย ยิ่งนึกถึงอาการป่วยของผู้ให้กำเนิดในตอนนี้ก็ทำให้เธอยิ่งต้องอดทนให้มาก

“ก็ได้ ฉันตกลง!”

“ดี กลับไปเอาเสื้อผ้าของเธอมาเดี๋ยวนี้เลย”

“นี่คุณจะบ้าเหรอ อาการแม่ฉันยังไม่ดีขึ้นเลย คุณเองก็เห็น แล้วยังจะให้ฉันทิ้งแม่ตัวเองเก็บเสื้อผ้าไปอยู่กับผู้ชายที่แทบไม่รู้จัก จิตใจคุณทำด้วยอะไร”

“เธอไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง อย่าลืมว่าข้อตกลงทั้งหมดมันเริ่มขึ้นแล้ว” เขาไม่คิดใส่ใจความรู้สึกของเธอและไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรทั้งสิ้น

“ไอ้คนบ้าอำนาจ ไอ้...”

“อย่าปากเก่งกับฉันนลินดา ไม่งั้นฉันจะถือว่าทุกอย่างเป็นอันสิ้นสุด” ชายหนุ่มเลือดผสมชี้หน้าเตือนเสียงเข้ม พยายามบังคับตนเองไม่ให้เสียงดัง เนื่องจากยังเกรงใจญาติผู้ป่วยคนอื่นๆ และไม่ต้องการให้คนนอกมารับรู้เรื่องราวระหว่างเขากับเธอ

“เอาสิ จะพาฉันไปไหนก็เชิญ” หญิงสาวยอมตกลง ในใจเสียใจจนเกินจะบรรยายออกมาได้เป็นคำพูด

“ต่อไปก็จำเอาไว้ด้วยว่าคนอย่างฉันทำได้ทุกอย่าง” มาร์ตินส่งสายตาเป็นเชิงเตือนให้เธอเดินนำหน้าไป โดยเขาคอยเดินตามรั้งท้าย แม้อีกฝ่ายจะแสดงอาการไม่พอใจ เขาก็ไม่คิดจะใส่ใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel