คิดถึงเพื่อนตัวแสบเหลือเกิน
สองวันถัดมา ณ คอนโดมิเนียมของลี่จือ
“ โธ่ นังลี่จือ นังร่าน แกไม่น่าชิงหนีพวกฉันไปตายก่อนเลย ทำไมวะ แล้วใครจะพาฉันร่านวะอีบ้า ”
เสี่ยวอี้ หนึ่งในกลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่สนิทของลี่จือพูดพลางสะอื้นไห้ ขณะที่กำลังเก็บข้าวของของลี่จือลงกล่อง
สองวันที่แล้วเธอได้รับแจ้งข่าวจากทางโรงพยาบาลที่โทรมาแจ้งว่าเพื่อนสนิทของเธอเสียชีวิตแล้วจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
“ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าอาจือจะหัวใจวายตาย มันแข็งแรงจะตายนะโว้ย ฟิตเนสมันก็เข้าตลอด อาหารเสริมวิตามินเสริมอะไรมันก็กิน ” สวี่เชียง อีกหนึ่งสาวว่า
“ แต่พวกแกอย่าลืมสิว่าลี่จือมันเล่นยาหนัก \ไม่ต่างจากพวกเรา ยิ่งเวลารับแขกมันก็ยิ่งชอบ จะแข็งแรงแค่ไหน ถ้าเสพยาเกินขนาดมันก็อาจเป็นได้ แล้วแกอย่าลืมนะว่ามันตายคาอกใคร นั่นท่านเฉิน มาเฟียตัวเป้งนะเว้ย ใครจะกล้าพูดว่ามันกำลังเอากับท่านเฉินแล้วขาดใจตาย ” เฟิงซิ่นสาวในกลุ่มคนสุดท้ายว่า
“ จะทำยังไงได้วะ เวลารับแขก ถ้าไม่เล่นยาแล้วจะมีอารมณ์ร่วมได้ยังไง บางคนอ้วนอย่างกับหมู บางคนแก่กว่าพ่อของพวกเราอีก ” เสี่ยวอี้ว่า ทั้งหมดนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จา เพราะสิ่งที่เสี่ยวอี้ว่านั้นมันถูกต้องทั้งหมด
ทั้งสี่คนเป็นสาวสวย เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสองคณะเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างมีที่มาที่ต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเธอมาจากครอบครัวที่ยากจนแร้นแค้น โดยเฉพาะลี่จือที่ลำบากที่สุด
ลี่จือ เป็นหญิงสาวที่โตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไม่ค่อยสนใจใคร่ดีนัก เธอดิ้นรนทำงานเลี้ยงตัวเองมาตลอด เคราะห์ดีที่ยังคิดใฝ่เรียนอยู่บ้าง
เธอคลุกคลีกับทุกอบายมุขและเป็นหัวโจกของกลุ่ม และด้วยความเป็นสาวสวย เวลาออกท่องราตรีก็มักจะมีผู้ชายทั้งหนุ่มแก่มาพัวพันเสมอ สิ่งนี้เป็นเหตุให้เธอคิดหาทางเอาตัวรอดให้ตัวเอง ด้วยการ ‘ ขายตัว ’
แรกนั้นเพื่อน ๆ ไม่เห็นด้วย แต่หลังจากการที่ได้เห็นลี่จือมีเงินทองใช้เป็นฟ่อนไม่ขาดมือ มีคอนโดมิเนียมหรู มีรถขับ มีเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าราคาแพงมียี่ห้อใช้ ทำให้พวกเธอต่างก็คล้อยตาม
“ สวรรค์ประทานรูปร่างหน้าตาสะสวยให้กับพวกเรานะยะ นั่นหมายถึงว่าเราควรจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เทิดทูนมันให้กับชายเพียงหนึ่งเดียว ที่มันจะนอกใจเราไปเมื่อไรก็ไม่รู้ สู้เอามันไปให้ผู้ชายหลายคนเชยชมโดยแลกกับเงิน กับความสบาย แถมยังได้ความมันด้วยจะดีกว่า ”
ลี่จือว่ามาเช่นนี้ กลุ่มขายตัวของพวกเธอก็เริ่มขึ้นทั้งทางโลกโซเชียล ทั้งที่เจอกันหน้างานแล้วตกลงกันเลยก็มี
ชีวิตของพวกเธอดีขึ้นราวพลิกฝ่ามือ แล้วเหตุใดลี่จือจึงมาด่วนจากไปเช่นนี้เล่า
“ พวกแก แล้วนิยายที่ลี่จือมันชอบอ่าน จะเอายังไงดีวะ ” เสี่ยวอี้พูดขึ้นหลังจากที่เพื่อน ๆ ต่างคนต่างเงียบไปนาน เธอเดินไปยังตู้หนังสือของเพื่อนผู้ล่วงลับ ที่มีหนังสืออัดแน่นอยู่ในนั้น พลันน้ำตาก็ยิ่งไหลพราก
“ ชีวิตจริงของฉันมันน้ำเน่ายิ่งกว่าละคร นิยายเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันได้หย่อนใจและเพลิดเพลิน ให้ฉันได้จินตนาการว่าตัวเองมีความสุขอยู่ในนั้น แม้มันจะเป็นเพียงสิ่งที่แต่งขึ้นก็ตามที ”
นี่คือสิ่งที่ลี่จือบอกเพื่อน ๆ
“ เอาฝังไปพร้อมกับมันดีไหม ” เฟิ่งซิ่นเสนอ แต่สวี่เชียงคัดค้าน
“ แกจะบ้าหรือไง นิยายมันมีตั้งไม่รู้กี่ร้อยเล่ม ฝังลงไปได้ยังไง สู้เอาไปบริจาคห้องสมุดมันน่าจะมีประโยชน์กว่า ลี่จือมันคงต้องการแบบนั้น ”
“ อืม ว่าไงก็ว่ากัน ” เพื่อนว่า แล้วค่อยลำเลียงหนังสือลงกล่อง
“ เร่งมือหน่อย เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงจะได้เวลา ทำพิธีแล้ว ”
ใช้เวลาราวยี่สิบนาที หนังสือทั้งหมดก็ไปนอนอยู่ในกล่องเรียบร้อย พลันสายตาของเฟิ่งซิ่นก็ตวัดไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งวางบนหัวเตียง มีที่คั่นคั่นเอาไว้
เธอเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดูทันที
หน้าปกเป็นภาพวาดของหญิงสาวรูปงามที่มีดวงตาแสนเศร้า แต่งตัวแบบจีนโบราณ นางนั่งอยู่ที่โขดหินริมลำธารแต่เพียงลำพัง
‘ โบตั๋นเดียวดาย ’ คือชื่อเรื่อง
เธอไม่ได้สนใจนิยายอย่างที่เพื่อนรักคลั่งไคล้ ทว่าใบหน้าของหญิงสาวบนปกนั้นกลับสะดุดตาเธออย่างแรง
“ เฮ้ย พวกแกมาดูนี่สิ ”
“ อะไร ”
“ ดูผู้หญิงที่หน้าปกนิยายเรื่องนี้สิ เหมือนนังลี่จือเลย หน้าเหมือนกัน แต่แววตาแตกต่าง ”
“ เออ จริงด้วย ” ทั้งสามคนจ้องหนังสือเล่มนั้นอยู่เป็นนาน ก่อนเฟิ่งซิ่นจะเอ่ยขึ้น
“ เล่มนี้อาจูมันคงยังอ่านไม่จบเพราะเห็นมีที่คั่นคั่นอยู่ ”
“ จริงของแก ”
“ เราเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้ได้ไหมวะ ในข้อที่ว่านางเอกที่ปกหน้าเหมือนนังลี่จือมัน เวลาคิดถึงมันจะได้เอาขึ้นมาดู ”
“ อืม ”อีกคนตอบสั้น ๆ ก่อนที่ทั้งสามจะร่ำไห้ออกมาอีกคำรบ
คิดถึงเพื่อนตัวแสบเหลือเกิน...