บท
ตั้งค่า

๑ เธอเรียกมันว่าพรหมลิขิต (๒)

พงพนาคงคิดว่าหล่อนเป็นพนักงานของร้านเท่านั้น โดยไม่รู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ดูละครเขาซ้ำบ่อยแค่ไหน ถึงจะเป็นเพียงบทพระรองที่ช้ำรักก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่าเราจะเจอกันในชีวิตจริงหลังเวลาผ่านไปหลายปี

เขายังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยน...

“เพ้ออะไรของแก” เพื่อนสนิทที่เป็นหุ้นส่วนร้านและรับหน้าที่เป็นช่างขึ้นตัวเรือนแหวน ขลุกอยู่หลังร้านเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมาย ปล่อยนิรดาออกแบบและคอยรับหน้าลูกค้าคนเดียว เพราะตนไม่ชอบพูดคุยหรือต้องคอยยิ้มแย้มให้คนแปลกหน้า งานบริการค่อนข้างติดลบ

“นาถจ๋า เมื่อกี้ฉันเจอเนื้อคู่แหละ” พอเห็นคนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาหลายปีก็รีบเข้าไปกอดแขน พลางเอนศีรษะซบไหล่นาถฤดี วันสุขสม เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่คบกันมาอย่างยาวนานและคาดว่าจะคบกันตลอดไป

“คนที่เท่าไหร่ของวันล่ะ ฉันเห็นแกเจอเนื้อคู่วันละสิบคนเห็นจะได้” ส่ายศีรษะกับความเพ้อของอีกฝ่าย

นิรดาใช่ว่าจะหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ค่อนไปทางน่ารักตามแบบพิมพ์นิยมเสียด้วยซ้ำ คนมาจีบเป็นกระบุ้งแต่เลือกเยอะ อยากได้หล่อแบบพระเอก นิสัยแสนดีเหมือนพระรอง ร่ำรวยอย่างตัวร้ายในละคร เลยมีแฟนแค่คนเดียวในชีวิต

แถมยังเลิกกันเพราะเพื่อนเธอเลือกไปดูคอนเสิร์ตแทนการฉลองครบรอบคบกันสามเดือน...หมดโปรพร้อมการเลิกราพอดี

“ไม่เหมือนกันสิ...คนนี้เนื้อคู่ตัวจริงเสียงจริง แค่เห็นหน้าฉันก็รู้ทันทีว่าฟ้าส่งเขามาให้ฉันแล้ว เราเกิดมาเพื่อกันและกัน ฉันจะเร่งรีบหางานให้แกเพิ่มเพื่อหาเงินไปสู่ขอเขา” ผละออกจากอีกฝ่ายแล้วมีสีหน้ามุ่งมั่นกับคำพูดนั้น ฝันถึงงานแต่งของตนกับผู้ชายที่เพิ่งเดินออกจากร้านไปแล้ว

“สติ สตินะเพื่อน อย่าบ้าผู้ชาย” หมดคำจะเตือน จึงทำได้เพียงตบบ่านิรดาเท่านั้น

“คนนี้ไม่บ้าไม่ได้ แกจำพระรองที่ฉันชอบได้ไหม”

“พระรองที่แกชอบ...มีเป็นร้อย” เดินไปนั่งยังโซฟาคิดว่าตนคงต้องฟังร่างบางพูดอีกสักพัก หากได้เอ่ยถึงศิลปินคนโปรดแล้วล่ะก็...ไม่ต่ำกว่าสามสิบนาที

“ไม่ๆ คนนี้พระรองที่เล่นหนังกับพี่น่าเรื่องแรก คนที่ฉันบอกหล่อกว่าพระเอกอีกน่ะ...พี่ป่า พงพนาไงแกจำไม่ได้เหรอ” หล่อนจำเขาได้ไม่ลืมจนถึงทุกวันนี้

เธอได้บัตรดูหนังรอบสื่อมวลชนจากพี่สาว ได้เห็นหน้าพงพนาผ่านจอขนาดใหญ่ ตกตะลึงในรอยยิ้มแสนหวานจากบทบาทหนุ่มอบอุ่น จากนั้นก็คอยติดตามเขามาตลอด

“ไม่อ่ะ แกเห็นฉันดูละครหรือหนังไทยเหรอ ฉันจะไปจำใครได้ แต่ละวันก็ทำแหวนกลับบ้านก็นอน ทุกวันนี้จำได้แค่หน้าแกเนี่ยแหละ” คนไม่ค่อยรู้เรื่องตอบตามความจริง

อีกอย่างนิรดาชอบทั้งนักแสดงนักร้องเยอะไปหมด หล่อนเองก็จำชื่อไม่หมด ไหนจะชอบไอดอลต่างประเทศอีกต่างหาก ทุกวันนี้นอกจากทำงานหาเงินเพื่อผ่อนคอนโดมิเนียมแล้ว เพื่อนสนิทก็นำเงินส่วนหนึ่งไปเปย์หนุ่มๆ ที่เห็นผ่านหน้าจออีกด้วย

“แกอ่ะ เดี๋ยวฉันค้นแป๊บหนึ่ง แกจะได้เห็นเป็นประจักษ์ว่าพี่ป่าคือคนไหน...เสียดายพี่น่าไม่แนะนำให้ฉันรู้จัก พอจะมีโอกาสเขาก็ออกจากวงการไปแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอกันอีก พรหมลิขิตชัดๆ” เธอกำลังกล่าวถึงพี่สาวอย่างนาน่า แต่เอาเข้าจริงหากพี่แนะนำให้รู้จักพงพนาก็คงไม่กล้าเข้าไปใกล้หรอก

เหมือนว่าเธอจะชอบเขามาก...จนใจเต้นไม่เป็นจังหวะยามได้สบตา

“ดู แกดู นี่ไงพี่ป่า” เปิดโทรศัพท์แล้วค้นรูปของชายหนุ่ม พลางยื่นให้นาถฤดีได้ดูว่าคนที่ตนชอบหน้าตาหล่อเหลามากเพียงใด

“หล่อดี...” มองแล้วตอบแบบขอไปที เธอไม่อินกับคนหล่อเท่าไหร่

“ไม่ใช่แค่หล่อดี หล่อมากต่างหาก!” ย้ำชัดถึงความหล่อของพงพนา รีบยึดโทรศัพท์ตนคืนพร้อมชื่นชมใบหน้าของเขา หล่อนมีรูปตอนชายหนุ่มไปงานแถลงข่าวภาพยนตร์เรื่องแรก บันทึกเอาไว้ไม่ยอมลบถือเป็นความทรงจำ

“จ้ะ หล่อมาก...กินอะไรไหมจะไปซื้อข้าวร้านป้าหน่าย” ส่ายศีรษะด้วยความระอา พลางลุกจากโซฟาไม่วายถามหุ้นส่วนร่วมธุรกิจ

“ไก่ผัดพริกแกงจ้า แล้วก็ไข่ดาวกึ่งสุกกึ่งดิบ”

“โอเค...เชิญชื่นชมความหล่อของพี่ป่าไปเลยนะ” ตบบ่าเหมือนให้กำลังใจว่าอย่างไรเส้นทางของพวกเธอก็ไม่มีทางมาบรรจบกันหรอก แต่นิรดาไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น หล่อนเพียงแค่ได้มองเขาห่างๆ ไม่ใช่หายหน้าหายตาก็พอแล้ว

ไม่ได้หวังมากกว่านั้นเลย...

“รับทราบค่ะบอส” ทำท่าตะเบะอย่างทหาร ฉีกยิ้มกว้างแล้วเลื่อนดูรูปของพงพนาต่อไป รอยยิ้มประดับริมฝีปากตลอดเวลาจนรู้สึกเมื่อยแก้ม

ได้เจอตัวจริงของเขาอีกครั้งในรอบหลายปี...เหมือนพรหมลิขิตไม่มีผิด ต่อจากนี้คงได้เจอกันบ่อยเพราะคุยงาน ว่าแล้วก็ฮัมเพลงมีความสุข ถือกล่องพลอยของเขาเอาไว้แน่น เธอจะต้องทำงานนี้ออกมาอย่างสุดความสามารถ ความรู้มีเท่าไหร่เอามาใช้ให้หมด

จ่ายค่าแท็กซี่เรียบร้อยก็เปิดประตูเข้ามาในบ้านจัดสรรสองชั้นที่หน้าตาคล้ายกันหมด เพียงแต่บ้านของหล่อนพิเศษหน่อยตรงที่ด้านหน้าจะมีแสตนอินของดาราดังอย่างนรินทร์ทิพย์ตั้งเรียงไว้กว่าสามอัน หากคนไม่รู้ก็คงคิดว่าเจ้าของบ้านบ้าดารา แต่ความจริงคนที่ยืนยิ้มโดยไร้ชีวิตชีวาเป็นบุตรสาวคนโตต่างหาก

มือบางเปิดประตูรั้วแล้วปิดลงเสียงเบา ถอดรองเท้าไว้ตู้ข้างหน้าพลางใช้มือเลื่อนประตูหน้าบ้าน เข้ามาข้างที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นช่ำ เหลียวมองโทรทัศน์ที่เปิดข่าวเอาไว้ แล้วจึงถอดกระเป๋าสะพายข้างวางไว้ตรงโต๊ะเล็ก

เธอย้ายออกจากบ้านปีที่แล้ว ไม่ฟังคำทัดทานของบุพการีที่ไม่ต้องการให้ลูกคนเล็กเสียเงินซื้อคอนโดมิเนียม โดยที่ท่านไม่รู้ถึงความคับข้องใจของหล่อนเลยว่าการทนมองคำพูดชื่นชมพี่สาว แล้วนำมาเทียบกับตนมันสร้างความอึดอัดมากแค่ไหน

“กลับมาได้ซะทีนะ แม่นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวคนเล็กซะอีก” มารดาเดินออกมาจากครัว สวมผ้ากันเปื้อนเอาไว้คงกำลังทำอาหาร

“โธ่แม่คะ หนูก็มาบ้านออกบ่อยจะไม่เห็นหน้าได้ยังไง เดือนก่อนหนูก็ซื้อผลไม้ที่แม่ชอบมาฝาก แม่ลืมแล้วหรือไง” ทำหน้าเง้างอนพลางเข้าไปกอดแขนท่านอย่างออดอ้อน

“จ๊ะ แม่ก็พูดไปงั้นแหละ...กินข้าวมาหรือยังล่ะ” ทุกวันหยุดเธอนัดกับพี่สาวจะมากินข้าวที่บ้านเดือนล่ะครั้ง หรือบางทีหากว่างจากงานก็แวะมาหาท่านทั้งสอง แต่เหมือนบิดาไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่ที่เห็นบุตรคนเล็กซึ่งไม่ค่อยเอาไหน

ช่วงหลังเธอจึงไม่ค่อยได้กลับมาบ้านหลังนี้ที่พี่สาวออกเงินซื้อให้เป็นที่พักอาศัยของพ่อแม่ ราคาเกือบสามสิบล้านบาท ยังไม่รวมตกแต่งภายในอีก

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พ่อรักได้อย่างไร...

“ยังค่ะ ว่าจะมาฝากท้องที่บ้านเนี่ยแหละ แล้วพี่น่ากับพี่เชนยังไม่มาอีกเหรอคะ ไหนบอกหนูว่าใกล้ถึงแล้ว ยังไม่ออกจากบ้านแน่เลย” ค่อยปล่อยท่านแล้วชะเง้อคอหาพี่สาวคนสวย ไม่วายสันนิษฐานถึงความน่าจะเป็นตามนิสัยแต่งหน้าเป็นชั่วโมงของนรินทิพย์

“พี่น่าชอบพูดว่าใกล้ถึงแล้วทั้งที่จริงกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่หน้ากระจก คราวนี้ต้องเหมือนที่ผ่านมาแน่เลยค่ะ แม่ว่าอย่างนั้น..” ยังพูดไม่ทันจบ ประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดออกพร้อมการปรากฏกายของดาราดังที่แต่งงานไปเมื่อหลายปีก่อนกับลูกชายของนักธุรกิจพันล้าน

“เม้าอะไรพี่ยัยตัวแสบ” เสียงเข้มดุถามเล่นเอาร่างบางสะดุ้ง พอหันไปมองเจอสายตากลมที่จ้องมาอย่างเอาเรื่องก็รีบยิ้มประจบ ลืมมองพี่เขนที่ตามติดภรรยาไม่ห่าง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel