5
“จริงๆ แล้วอยู่แบบนี้ก็เบื่อนะ” คำพูดของนฤทธิ์สร้างความแปลกใจให้เพื่อนอีกสองคนมาก
“อยู่แบบนี้ของมึงหมายความว่าไงวะ” เศกภพรีบถาม
“ก็แบบนี้ไง เลิกงานก็หาที่เที่ยว ที่ดื่ม และหาผู้หญิงกก” เศกภพกับนิธินันท์มองหน้ากัน ก่อนหันมองนฤทธิ์ “หรือว่ามึงสองคนไม่เบื่อ กูว่าก็ต้องมีช่วงเวลาหนึ่งแหละที่มึงต้องเบื่อ”
“เออยอมรับว่า บางครั้งก็เบื่อ” นิธินันท์ยอมรับ
“แต่กูไม่นะ ชีวิตแบบนี้ก็อิสระดี อยากไปไหนก็ไป ไม่มีการผูกมัดตัวเองให้รำคาญใจ ไม่ต้องถูกตามจิก ตามตัว ไปไหนก็ต้องรายงาน กลับช้าก็โทรมาจิกให้กลับบ้านทำกับอย่างว่าเป็นเด็กเล็ก ชีวิตแบบนี้เหรอที่มึงสองตัวอยากได้ กูไม่เอาด้วยคน อยู่เป็นโสดดีกว่า” เศกภพบอกความคิดที่ตั้งมั่นไว้ว่า หากเขาไม่พร้อมหยุดกับผู้หญิงคนไหน หรือต้องการระงับอิสรภาพเข้าไปอยู่ในกรง เขาขอใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งมั่นใจว่า ไม่มีสตรีคนใดมัดใจเขาได้แน่นอน “ชีวิตที่เรทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นวิถีคนโสดนะโว้ย ถ้ามึงเบื่อมึงก็นอนพักอยู่บ้าน อยู่กับตัวเองหายเบื่อก็กลับมาใช้ชีวิตตามเดิม ไม่ต้องหาห่วงมาคล้องคอ”
“ที่มึงพูดมันก็จริง กูก็ไม่อยากมีห่วงมาคล้องคอ” นฤทธิ์กระดกแก้วเหล้าทันทีที่พูดจบ “กูเห็นคนรอบข้างกูแล้วก็ไม่อยากมีเมีย แม่งแต่ละตัวกลัวเมียทั้งนั้น ขาดความเป็นตัวเองกันทุกคน กูคยสงสัยนะว่า ก่อนหน้ามีเมียไม่เคยกลัวใคร แต่ทำไมพอมีเมีย กลัวเมียยิ่งกว่าแม่ซะอีก”
“เพราะรักมั้ง รักเลยยอม” คนโสดอย่างนิธินันท์สงสัยเช่นกัน
“รักก็ส่วนรักสิวะ จะกลัวทำไมเมีย เมียต้องกลัวเรามากกว่า อีกอย่างนะถ้าเราไม่ผิดจะกลัวทำไมเมีย หือมากๆ กูเลิกเลยนะ ผู้หญิงมีเยอะ ง้อทำไมผู้หญิงคนเดียว” เศกภพที่ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนใดเหนือกว่าตน ยกเว้นมารดาที่บูชาเหนือหัว เขาคิดเสมอว่า หากมีภรรยา จะไม่กลัวเมียเด็ดขาด
“กูจะคอยดูไอ้ทิว คอยดูมึงเวลามีเมีย อยากรู้ว่าจะกลัวเมียหรือเมียจะกลัวมึง” นฤทธิ์พูดอย่างหมั่นไส้ท่าทางจริงจังของเศกภพ
“กูว่าการรอคอยของมึงไม่มีทางเป็นจริง รู้ก็รู้ว่าไอ้ทิวหวงความโสดมากแค่ไหน ชาตินี้มันจะมีเมียหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ได้ซื้อสาวกินไปตลอดชีวิตแน่” นิธินันท์รู้นิสัยเศกภพดี “แล้วกูก็คงเหมือนมัน”
นฤทธิ์ส่ายหัวช้าๆ ยื่นแก้วเหล้าไปตรงหน้า แล้วพูดว่า “กูด้วย”
เพื่อนรักอีกสองคนยื่นแก้วของตัวเองมาชน จากนั้นก็นั่งดื่ม นั่งพูดคุยกันตามประสาหนุ่มโสด จนกระทั่งถึงเวลาห้าทุ่ม ทั้งสามจึงพากันเดินทางกลับ เช่นเคยที่ทั้งสามโทรสั่งผู้หญิงกับรุ่งอรุณ มาม่าซังตัวแม่ที่มีสาวๆ ไว้คอยบริการลูกค้าหลายเกรด แน่นอนว่าสามหนุ่มเลือกเกรดพรีเมี่ยม ที่จะไปรอหนุ่มๆ ตรงล้อบบี้ของคอนโดแต่ละคน
หลังจากลูกค้าวีไอพีออกไปจากห้อง พนักงานได้เข้ามาเก็บจานชามและแก้วเครื่องดื่ม โดยปกติแล้วจะเป็นหน้าที่ของพนักงานที่ดูแลโซนนี้ ทว่าคนที่เข้าคือจันทร์หอม ที่ดูแลในส่วนบาร์ เหตุผลที่เธอเข้าเก็บภาชานะห้องนี้เพราะ นวลต้องไปทำงานแทนเพื่อนที่เกิดไม่สบายกะทันหันในห้องวีไอพีอีกห้องหนึ่ง จันทร์หอมจึงถูกสั่งให้มาทำงานแทนนวล ซึ่งพนักงานในผับทุกคนต้องทำหน้าที่แทนกันได้
จันทร์หอมเคยเข้ามาทำงานในโซนวีไอพีเพียงสองครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม สองครั้งแรกเธอมาพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกคน รีบทำและรีบออกไป ครั้งนี้เธอเข้ามาคนเดียว และได้พินิจมองความหรูหราของห้องที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง รวมถึงโซฟานวมบุหนังวัวแท้ เธอรู้มาจากพนักงานคนอื่นว่า ราคาโซฟาหลักแสนบาท จันทร์หอมอยากรู้เหลือเกินว่า โซฟาแพงหูฉีกขนาดนี้จะนุ่มแค่ไหน เธอจึงลองนั่ง
“โห...นุ่มจัง เด้งด้วย” เธอไม่เคยได้นั่งที่นุ่มๆ แบบนี้มาก่อน พอได้สัมผัสก็รับรู้ถึงความสบาย มันนุ่มมากจนอยากเอนกายนอนหลับ แต่ก็รู้ดีว่าทำตามความคิดไม่ได้ “ขอนั่งแปปนึงก็แล้วกัน”
จันทร์หอมเอนศีรษะพิงพนักโซฟา หลับตาลงคล้ายกับพักสายตาชั่วครู่ วันนี้เธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ อีกทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่ตนนั่งอยู่ก็สบายเสียเหลือเกิน ทิ้งตัวลงนั่งก็เหมือนทิ้งตัวลงนอน ความที่คิดว่าแค่พักสายตา กลับหลับไปไม่รู้ตัว
ขณะที่จันทร์หอมกำลังจมอยู่ในนิทรา ประตูห้องที่เธอใช้ผ้าขัดไว้ถูกมือใหญ่ดันเข้ามา เท้าคนที่ก้าวเข้ามาในห้องเตะผ้าผืนนั้นอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้ประตูห้องปิดสนิทและล็อคอัตโนมัติ
เศกภพชะงักเท้าเมื่อเห็นพนักงานเสิร์ฟสาวนั่งหลับบนโซฟา เขาควรไม่สนใจคนกำลังนอนหลับ แค่เดินไปหยิบมือถือที่ลืมมันไว้บนโซฟาตัวที่ตนนั่งอยู่ ซึ่งบังเอิญว่าอยู่ใกล้กับจุดที่เธอนั่งพอดี
‘แค่หยิบแล้วเดินออกไป’
เป็นเรื่องง่ายมาก เนื่องจากมือถือราคาหลายหมื่นของเศกภพไม่ได้ถูกเธอนั่งทับ แต่เหตุใดมิทราบได้ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา เว้นระยะห่างเพียงหนึ่งคืบ
เป็นระยะห่างที่ใกล้กันมาก...ใกล้จนได้กลิ่นหอมจากตัวเธอ