บทที่ 5
ภายในรถม้ามีหยางเหวินนั่งบนตั่งในสุด คั่นกลางด้วยโต๊ะวางของตรงกลาง ส่วนนางนั่งตรงข้ามกับเขา อยู่ค่อนออกไปทางหน้าประตูรถ หลังจากเดินออกมาจากหอสรรพสิ่งแล้ว ในหัวนางตอนนี้ยังคิดแต่เรื่องที่หยางเหวินคุยกับช่างอินหรือเจ้าของหน้ากากดำนั่นอยู่ไม่ขาด
…นางอยากรู้ว่าเหตุใดหยางเหวินถึงไม่ทำสัญญาการค้ากับหอสรรพสิ่งทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องดีที่มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อโดยไม่ต้องเสียกำลังคนเพื่อทำการเสนอขาย และอยากรู้อีกว่าทำไมดูเหมือนหยางเหวินจะไม่ถูกกับเจ้าของหอสรรพสิ่งเลย
ความสงสัยทั้งหมดนี้ของนางทำให้หญิงสาวเอาแต่จ้องหน้าหยางเหวินจนเจ้าตัวรู้สึกได้ว่าบ่าวรับใช้หญิงตรงหน้าคนนี้ดูเหมือนจะกังวลมากกว่าเขาผู้เป็นเจ้าของเสียอีก เพราะจากคิ้วที่ขมวดยุ่ง ไหนจะท่าทางเหม่อมองมานั่นอีก
“เจ้ากำลังคิดเรื่องที่ข้าคุยเมื่อครู่อยู่รึ?”
เสียงของชายหนุ่มทำเอาซูเมิ่งสะดุ้งหลุดจากอาการเหม่อลอย
“อ่อ ใช่เจ้าค่ะ เอ่อ บ่าวขอบังอาจนะเจ้าคะ ที่บ่าวได้ยินวันนี้จะไม่บอกใครทั้งสิ้น”
นางรีบลนลานตอบเพราะกลัวเจ้านายจะตำหนิ เเต่พอเห็นหน้าหยางเหวินที่บ่งบอกว่าเข้าไม่ได้กะเอาความนาง ก็เป่าปากโล่งอก
“แต่ข้าน้อยแอบสงสัยนิดนึงว่าทำไมคุณชายไม่ตกลงทำสัญญาซื้อขายกับหอสรรพสิ่งเจ้าคะ หรือว่าคุณชายมีคู่ค้าอยู่แล้ว?”
“คู่ค้า?”
“หมายถึงคนที่คุณชายจะขายโอสถเสริมกำลังภายในน่ะเจ้าค่ะ”
…ไม่รู้ว่ายุคนี้เขาใช้คำว่าอะไรนางจึงเผลอใช้คำยุคของนางชาติที่แล้ว
“ยังไม่มีหรอกแต่หากต้องการก็หาได้ไม่ยาก แต่หากข้าเลี่ยงได้ก็ไม่ต้องการทำการค้ากับหอสรรพสิ่ง คนอย่างเจ้าของหอสรรพสิ่งไม่ค่อยมีใครอยากทำการค้าด้วยนักหรอก”
พอหยางเหวินเห็นซูเมิ่งยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมก็รู้ว่านางยังไม่เข้าใจคำพูดเขา
“เขาจะไม่ทำการค้าหากสิ่งนั้นเขาไม่ได้กำไร และข้าก็คิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องทำการค้ากับคนที่ไม่จริงใจ ใครคือตัวตนภายใต้หน้ากากไม่มีใครรู้” พอเขาพูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงก็ดุดันขึ้น
อันที่จริงครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เขาได้พบปะคุณชายช่างอินเจ้าของหอสรรพสิ่ง ทุกคราที่ทางหอโอสถตระกูลเย่ทำการค้ากับทางหอสรรพสิ่งส่วนใหญ่จะคุยผ่านทางเถ้าแก่ประจำสาขาเมืองซีเปียน ทว่าครั้งนี้เจ้าตัวมาคุยเองดูท่าเขาจะให้ความสำคัญกับโอสถเสริมกำลังภายในมาก
…หากเขาคาดการไม่ผิด ช่างอินต้องไม่หยุดเพียงเท่านี้เป็นแน่ ที่ยอมปล่อยเขาออกมาคงเป็นกลยุทธิ์ถอยเพื่อรุกหรือกลยุทธิ์อะไรสักอย่าง
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ว่าแต่ตอนนี้เรากำลังจะไปที่ไหนหรือเจ้าคะ?"
ซูเมิ่งเลิกม่านขึ้นดูข้างทางที่รถม้าผ่านเห็นว่าไม่ใช่ทางกลับจวนจึงเอ่ยถาม ข้างทางเปลี่ยนจากบรรยากาศครึกครื้นของตลาดเป็นทุ่งนา ผู้คนแถวนี้เดินกันน้อยมาก เท่าที่ซูเมิ่งเปิดม่านดูเห็นคนเดินรวมแล้วเพียงสองคนเห็นจะได้
“ข้าต้องไปจัดการงานที่หอโอสถก่อน”
หยางเหวินเลิกม่านดูบ้างเห็นว่าเส้นทางอีกยาวไกล รถม้าเพิ่งออกจากประตูเมืองมาไม่นาน
หอโอสถที่เขากล่าวถึงอยู่ไกลจากตัวเมืองซีเปียนไปทางทิศตะวันออกใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบสองเค่อ นอกจากตระกูลเย่จะมีโรงหมอที่ตั้งในตัวเมืองซีเปียนและสาขาใหญ่อยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ยังมีหอทำยา ไร่สมุนไพร ซึ่งก็คือสถานที่เขากำลังมุ่งไป นานทีเขาจะมาจัดการความเรียบร้อยเพราะหอโอสถนั้นต้องออกมานอกเมือง ระหว่างทางค่อนข้างเปลี่ยวจะมาทีเขาต้องนำองครักษ์มาจำนวนมากกว่าปกติ ส่วนใหญ่เขาจะดูเเลผ่านบัญชีที่ส่งไปที่จวนมากกว่า แต่วันนี้มีเรื่องที่รอไม่ได้จึงรีบออกมาหลังจากจบงานประมูล
ฮี้ ฮี้
รถม้าหยุดเคลื่อนที่
“คุณชายใหญ่เย่ ข้างหน้ามีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางทางขอรับ”
เสียงชิงซาที่นั่งข้างคนขับม้าหน้ารถดังขึ้น หยางเหวินจึงเอื้อมมือเลิกม่านขึ้นมองรอบข้างซึ่งไร้ผู้คน สีหน้าแฝงความกังวล
“อีกไกลหรือไม่จากที่นี่ถึงหอโอสถ”
“ต้องเดินทางอีกหนึ่งเค่อได้ขอรับ”
ซึ่งก็คือพึ่งเดินทางได้ห้าในสิบส่วนเอง วันก่อนหน้าไม่มีพายุไม่น่ามีต้นไม้ล้มขวางทางเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีโจรร้ายบุกซุ่มอยู่แถวนี้
…หากเป็นแค่โจรปล้นทรัพย์ทั่วไปยังดีหน่อย แต่ถ้าเป็นกองกำลังของคนไม่หวังดีพวกเขาแย่แน่ เพราะหยางเหวินรู้ว่าการประมูลครั้งนี้อาจสร้างปัญหาให้ตนแต่ไม่คิดว่าพวกนั้นจะลงมือเร็วเพียงนี้
“งั้นให้ข้าไปดูไหมขอรับ?”
บ่าวผู้ชายที่มาด้วยเอ่ย เขานั่งมากับรถม้าอีกข้างของคนขับ
“ไม่ต้อง! ชิงซาเจ้านำม้าวิ่งย้อนกลับไปขอความช่วยเหลือก่อน ส่วนเจ้าหมุนหัวม้ากลับเสีย!”
หยางเหวินรีบสั่งน้ำเสียงแฝงความดุดัน ทันใดนั้นลูกธนูไม่ทราบที่มาพุ่งตรงลอดผ่านหน้าต่างรถม้าตรงเข้าปักตำแหน่งหัวใจชายหนุ่มชุดขาวนวลทันที
“คุณชายระวัง!!!”
เท้าบางที่สวมรองเท้าสีขาวซีดถูกยกขึ้นถีบกระเเทกอกจนร่างสูงในชุดขาวนวลหลุดพ้นวิถีลูกธนูอย่างเฉียดฉิวไปปักผนังรถม้าเเทน แต่ไม่วายถากไหล่ซ้ายจนเลือดกระฉูด
“ชิงซา!!! รีบไป”
สิ้นเสียง ชิงซาก็ดึงดาบออกจากฝักฟันไปเชือกที่คล้องตัวม้าจนขาดสะบั้น ความลังเลตอนเเรกที่กลัวเจ้านายจะเป็นอันตรายมลายหายไป ตอนนี้หากเขายังอยู่พวกเขาทั้งหมดคงไม่มีใครรอด เขาจึงตัดสินใจทำตามที่เจ้านายบอก ใช้แส้ตี เจ้าม้าขนเงาวิ่งพุ่งกลับไปทิศเดิมทันที
“คุณชายไม่เป็นอะไรหรือไม่?”
ตอนนี้นางไม่สนธรรมเนียมยุคโบราณที่ชายหญิงไม่ควรใกล้กันแล้ว ซูเมิ่งพุ่งตัวไปยังหยางเหวิน สีหน้าของเขาดูซีดกว่าปรกติ นางก้มหน้ามองไหล่ขวาของเขา เเขนเสื้อขาดมีรอยเลือดซึมเล็กน้อย
…แต่ที่แย่คือ! เลือดเป็นสีดำ!!!
“ลูกธนูมีพิษ! คุณชายมียาเเก้พกมาบ้างหรือไม่”
นางพูดพลางใช้มือฉีกแขนเสื้อขวาจนขาดวิ่น ใช้แขนเสื้อรองเเผลก่อนวางมือกดบาดเเผลข้ามเลือด
“มะ มี...”
หยางเหวินเริ่มหายใจหอบหนักมือล้วงเข้าไปหยิบยาออกมาชุดหนึ่งจากอกเสื้อก่อนนำเม็ดยาถอนพิษเข้าปาก
ตอนนี้ข้างนอกเริ่มต่อสู้โรมรันกันแล้ว ด้วยความที่ฝ่ายหยางเหวินนำบ่าวมาแค่สามคนมีหรือจะสู้โจรปิดหน้าในชุดดำนับสิบคนได้ เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อบ่าวทั้งสามถูกเหล่าโจรชุดดำฆ่าเรียบร้อยแล้ว
“ลงมาเสียดี หากไม่อยากตาย!!!”
เสียงแหบทุ้มตะคอกพร้อมใช้สันดาบในมือกระทุ้งรถม้าทำเอาซูเมิ่งกระดุ้งตัวโยน
“หากเจ้าหนีได้ก็หนีไปเถอะ ไปต้องรอข้า"
หยางเหวินเอ่ยเสียงอ่อนเเรง “พิษนี้ได้รับการถอนแล้วแต่มันมีส่วนผสมของยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงด้วย ข้าจับดาบไม่ไหว”
“ได้ยินหรือไม่!! ลงมา!!!”
ซูเมิ่งเหลือบตามองลอดผ่านม่านหน้าต่างออกไปจึงเห็นว่าพวกมันล้อมรถม้าไว้หมดแล้ว อีกหน่อยต้องเข้ามาลากทั้งสองลงไปแน่
“คุณชายมีอาวุธ หรือยาอะไรบ้างในตัวตอนนี้”
หยางเหวินจ้องสตรีตรงหน้า นางดูสงบนิ่งเมื่อเผชิญสถานการณ์ตรงหน้าราวกับแม่ทัพที่เจนจัดยามปะทะศัตรู ไม่เหมือนบ่าวรับใช้เลยสักนิด แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสงสัยเขาเอื้อมมือลงข้างเอวปลดกริชด้ามดำออกมาส่งให้ซูเมิ่ง
นางรับไปแต่เเค่นี้ยังไม่พอ ตอนนี้หากนางพุ่งออกไปปะทะตรง ๆกับโจรราวสิบคนคงยากชนะ ทั้งยังไม่รู้อีกด้วยว่าพวกมันมีฝีมือแค่ไหน หรือมีวรยุทธ์หรือไม่
…เเต่ที่แน่ ๆนางไม่มีทั้งวรยุทธ์และวิชาตัวเบา นางจึงต้องพยายามหาตัวช่วยอื่น
“ละคุณชายมียาอะไรบ้าง ยาพิษมีไหม!?”
“วันนี้ข้าไม่ได้นำมา!”
เขานึกเสียใจภายหลัง ทั้งที่ปกติเขามักพกพวกพิษไว้ป้องกันตัวแท้ ๆ
“ยาสลบใช้ได้ไหม!?”
“ได้ เอามา!”
สายตาคมกริบของซูเมิ่งทำเอาหยางเหวินถึงกับรู้สึกเย็นเยือก เขาล้วงยาสลบออกมาให้นางแต่คิ้วขมวดมุ่น
“เจ้าเอาไปทำอันใด วางยาสลบ?”
นางยกยิ้มราวนางมารร้าย “ใช่ เดี๋ยวข้าจะพยุงท่านลงไปนะ จากนั้นที่เหลือข้าจัดการเอง ตอนนี้ท่านพอบังคับม้าไหวไหม?”
นางจ้องตาเขาถามอย่างรีบร้อน
“พอไหว”
ซูเมิ่งเลิกม่านประตูก้าวออกไปนอกรถ รอบนอกมีชายโพกผ้าปิดหน้าราวเจ็ดคนบาดเจ็บหนึ่งคนส่วนศพบ่าวรับใช้ทั้งสามถูกนำไปกองรวมกันไว้ข้างทาง ในเจ็ดคนนี้มีมือธนูหนึ่งนอกนั้นล้วนถือดาบ ตรงบริเวณหน้าประตูมีชายร่างกำยำสูงโปร่งสามคนชี้ดาบมาทางประตูรถ
พอเห็นนางที่ก้าวลงรถม้าเป็นหญิงสาวร่างบอบบางท่าทางหล่อกแหล่ก แถมตอนก้าวเท้าลงสู่พื้นก็ล้มหน้าคะมำ ดาบที่ชี้มาก็ลดแรงกดดันลงหลายส่วน
“ข้าเป็นบ่าว ข้าเป็นบ่าว อย่าทำอะไรข้าเลย”
“ยืนขึ้นดีดี!!”
ชายโพกผ้าดำคนเตี้ยสุดและใกล้นางสุดเดินเข้ามาใกล้นางมากขึ้น
“ในรถม้ามีเจ้าคนเดียวรึไง ลงมาให้หมด!!!”
พูดจบเขาก็เลิกม่านขึ้นทันที ก็เห็นหยางเหวินใบหน้าซีดเซียวก็หยักยิ้มมุมปากอย่างสมหวังเมื่อธนูไม่พลาดเป้า ก่อนหันมาส่งสัญญาณให้ชายโพกหน้าคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่นอกวงล้อมนี้
…ดูท่าชายโพกหัวคนนั้นจะเป็นหัวหน้า ซูเมิ่งเหลือบตามองตามชั่วพริบตาก็ทำแววตาเหมือนคนหวาดกลัวดังเดิม
“พอดีนายท่านของข้าถูกยิงจ้ะ อาการบาดเจ็บสาหัส อย่าทำอะไรพวกข้าเลย ฮึก ๆ”
ชายคนเดิมไล่ตาสำรวจพบลูกธนูปักคาตรงตำแหน่งใกล้รักแร้ มือของชายในรถจับลูกธนูแน่น เลือดเต็มมือ
“เจ้าเข้าไปพยุงเจ้านายเจ้าลงมาจากรถ!”
เขาหันมาตะคอกใส่นาง พร้อมหลีกทาง
ซูเมิ่งพยักหน้าตัวสั่นงก ๆ ค่อย ๆ เดินเข้าไปพยุงหยางเหวินลงมา นางแอบกระซิบข้างหูชายหนุ่มอย่างแนบเนียน
“หากบ่าวให้สัญญาณท่านรีบไปขึ้นม้าเลยนะ ข้าจะตามไป”
พอนางได้รับสายตาเชิงรับคำของหยางเหวินก็พยุงเขาลงมาจนเท้าสองข้างแตะพื้น ซูเมิ่งหลุบตาลงต่ำก้มหน้าขยับหัวใช้ผมที่ตกลงมาบดบังสายตานางที่กวาดหาเป้าหมาย
ฉึก!
ลูกธนูปักกลางอกชายคนถือธนู เป็นดอกที่เดิมพลาดเป้าปักอยู่บนผนังรถม้า นางให้หยางเหวินดึงออกมาหนีบใต้รักแร้ตบตาให้โจรโพกผ้าเชื่อว่าเขาถูกยิงอาการสาหัส และข้อดีอีกอย่างคือพวกเขาสามารถเอาลูกธนูปลายเหล็กเเหลมนี้มาเป็นอาวุธได้อย่างเปิดเผย พอนางเข้าใกล้หยางเหวินก็ดึงลูกธนูออกมาสะบัดข้อมือเหวี่ยง โดยเล็งไปที่เจ้าของลูกธนูก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อตัดกำลังคนแม่นธนูหนึ่งเดียวในกลุ่ม เพิ่มโอกาสรอด
ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะไหวตัวซูเมิ่งยื่นมือรับกริชจากหยางเหวินกระโจนจ้วงแทงโจรเตี้ยที่อยู่ใกล้สุด เหล่าโจรที่ก่อนหน้าตื่นตระหนักไม่รู้ทิศหันมารุมโจมตีหญิงสาวร่างบอบบางทันที
เนื่องจากอาศัยร่างนี้มาได้สักพักรวมถึงการได้เป็นบ่าวคอยแบกน้ำทำงานหนักทำให้กำลังนางเพิ่มขึ้น ร่างบางเอี้ยวตัวหลบดาบที่จ้วงแทงเข้ามา สายตาคมกริบจ้องเจ้าของดาบก่อนมือขวาที่ถือกริชตวัดฟันชายโครงสร้างแผลฉกรรจ์ ขาซ้ายตวัดสูงตบลงหัวอีกคนที่พุ่งเข้ามาอย่างแรง นางก้าวถอยหลังให้หลุดจากวงที่โจรโพกหน้าเข้ารุมนาง
ซูเมิ่งเค้นเสียงปนหอบตะโกนบอกหยางเหวิน
“ไป!!!”
