บทที่ 13 ฉันก็คน
เอี๊ยดดด!
“คุณเบรกทำไม” มาร์ตินไม่ตอบคำถามนั้น แต่ยื่นหน้าเข้ามาหา ก่อนจะบีบปลายคางมนชนิดไม่ปราณี
“อย่าพูดจาประชดประชัน ฉันไม่ชอบ” พูดจบริมฝีปากหยักก็ฉกวูบลงมาบนริมฝีปากเล็กในขณะที่เจ้าตัวไม่ทันตั้งตัว ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ประท้วง จูบที่ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน มีแต่ความรุนแรง โทษฐานบังอาจไปพูดจาไม่เข้าหู
“ปล่อยนะ”
“อย่ามาสั่งฉัน” มาร์ตินพูดอีกครั้งก่อนจะซุกไซ้ใบหน้าลงไปยังซอกคอเนียนนุ่ม โดยที่มืออีกข้างทำหน้าเคล้นคลึงหน้าอกอิ่มอย่างไม่คิดจะปราณี มือหนาอีกข้างเริ่มเปลี่ยนตำแหน่งไปยังบริเวณต้นขานวล ก่อนจะไล่กลับขึ้นมาเรื่อยๆ จนหญิงสาวต้องรีบตะครุบมือปลาหมึกนั่น แต่คนอย่างมาร์ตินก็มีวิธีที่จะทำให้เธอเลิกต่อต้านด้วยการกระชากชุดแซกที่ขวางกั้นกายสาวออกแล้วบดขยี้ลงไปบนปทุมถันสีหวานที่กำลังชูชันท้าทายสายตาราวกับคนหิวกระหาย จนเจ้าของร่างเผลอส่งเสียงครวญครางออกมาด้วยความลืมตัว
“ฉันจะทำให้เธอคลั่งกว่านี้อีกนาน่า” ชายหนุ่มเลือดผสมพูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน ในขณะที่หญิงสาวไม่ทันตั้งใจฟังเนื่องจากตอนนี้เธอกำลังจะคลั่งแบบที่เขาว่าจริงๆ ไฟปรารถนาที่แผดเผาอยู่บนร่างกายทำให้เผลอแอ่นหน้าอกอวบอิ่มให้คนใจร้ายได้ดูดชิมความหวานถนัดถนี่กว่าเดิม
“อา...ได้โปรด” เสียงอ้อนวอนและเสียงครางยิ่งทำให้มาร์ตินเหยียดยิ้มสะใจ พร้อมสอดนิ้วแกร่งเข้าไปยังกลีบกุหลาบที่มีแพนตี้ตัวน้อยขวางกั้นแต่กลับชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำด้วยท่าทางพึงพอใจ
“อ๊ะ! จะ...เจ็บค่ะ” นลินดาส่งเสียงประท้วงอีกครั้งเมื่อกายส่วนล่างถูกรุกราน ยิ่งเมื่อเขาขยับเข้าออกตามจังหวะ ใบหน้าสวยก็เริ่มเหยเกด้วยความรัญจวนกับสิ่งแปลกใหม่ที่เขามอบให้ ส่งผลให้เจ้าตัวเผลอส่งเสียงครางออกมาอีกครั้งกับอารมณ์เสียวซ่านที่ได้รับ
“ขอร้องฉัน” มาร์ตินหยุดการกระทำ ก่อนจะเงยหน้าดวงตากลมโตที่ปรือมาทางตน ถ้าเดาไม่ผิดเขาเห็นสีหน้าขัดใจที่ฉายออกมา ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอยากแกล้งเธอมากกว่าเดิม
“คุณมาร์ติน...ช่วยนาด้วยนะคะ” หญิงสาวยอมส่งเสียงอ้อนวอนอย่างลืมอาย ยิ่งทำให้คนฟังแหงนหน้าหัวเราะชอบใจ ก่อนจะถอนมือออกแล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เธอมันก็ไม่ต่างอะไรจากพ่อของเธอ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทั้งที่ปากบอกว่าเกลียดฉันนักหนา แต่พอฉันมอบความสุขให้หน่อย กลับร้องครวญครางน่าสมเพช” ชายหนุ่มเลือดผสมหาได้สนใจใบหน้าที่ซีดเผือดลงกับวาจาร้ายกาจของเขา ยิ่งเห็นเธอจนตรอกเขาก็ยิ่งรู้สึกสะใจเหลือเกิน
“...”
นลินดาไม่คิดโต้ตอบอะไรกลับไปอีก เพราะรู้ดีว่าถ้าขืนพูดอะไรออกไปในตอนนี้กลับยิ่งทำให้ตัวเองดูแย่ในสายตาของผู้ชายตรงหน้า เธอจึงเลือกที่จะเงียบแล้วจัดเสื้อผ้าบนร่างกายตนเองให้เข้าที่ หลังเห็นหญิงสาวข้างกายไม่พูดอะไรเขาก็ขับรถกลับมายังห้องชุดหรู พอขึ้นมาถึงบนห้องเขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยายามหลบเลี่ยงไปยังห้องนอน มาร์ตินไม่คิดจะตามไปง้อหรือพูดอะไรให้เธอรู้สึกดี เป็นเขาต่างหากอารมณ์ดีที่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองแย่และดูไร้ค่าในสายตาของตน
เช้าอีกของอีกวันนลินดาตื่นขึ้นมาพร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ไม่พบกับเจ้าของห้อง เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับลงได้ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ทั้งถ้อยคำและการกระทำดูถูกของเขา ทำให้นลินดาอดร้องไห้ออกมาไม่ได้ แต่เธอจะไม่มีวันอ่อนแอต่อหน้าเขาเด็ดขาด เธอจะจำให้ขึ้นใจว่าต้องทนอยู่เพื่อมารดาและใช้หนี้แทนบิดาเท่านั้น
หญิงสาวรวบรวมแรงลุกขึ้นอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดสกรีนลายกับกางเกงยีนส์ขาสั้นเหนือเข่าขึ้นมา ด้วยสภาพอากาศของเมืองไทยทำให้เคยชินกับการแต่งตัวแบบนี้ พอเดินออกมาจากห้องก็เห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่พร้อมกับถ้วยกาแฟในมือ
“ฉันอยากไปเยี่ยมคุณแม่”
“ไปเยี่ยมแม่ก็แต่งตัวให้มันเรียบร้อยกว่านี้สิ” เขาออกคำสั่งราวกับเป็นผู้ปกครอง
“คุณจะพาฉันไปใช่ไหมคะ?” เธอถามราวกับไม่เชื่อหู
“ถ้าจะไปก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” เขาไม่ตอบคำถามแต่กลับสั่งอีกครั้งเสียงเข้ม
“ค่ะ” สิ้นเสียงเจ้าของฝีเท้าทั้งสองข้างก็กลับเข้าไปในห้องด้วยอาการกระแทกกระทั้นท่ามกลางดวงตาคมเข้มที่มองตามไปก่อนจะส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นเป็นเด็กๆ ของเธอ
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะเดินมาถึงลานจอดรถยนต์บริเวณชั้นล่าง ทว่าถูกเจ้าของร่างระหงตรงเข้ามาขวางเอาไว้ นลินดามองเห็นแววตาเอาเรื่องของหญิงสาวตรงหน้าก็ได้แต่ถอนใจเพราะรู้ดีว่าคงจะถูกหาเรื่องเอาอีกแน่ๆ
“มาร์ค...นี่มาร์คพามันมาอยู่ที่นี่เหรอคะ” อลิสถามเสียงดังลั่นด้วยความไม่พอใจ
“มีเหตุผลบ้างสิอลิส ผมว่าเราพูดเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้ว”
“คุณให้นังเด็กนี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ใครๆ ก็รู้ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังมองไปยังตัวต้นเหตุด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ผมเคยพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” มาร์ตินคำรามถามเสียงต่ำ เกลียดการแสดงความเป็นเจ้าของที่เธอกำลังทำ
“กรี๊ด...มาร์ค ทำไมพูดแบบนี้” หญิงสาวกรีดร้องออกมาด้วยอาการขัดใจ หากคนตรงหน้ายังยืนนิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความแค้นในอกจนแทบกระอัก
“ผมพูดเรื่องจริง และคุณควรทำความเข้าใจใหม่”
“ก็ได้ ถ้ามาร์คกล้าพูดแบบนี้กับอลิส อลิสจะทำให้มันเผยธาตุแท้ออกมาว่าไม่ได้ใสซื่ออย่างที่เห็น...จำเอาไว้” สิ้นเสียงคนพูดก็หันหลังกลับไป โดยไม่ลืมหันไปจ้องศัตรูหัวใจด้วยแววตาอาฆาต
“สะใจคุณแล้วใช่ไหม ที่ทำให้ผู้หญิงต้องมาทะเลาะกันเพราะตัวเอง” เธอหันกลับมาถามชายหนุ่มที่ทำท่าราวกับไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาเป็นผู้ชายประเภทไหนกันแน่
“ไม่ต้องยุ่งเรื่องของฉัน ทำหน้าที่ของเธอให้ดีก็พอ” มาร์ตินบอกเสียงลอดไรฟันก่อนจะเดินนำไปที่รถ
รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดภายในโรงพยาบาล มาร์ตินเดินตามร่างบางไปยังห้องไอ.ซี.ยู พร้อมกับเปลี่ยนชุดเป็นชุดคลุมเพื่อป้องกันการติดเชื้อ นลินดารีบตรงเข้าไปหามารดาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง บนศีรษะมีผ้าก๊อซสีขาวพันเอาไว้จากการผ่าตัด มือเล็กจับมือของมารดาขึ้นมาแนบแก้มที่อาบไปด้วยน้ำตา สงสารท่านจับใจที่ต้องเผชิญกับอาการป่วยในตอนนี้
“อย่าร้องไห้” เจ้าหนี้หนุ่มปลอบเมื่อเห็นน้ำตาแห่งความเสียใจรินไหล แม้สมองอีกด้านจะสั่งให้สะใจกับสิ่งที่เห็นมากแค่ไหนก็ตาม
“คนอย่างคุณจะเข้าใจอะไร” หญิงสาวตอบทั้งน้ำตา ถ้าไม่คิดจะให้กำลังใจก็ไม่ควรมาซ้ำเติมกันแบบนี้
“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ” มาร์ตินกัดฟันตอบด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ยามนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาเคยประสบมาก่อน เหตุใดจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่ลูกผู้ชายอย่างตนก็ต้องเข้มแข็งเพราะยังมีผู้หญิงอีกคนที่เสียใจยิ่งกว่า ภาพที่มารดากินไม่ได้นอนไม่หลับ เอาแต่ร้องไห้กับการจากไปของผู้เป็นสามี
“ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากเจ็บแทนคุณแม่ อยากนอนอยู่บนเตียงนั้นแทนท่านด้วยซ้ำ” พูดจบนลินดาก็ร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ความเจ็บปวดของเขากลับมาเช่นกันเมื่อตอนเห็นบิดาตัวเองนอนอยู่บนเตียงไม่ต่างจากมารดาของเธอในตอนนี้
“เธอควรจะยอมรับความจริงแล้วเลิกฟูมฟายสักที คิดว่าแม่เธอจะลุกขึ้นมาหรือไงที่เห็นลูกสาวตัวเองร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบนี้” ชายหนุ่มบอกราวกับไม่คิดจะใส่ใจความรู้สึกของคนฟังสักนิด ยิ่งทำให้นลินดาเข้าใจว่าเขาเกลียดครอบครัวเธอและไม่คิดจะให้อภัย หารู้ไม่ว่าลึกๆ แล้วมาร์ตินอดสงสารเธอไม่ได้ แต่ยังพยายามสร้างกำแพงแห่งความแค้นเอาไว้
หลังกลับมาจากโรงพยาบาล มาร์ตินเดินทางมายังบริษัทของตนเพื่อเซ็นเอกสารต่างๆ ที่ค้างเอาไว้ พนักงานในบริษัทต่างก็ให้ความสนใจหญิงสาวที่ประธานบริหารควงมาด้วย เนื่องจากเมื่ออาทิตย์ก่อนหลายคนจำได้ว่าคือนางแบบสาวจอมวีน
“นั่งรอฉันตรงนี้ เสร็จแล้วจะพาไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ ชุดที่ดูเป็นเด็กกะโปโลของเธอเตรียมโละทิ้งไปได้เลย” ชายหนุ่มสั่ง อะไรที่เธอทำแล้วขัดใจเขายิ่งอยากจะให้ทำ ให้มันรู้ไปว่าจะบังคับไม่ได้
ด้านนลินดานับตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลก็เอาแต่นั่งเงียบ เนื่องจากนึกถึงภาพที่มารดานอนอยู่บนเตียง เธอไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำกับเขาอย่างเคย ได้แต่ทรุดกายลงนั่งตามคำสั่งของคนเผด็จการ
“เป็นอะไร ลืมปากไว้ที่โรงพยาบาลรึไง?” เพราะไม่ชอบปฏิกิริยาเซื่องซึมของเจ้าหล่อน ทำให้ต้องพูดจากระทบจนคราวนี้เธออดไม่ได้ที่จะหันมาโต้ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนจัดและส่งค้อนไปให้เป็นของแถม
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด”
“พอเปิดปากได้ก็พูดจาไม่เข้าหูเลยนะ หัดพูดให้มันไพเราะอ่อนหวานหน่อย ลืมไปแล้วเหรอว่าเธออยู่ในฐานะอะไร”
“ฉันไม่เคยลืม ฉันก็เป็นนางบำเรอชั่วคราวของคุณไง คุณย้ำให้ฟังหลายรอบแล้วนี่คะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงขมขื่นราวกับต้องการเย้ยหยันตัวเองไปด้วย
“ไม่ลืมก็ดี ต่อไปจะได้ไม่ต้องมานั่งเรียกร้องอะไรให้น่ารำคาญ!” มาร์ตินพูดพลางมองคนตรงหน้าด้วยแววตาสมเพช ซึ่งเธอมองเห็นและชะงักไปกับสายตานั้น
“ฉันไม่เคยคิดจะเรียกร้องอะไรจากคุณ” นลินดาโต้กลับไปอีกครั้งก่อนจะสะบัดหน้าหนี ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกเจ็บปวดและน้อยใจกับคำพูดของผู้ชายอย่างเขา ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการกดเธอให้ตกต่ำอยู่ตลอดเวลา
“ฮึ...แล้วจะคอยดู”
