บทที่ 10 เกินจะรับไหว
เช้าวันเสาร์วันหยุดสุดสัปดาห์ นลินดาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ ก่อนจะเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อร่วมโต๊ะกับมารดาในอาหารมื้อเช้าดังเช่นที่ทำเป็นประจำทุกวัน
“คุณแม่ คุณแม่เป็นอะไรคะ?” คำถามมาพร้อมกับฝีเท้าที่แทบจะกระโดดลงมาจากบันไดเมื่อเห็นร่างของมารดานอนฟุบอยู่บริเวณโต๊ะตัวเล็ก
“แม่ปวดหัวจังเลยลูก ปวดมาก” อัญมณีบอกกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงพร้อมกับเอามือกุมศีรษะไว้
“ฮือ...คุณแม่อย่าเป็นอะไรนะคะ” นลินดาร้องไห้โฮออกมาด้วยความตกใจจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก หลังจากเห็นอาการของมารดา บ้านหลังนี้มีเพียงเธอกับมารดาอาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพังสองคน กระนั้นหญิงสาวก็พยายามตั้งสติแล้ววิ่งไปกดโทรศัพท์เพื่อเรียกรถพยาบาลมารับ ระหว่างนั้นก็กลับมาดูอาการของผู้ให้กำเนิดไม่ห่าง
“นานา”
“คุณแม่อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะคะ” หญิงสาวบอกกับมารดา จนกระทั่งรถพยาบาลมาถึงพร้อมกับพยาบาลและบุรุษพยาบาลที่มาช่วยกันเคลื่อนย้ายร่างของมารดาขึ้นไปบริเวณด้านหลังรถ ในขณะที่เจ้าตัวเองก็รีบตามไปนั่งอยู่ข้างๆ ท่านทันที
“เจมส์ ลงไปดูซิว่ารถพยาบาลที่เพิ่งออกไปเมื่อกี้มารับใคร” มาร์ตินมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงสั่งให้ลูกน้องคนสนิทลงไปสอบถามชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้น หลังจากคุยโทรศัพท์กับคนเป็นลูกหนี้เมื่อคืน เขายังรู้สึกค้างคาใจที่เธอกล้าวางหูใส่ อีกอย่างก็อยากมาดูชีวิตความเป็นไปในแต่ละวันของสองแม่ลูกคู่นี้
เจมส์ทำตามคำสั่งของเจ้านาย ก่อนจะเดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“ว่าไง”
“รถพยาบาลเมื่อกี้นี้มารับคุณอัญมณีครับนาย”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไร?”
“เห็นคนข้างบ้านบอกว่าโรคประจำตัวกำเริบครับ”
“ขับรถไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” มาร์ตินสั่งลูกน้องอีกครั้ง ระหว่างทางก็อดคิดไปถึงบิดาผู้ให้กำเนิดของหญิงสาวไม่ได้ เพราะความโลภของคนเป็นพ่อ จนทำให้คนในครอบครัวต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้
บุรุษพยาบาลเข็นรถของหญิงสูงวัยเข้าไปด้านในห้องไอ.ซี.ยู. โดยแพทย์ที่วินิจฉัยอาการเบื้องต้นได้ให้ข้อมูลกับคนเป็นลูกสาวว่ามารดาเธออาการหนัก เป็นตายเท่ากัน ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น นลินดาก็ยิ่งปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร
“รู้สึกแล้วหรือยังว่าเวลาเจ็บปวดเจียนตายมันเป็นยังไง” น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง หญิงสาวหันกลับไปมองทางต้นเสียงก็พบกับเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ ก่อนที่ดวงตากลมจะฉายแววแห่งความไม่พอใจชัดเจน เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดจาตอกย้ำเธอ
“ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับฉัน”
“เธอนี่น่าสมเพชจริงๆ” มาร์ตินแสยะยิ้มบอกอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ
“สะใจคุณแล้วสินะ!” นลินดาแหวใส่ผู้ชายใจร้าย ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
“มากเลยล่ะ” ชายหนุ่มยังคงบอกเสียงเย้ยหยัน ไม่แสดงความรู้สึกสงสารหญิงสาวตรงหน้าออกมาสักนิดเดียว
“ขอคุยกับญาติคนไข้หน่อยครับ” เจ้าของร่างในชุดกาวน์พูดขึ้นหลังเดินออกมาจากห้องไอ.ซี.ยู.
“ค่ะคุณหมอ” หญิงสาวรับคำพร้อมกับเดินตรงเข้าไปหาแพทย์เจ้าของไข้
“ตอนนี้อาการคนไข้อยู่ในขั้นวิกฤติ มีภาวะสมอง บวม หมอต้องทำการผ่าตัด และญาติต้องเซ็นเอกสารยินยอมให้กับทางโรงพยาบาลนะครับ” นายแพทย์หนุ่มอธิบายอาการของผู้ให้กำเนิด ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตายเท่ากัน
“คุณแม่” สิ่งที่ได้ยินทำเอาสมองของนลินดามีแต่ความว่างเปล่า เธอไม่เคยตั้งตัวกับเรื่องนี้มาก่อน
“ถ้ายังไงญาติลองตัดสินใจดูนะครับ” แม้แพทย์ผู้เป็นเจ้าของไข้จะเดินออกไปแล้ว หญิงสาวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จนคนที่ยืนแอบฟังบทสนทนาอยู่ห่างๆ มาสักพักหนึ่งอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ ร่างบางเพื่อเรียกสติ
“การผ่าตัดน่ะ มีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยนะ” ชายหนุ่มเลือดผสมตอกย้ำเข้าไปในหัวใจคนฟัง ทว่านลินดากลับรู้สึกไม่อยากตอบโต้อะไรนอกจากคิดหาทางออก
“ฉันมีข้อเสนอดีๆ จะให้ แต่อยู่ที่เธอว่าจะรับหรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงเงียบเขาจึงพูดต่ออย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“จะมากวนประสาทอะไรฉันอีก” คราวนี้หญิงสาวนิ่วหน้า ถามอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ มารดาเธอกำลังอาการหนัก ทำไมเขาต้องเอาเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรองและบีบบังคับเธอ
“ฉันจะช่วยออกค่ารักษาให้แม่เธอทุกบาททุกสตางค์ แถมจะยกหนี้ที่พ่อเธอก่อไว้ด้วย ถ้าเธอยอม...เอาตัวเองเข้าแลก” มาร์ตินยื่นข้อเสนอที่คนฟังได้ยินแล้วกัดฟันกรอดด้วยความโมโห เขากำลังดูถูกเธออีกแล้ว ใบหน้าหล่อเหลายามมองเธอมันมีแต่ความเหยียดหยามยามที่ได้เห็นเธอตกต่ำถึงขีดสุดจนต้องยอมเอาตัวเข้าแลก นับเป็นหนทางการแก้แค้นที่เขาคิดว่าสะใจเหลือเกิน
“ไม่...ฉันไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด โดยเฉพาะกับผู้ชายอย่างคุณ” นลินดาปฏิเสธเสียงแข็ง มองคนตรงหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“รักศักดิ์ศรีตัวเองน่าดู ก็ตามใจ...ถ้าเธอคิดว่ามีปัญญาหาเงินได้ แต่เมื่อกี้หมอก็พูดแล้วนี่ว่าให้ตัดสินใจเร็วๆ หน่อย” มาร์ตินยกสองแขนขึ้นมาปรบมือแปะๆ สามครั้งเสมือนจะชื่นชมในความรักตัวเองของเธอ แต่เขายังมีวิธีอีกมากที่จะใช้บีบบังคับลูกหนี้ผู้หยิ่งทะนงคนนี้ ข้อเสนอที่จะทำให้เธอดูไร้ค่าในสายตาของเขา
