บทที2.ป่วนหัวใจ .......
ชายหนุ่มกล่าวลาบรรดาคนในครอบครัว เขาหันไปพยักใบหน้าเรียกมัลลิกา ท่ามกลางสายตาทุกคู่ งานนี้ขุนทัพไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว เมื่อหัวใจร่ำร้องมาตลอดหลายปี เมื่อมีโอกาสจึงไม่คิดจะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ
หญิงสาวตื่นตะลึง เธอหันไปมองรอบๆ หวาดกลัวความคิดของคนอื่น
อารียิ้มแย้มไม่ได้ท้วงอะไร ยิ่งอาทรด้วยแล้วทำเป็นไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น ส่วนมัสยา เดินเลี่ยงไปอีกทาง อาม่านั่งยิ้มแป้น มัลลิกาเลยไม่กล้าขัดความต้องการของขุนทัพ เธอเดินตามพี่ชายนอกไส้ไปห่างๆ
“แม่...” อาทรสะกิดสีข้างภรรยา นางหันมามองพร้อมกับยิ้มแบบรู้ทัน
“แม่รู้นะว่าพ่อจะพูดอะไร...ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ ใครได้ยินจะหาว่าเราเอายัยลิกาใส่พานให้ตาขุน”
คนในครอบครัวรู้อยู่เต็มอก...ความรู้สึกระหว่างบุตรชายคนโต กับบุตรสาวคนสุดท้อง สองคนนั่นไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวพันกัน หากจะรักกันฉันท์ชู้สาว มันก็ไม่ได้ผิดกฏเกณฑ์อะไรเลย มัลลิกาหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย อ่อนโยนมีน้ำใจ เหมาะกับคนสุภาพเรียบร้อยอย่างขุนทัพ นิสัยใจคอก็เห็นๆ กันมาตั้งแต่เด็ก อารียอมรับแบบเต็มใจ หากบุตรชายจะคว้าหญิงสาวมายืนเคียงข้าง ในฐานะคู่ชีวิต แทนที่ฐานะพี่ น้อง
“เปล่า พ่อหมายถึง...” อาทรพูดเสียงติดความกังวล ท่านมองเลยฝ่าความมืดมิด เมื่อบุตรชายอีกคนเดินหายไปทางนั้น
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่แบบที่พ่อคิดหรอก แม่ว่าพ่อคิดมากไปเอง”
อารีติง...จอมทัพตั้งป้อมรังเกียจมัลลิกามานานหลายปี เขารู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิดของหญิงสาว และพยายามที่สุดที่จะเสือกไสมัลลิกาไปให้พ้นๆ จากเรือนบุษยา...ดังนั้นสิ่งที่สามีของนางกังวล จึงไม่น่าเป็นไปได้ เมื่อบุตรชายไม่มีวี่แววความพิศวาสในตัวมัลลิกาซักนิด เรื่องนี้จึงไม่น่าจะเกิดขึ้น...
อาทรถอนใจแรงๆ “ไม่ใช่มันก็ดี” ท่านบ่นเบาๆ ก่อนจะหันไปคุยกับคนงานในไร่แทน
ระเบียงห้องของขุนทัพหันไปทางทุ่งดอกเดซี่ กลิ่นหอมของละอองเกสรลอยฟุ้งอยู่รอบตัว มีแสงไฟจากโคมไฟที่ตั้งอยู่ไม่ห่างส่องมาถึง แสงไฟนั่นกระทบกับดวงตาของขุนทัพ มันเป็นประกายไม่ต่างอะไรกับดวงดาวบนฟ้าเลย
มัลลิกาย่อตัวลงนั่ง เธอมองฝ่าความมืด ทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย
“พี่รู้สึกว่าลิกาจะไม่ดีใจซักเท่าไหร่เลยนะคะ ที่พี่กลับมาบ้านครั้งนี้”
ขุนทัพเปรยแบบน้อยใจนิดๆ เขามองเห็นแต่แววตาเศร้าของมัลลิกา แม้จะมีความยินดีปนอยู่ด้วย แต่ก็ไม่เต็มร้อยเหมือนที่หวังไว้
“เปล่านะคะ ลิกาดีใจที่สุดที่พี่ขุนกลับมาอยู่บ้าน...แต่!”
หญิงสาวรีบแก้ตัว เธอเกือบหลุดปากพูดเรื่องความลับคับอก ดีทว่าชะงักไว้เสียก่อน
“แต่?!!” ชายหนุ่มคราง เขาทวนคำพูดของน้องสาวนอกไส้ ที่หยุดไว้เพียงแค่นั้น
“คือ...” มัลลิกาเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มแหยๆ ให้ เธอกลัวที่สุดหากขุนทัพแสดงความรังเกียจตนเองอีกคน
“พี่พอรู้ ลิกากำลังมีเรื่องไม่สบายใจ...ปรึกษาพี่ได้นะ พี่ขุนพร้อมจะช่วยหากลิกาต้องการค่ะ”
ก่อนเดินทางกลับ เขารู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างน้องน้อยคนสุดท้อง กับน้องชายคนรองเป็นอย่างดี ขุนทัพไม่เข้าใจน้องชายซักนิด แค่บ้านหลังเดียว ทำไมจอมทัพถึงไม่ยอมง่ายๆ ในเมื่อยังมีบ้านไม้สวยๆ ให้เลือกอีกหลายหลัง เรื่องแค่นี้จอมทัพถึงกับตั้งป้อมรังเกียจมัลลิกาเลย
หญิงสาวส่ายใบหน้า น้ำตาคลอเบ้า ความรู้สึกตื้อๆ ในอก เพราะยิ่งขุนทัพทำดีกับตัวเองมากเท่าใด เธอก็ยิ่งหวาดกลัวเพิ่มขึ้น
เพราะหากขุนทัพเป็นอย่างคน คนนั้นอีกคน...
มัลลิกาคงไม่มีหน้ายืนอยู่ในเรือนบุษยาแห่งนี้
ชายหนุ่มลุกจากที่นั่ง เขารั้งเรือนกายผอมบางของหญิงสาวมาสวมกอดไว้หลวมๆ
มัลลิกาเอียงหน้าซบแผ่นอกแน่นตึง เธอปล่อยน้ำตาให้รินไหลเงียบๆ
“จอมเป็นคนหวงของมาแต่ไหนแต่ไร...ปล่อยให้เวลาเยียวยาจอมมันเถอะ ซักวันจอมก็คงกลับมารักลิกาเหมือนเดิม เราเป็นพี่ น้องกันนี่นะ” เสียงปลอบประโลมไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวดีขึ้นเลย เพราะสิ่งที่ได้ยิน ตีกระทบหัวใจของเธอจนระบม เสียงใครบางคนตะโกนจนแสบแก้วหู เสียงนั่นคือเสียงของคนที่ขุนทัพกล่าวถึง แววตาชิงชังทอดมองมายังเธอ กับคำพูดที่เหมือนคมมีด ‘กาฝาก! เธอมันแค่กาฝากลิกา...’