รังเกียจรังชัง
“ ท่านฮูหยินอดทนสักนิดนะเจ้าคะ ข้าเองอยู่รับใช้บ้านนี้มาตั้งแต่เกิด เพราะพ่อกับแม่ของข้าก็เป็นบ่าวของนายท่าน คุณชายทั้งสองแม้จะมองภายนอกร้ายกาจไปบ้าง แต่น่าจะเป็นเพราะว่าขาดความรัก ท่านฮูหยินคนเก่าเอาแต่พูดจาเป่าหูลูกชายทั้งคู่ว่าบิดาไม่รัก แต่แท้จริงแล้วที่นายท่านทำลงไปก็เพื่อครอบครัวทั้งนั้น ”
“ กระนั้นก็เถอะพี่จิ่วเหมย หากเลี่ยงได้ข้าก็ควรเลี่ยง เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายมิใช่หรือ ”
“ แล้วท่านฮูหยินสบายใจเช่นนี้หรือเจ้าคะ ”
“ ใช่ ข้าสบายใจเช่นนี้ พี่ก็รู้ว่าข้ามิได้สูงส่งมาจากที่ไหน โชคดีที่มีบารมีท่านเศรษฐีคุ้มหัว มิเช่นนั้นข้าก็คงระหกระเหเร่ร่อนป่านนี้เป็นตายร้ายดีเช่นไรก็ไม่รู้ อะไรที่ทำให้บ้านสงบได้ข้าก็ควรทำ ”
“ ถ้าท่านฮูหยินสบายใจเช่นนั้นก็เอาเถอะเจ้าค่ะ ”
“ เดี๋ยวข้าจะช่วยจัดอาหารให้ แต่พวกพี่ยกออกไปนะ ” ท่านฮูหยินว่า
“ เจ้าค่ะ ” สาวใช้รับคำและมองนางด้วยสายตาสงสารเหลือเกิน
ยอมรับว่าในระยะแรก บ่าวไพร่ทุกคนที่นี่ก็มองฮูหยินคนใหม่ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ แต่นางได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นางมิได้เข้ามาด้วยหวังทรัพย์สินเงินทอง นางอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคน มิเคยถือเนื้อถือตัวอีกทั้งมีความเป็นกุลสตรีเป็นแม่บ้านแม่เรือนทุกกระเบียดนิ้ว
ต่างจากท่านฮูหยินคนเก่าที่มาจากตระกูลเศรษฐีสูงส่ง นางถือตัว ไม่เคยให้ความเป็นกันเองกับใครหน้าไหนทั้งนั้น ยิ่งบ่าวไพร่ยิ่งถือเป็นคนชั้นต่ำสำหรับนาง การบ้านการเรือนทำไม่เป็น ไม่เคยเอาอกเอาใจผู้เป็นสามี ตรงกันข้ามนางกลับเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก เคราะห์ดีที่ท่านแม่ของท่านเศรษฐี ท่านย่าของบุตรชายทั้งคู่มาคอยดูแลอบรมหลาน พวกเขาจึงพอมีส่วนดีอยู่บ้าง
แต่มาวันหนึ่งท่านย่าก็มาจากไป ทั้งคู่ต้องอยู่ในการอบรมของผู้เป็นมารดาที่เอาแต่ใจและฝังหัวว่าบิดานั้นไม่ค่อยใส่ใจด้วยว่าไม่รัก ทำให้ทั้งคู่เข้าใจเช่นนั้น ผสมผสานกับความที่ท่านเศรษฐีที่กำลังตั้งกิจการสาขาใหม่ก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน บุตรชายทั้งคู่ก็เกิดความน้อยอกน้อยใจ ยิ่งท่านแม่มาจากไปแล้วด้วย ทั้งคู่ก็ยิ่งโยนความผิดทั้งหมดว่าเป็นของบิดาทั้งสิ้น
ช่างเถอะ เดี๋ยวคุณชายทั้งคู่ก็ไปแล้ว เพราะไม่เคยมาอยู่ได้นานสักครั้ง อย่างมากก็สามราตรีเท่านั้น สาวใช้คิดในใจ
แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะคุณชายทั้งคู่ได้ปรึกษาหารือกันแล้วว่าจะให้อาเจียงพี่เลี้ยงคนสนิทนั้นกลับไปดูแลกิจการให้ก่อน ส่วนพวกเขานั้นจะไม่ไปจากที่นี่จนกว่าจะกำจัดฮูหยินคนใหม่ออกไปได้ !
ที่โต๊ะอาหารมื้อเช้า
ชายหนุ่มทั้งคู่นั่งรอที่โต๊ะอาหารก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะเดินออกมา
“ พวกเจ้าเห็นฮูหยินของข้ากันหรือไม่ ” ท่านถามสาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่บริเวณนั้น
“ ท่านฮูหยินบอกว่าอยากให้นายท่านรับประทานอาหารและสนทนากับคุณชายทั้งคู่ประสาพ่อลูกค่ะ ”
ท่านเศรษฐีพยักหน้าด้วยความเข้าใจว่านางอยากหลีกเลี่ยงการปะทะ และอยากให้ท่านได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกับบุตรชาย ทว่าทั้งคู่หาได้เข้าใจเช่นนั้นไม่
“ ก็อย่างว่า มารยาทและกาละเทศะน่ะมิหาได้จากทุกชนชั้นหรอก ” คุณชายใหญ่เปรยขึ้น แต่ผู้เป็นบิดาพยายามข่มใจเอาไว้ ไม่อยากให้เกิดการปะทะคารมกันอีก
ท่านเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ พ่อขอโทษเรื่องเมื่อวาน ที่วู่วามจนตบเจ้า ”
“ ข้าพอเข้าใจได้ แม้ว่าในชีวิตท่านพ่อจะไม่เคยแตะต้องทำร้ายให้ข้าเจ็บแม้สักครั้ง แต่กลับมาเกิดขึ้นเพราะภรรยาคนใหม่ ” หลิวจางยังไม่หยุดกระทบกระเทียบ และผู้เป็นน้องชายก็เสริมขึ้นทันที
“ เห็นได้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ใครสำคัญมากกว่าใครในตอนนี้ ”
“ พวกเจ้าสำคัญที่สุดสำหรับพ่อ สิ่งที่พ่อทุ่มเททั้งหมดในชีวิตก็เพราะพวกเจ้าทั้งสิ้น พ่อรักพวกเจ้าอย่างที่สุด เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เคยรับรู้บ้าง ” ผู้เป็นบิดาตัดพ้อด้วยความอัดอั้นตันใจ ทว่าบุตรชายทั้งคู่ทำหูทวนลม คุณชายเล็กคีบอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
“ พี่ใหญ่ เป็ดตุ๋นน้ำแดงนี่อร่อยมาก ลองชิมดูสิ ” เขาว่าพลางคีบมันให้พี่ชายบ้าง อีกฝ่ายคีบเข้าปากแล้วเคี้ยวพลางพยักหน้าเห็นด้วย
“ ใช่ รสดีราวกับภัตตาคารที่ท่านแม่เคยพาเราไปกินในเมืองหลวง ” ผู้เป็นพี่ว่าแล้วคีบอาหารเข้าปากทุกจาน มันอร่อยและถูกปากพวกเขาเหลือเกิน ทั้งคู่เจรจาสนทนากันราวกับผู้เป็นบิดามิได้อยู่ตรงนั้น
โดยมิรู้เลยสักนิดว่า อาหารที่เอร็ดอร่อยเหลือเกินนั้นเป็นฝีมือของสตรีที่พวกเขารังเกียจรังชังทั้งสิ้น !