คนร้ายกาจ
“ ของโปรดผมทั้งนั้นเลย ขอบคุณน้ามะลิมากนะครับ ”
“ ขอบคุณน้ามะลิคนเดียวก็ไม่ถูกหรอกค่ะคุณเอก เพราะอาหารพวกนี้ฝีมือหนูมัสทั้งหมดเลยค่ะ แววกับน้ามะลิเป็นแค่ลูกมือ ” คราวนี้เป็นน้าแววพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ งั้นเหรอ ทำเก่งขนาดนั้นเลย ”
“ โอ๊ย มัสยาน่ะ เขาทำเก่งทำอร่อยกว่าแม่มะลิอีกมั้งลูก แม่มะลิน่ะถูกโค่นตำแหน่งไปแล้ว ” คราวนี้เป็นคุณกุลวดีที่เอ่ยขึ้น เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนขึ้นมาได้
“ หนูมัสทำกับข้าวเก่งค่ะ ยิ่งรู้ว่าของโปรดคุณเอกคืออะไรก็ยิ่งฝึกฝนมากเป็นพิเศษ ” แววสาธยายต่อ แต่นั่นเล่นเอาเจ้าตัวหน้าแดงก่ำ รีบปฏิเสธ
“ เปล่านะคะ มัสไม่ได้ฝึกแค่ของโปรดคุณเอก มัสก็ฝึกทุกอย่างแหละค่ะ ” เอกอนันต์ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงยืนจ้องคนหน้าแดงอยู่เช่นนั้น มันยิ่งทำให้เธออึดอัดเป็นที่สุด
“ เอาล่ะ ๆ ไปเลือกของฝากแล้วก็แยกย้ายกันไปชื่นชมได้แล้ว แต่ตาเอกลูก เย็นนี้แม่จะต้องไปบ้านคุณป้าเรณู เพราะว่าท่านเรียนเชิญให้ตระเตรียมเรื่องงานการกุศลเพื่อช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนเดือนหน้า ลูกจะว่าอะไรไหมถ้าแม่จะไปสักชั่วโมงสองชั่วโมงน่ะจ้ะ ” เพราะท่านรู้สึกไม่ดีที่ลูกชายพึ่งกลับมาจากบ้านวันแรก ท่านก็ไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลา แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ที่เคารพนับถือช่วยเหลือกันมาจึงไม่กล้าปฏิเสธ
ชายหนุ่มยิ้มแล้วโอบเอวมารดาเอาไว้
“ ได้สิครับคุณแม่ ผมไม่ว่าหรอก นานกว่านั้นก็ได้เพราะผมรู้สึกเพลีย ๆ อาจจะนอนพัก ”
“ เอางั้นนะ ”
“ ครับผม คุณแม่ไม่ต้องกังวลหรอก จากนี้ไปเรามีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งชีวิต ผมจะไม่ไปไหนอีกแล้ว ”
“ ปากหวานอย่างนี้ แอบไปหวานกับแหม่มเมืองนอกเมืองนาไปกี่คนแล้วล่ะ ไอ้เสือของแม่ ” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ
“ ไม่มีหรอกครับ ไปอยู่ที่ไหนแต่หัวใจผมก็อยู่ที่นี่ ตรงนี้ตลอด ” ขณะพูดเขาปรายตาไปมองคนที่ยืนหลบหลังคนอื่นชั่วอึดใจ แต่เธอไม่ได้มองไปที่เขาจึงไม่รับรู้
ก็เธอไม่อยากเห็น ไม่อยากมอง ไม่อยากอะไรกับเขาทั้งนั้น
ทำมาเป็นพ่อพระช่วยเธอให้รอดพ้นเงื้อมมือเพื่อน แต่กลับทำสิ่งนั้นกับเธอเสียเอง
คนร้ายกาจ !
หกโมงเย็น
มัสยายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ในครัวเพียงลำพัง คุณท่านกับแม่มะลิ แม่ของเธอไม่อยู่ เพราะออกเดินทางไปบ้านคุณหญิงเรณูด้วยกัน ส่วนน้าแววนั้นก็ออกไปซื้อวัตถุดิบมาไว้ทำกับข้าวในวันพรุ่งนี้
หลังจากกลับมาถึง เอกอนันต์ก็ขึ้นห้องนอนแล้วเงียบไปเลย คงจะเหน็ดเหนื่อยหลังจากการเดินทางนั่นแหละ
แล้วเธอจะต้องทำอย่างไรล่ะ นี่มันได้เวลามื้อเย็นแล้ว เขาจะกินหรือไม่ จะรู้ได้อย่างไรนะ
ขณะกำลังหันรีหันขวาง ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรดีอยู่นั้น พลันมัสยาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงหนึ่งกระซิบที่ข้างหู
“ ฉันหิว ” เสียงกระซิบมาพร้อมลมหายใจร้อน ๆ เป่ารดลงมาด้วย มันลวกเลียจนเธอขนลุกซู่ร้อนซ่านไปหมด
เธอสาวเท้าหนีทันควัน อีกฝ่ายยกมุมปากยิ้มนิดหนึ่งก่อนริมฝีปากได้รูปจะกลับมาเหยียดตรงเช่นเคย
“ ดะ... เดี๋ยวมัสจะจัดโต๊ะอาหารให้นะคะ ”
“ ฉันไม่อยากกินที่โต๊ะอาหาร ยังเหนื่อยอยู่ จะกินที่ห้องนอน เอาเป็นเนื้อตุ๋นสักชามละกัน ไม่เอาข้าว จัดการให้ด้วย เออ แล้วก็ทับทิมกรอบด้วยนะ ” เขาออกคำสั่งก่อนที่ ขายาว ๆ จะสาวฉับ ๆ หายลับกลับเข้าไปในเรือนใหญ่
“ คนบ้า แล้วทำไมจะต้องอยากกินในห้องนอนด้วยนะ ไม่มีใครอยู่บ้านสักคนด้วย จะทำยังไงดีเนี่ย ” มัสยาบ่นงึมงำ แต่ก็จำเป็นต้องจัดการตักอาหารใส่ชามปิดฝาเรียบร้อยแล้ววางบนถาด
“ คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง รีบเอาไปส่งแล้วรีบกลับ ” เธอปลอบใจตัวเอง พลางหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนถือถาดอาหารเดินเข้าไปในเรือนใหญ่ทันที
ชั้นสองฝั่งซ้ายสุดเป็นห้องนอนของเขา หญิงสาวยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ
“ คุณเอกคะ มัสเอาอาหารมาส่งค่ะ ”
“ เข้ามา ” เสียงทุ้มตอบกลับมาจากด้านใน