แม่สาวขาโหด Vs พ่อหนุ่มโรคจิต (75%)
ปัง!
หญิงสาวจัดการถ่ายโอนข้อมูลสำคัญเข้าไปไว้ในเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวยังไม่ทันจะครึ่ง ก็มีเสียงเปิดประตูเข้ามาพร้อมปรากฏชายร่างยักษ์ตรงหน้าอีกนับสิบชีวิต
“มีอะไรจะแก้ตัวไหม คุณนักวิทยาศาสตร์” แฟรงค์กดเสียงต่ำคาดคั้น หลักฐานคามือทนโท่ปฏิเสธให้ตายก็ฟังไม่ขึ้น ทว่ายังไงงานนี้ทวิชาก็คงต้องหาทางเอาตัวรอดให้จงได้
“ฉันไม่ได้ทำอะไรนะ” ถึงแม้การยืนกรานแบบกระต่ายขาเดียวจะดูโง่เขลาเบาปัญญา พอๆ กับน่าขัน หากแต่ทวิชาก็เลือกที่จะทำ เพื่อไม่ให้ปฏิบัติการลับของทางตำรวจถูกเปิดเผย
“แล้วคุณเข้ามาในห้องนี้ทำไม” เลขาฯ มาดนิ่งเริ่มขึ้นเสียงเค้นคอ สายตาเย็นชาจับจ้องที่ใบหน้างดงามของเชลยสาวไม่กะพริบ
“เอ่อ…พอดีว่าคอมพิวเตอร์ที่ห้องทดลองมันเสีย ฉันก็เลยเข้ามาใช้ในนี้” หลังจากกระแอมเบาๆ เพื่อลดความประหม่า ทวิชาก็เชิดหน้าโกหกคำโต เรียกเสียงหัวเราะเยาะหยันได้เป็นอย่างดี
“แล้วนี่อะไร อย่าบอกนะว่าคุณไม่ได้กดถ่ายโอนข้อมูล” ตะคอกพลางชี้ปลายนิ้วไปที่แถบการถ่ายโอนซึ่งปรากกฏอยู่บนหน้าจอว่าภารกิจของเธอดำเนินการไปได้เพียงสามสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น
“ฉันไม่ได้ทำนะ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เข้ามาหน้าจอมันก็เป็นแบบนี้แล้ว” หญิงสาวยังคงปฏิเสธด้วยท่าทางหน้าซื่อตาใส แต่กลับไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้อีกฝ่ายเลยสักกระผีกเดียว
“ปากแข็งแบบนี้ ต้องจับตัวไปรับโทษทัณฑ์ให้สาสม” แฟรงค์เค้นเสียงเข้มลอดไรฟัน ก่อนจะส่งสัญญาณทางสายตาให้บอดี้การ์ดร่างยักษ์
ครั้นหญิงสาวจะลองแก้ตัวดูอีกสักครั้ง ทว่ายังไม่ทันจะได้อ้าปาก เพียงชั่วพริบตาคนทั้งหมดก็กรูกันเข้ามาหาเธอ แต่มีหรือสารวัตรทวิชาจะยอมจนตรอกง่ายๆ เมื่อเพิ่งเริ่มแผนการความลับก็มาแตก แม่สาวใจเด็ดจึงต้องเปลี่ยนมาสู้ยิบตา ถอดแว่นหนาเตอะและสลัดคราบสาวเชยทิ้งในทันใด แล้วโค่นลูกน้องของเจ้าพ่อหนุ่มนับสิบชีวิตลงไปนอนสะบักสะบอมอยู่กับพื้นด้วยมือเปล่า ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็ต้องมาพ่ายให้แก่แฟรงค์อย่างหมดรูป เขาสามารถสกัดกั้นทีเด็ดของเธอได้ทุกวิถีทาง เพราะอดีตเคยสังกัดหน่วยนาวิกโยธินมาก่อน แต่ไม่ชอบการทำงานของข้าราชการ จึงผันตัวเองมาเป็นเลขานุการอย่างไม่คิดจะหวนคืน
“เห็นทีเราจะต้องมาดูกันใหม่ ว่าเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักฆ่ากันแน่” หลังจากได้ปะทะฝีมือกันแบบซึ่งๆ หน้า แฟรงค์ก็สรุปได้ทันทีว่า แม่สาวสวยที่เพิ่งสลัดคราบเฉิ่มเชยทิ้งไปไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน ซึ่งเธอก็ไม่ได้ตอบโต้ว่ากระไร ทำเพียงส่งสายตาดุวับ ฮึดฮัด และดิ้นรนต่อต้านจากการโดนจับมือไพล่หลังของบอดี้การ์ดร่างยักษ์อย่างสุดกำลัง
“เอาตัวไปขึ้นรถ” เมื่อน้ำเสียงเฉียบขาดของเลขาฯ หนุ่มกล่าวจบ ลูกน้องร่างยักษ์ก็รีบทำตามเร็วไว ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะเคลื่อนตัวออกไปจากบริษัทด้วยความเร็วปานจรวด จุดหมายปลายทางก็คือคฤหาสน์โบลาโกนี เพื่อนำตัวเชลยสาวจอมพยศไปให้เจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามสุดโหดได้จัดการด้วยตัวเอง
หลังจากให้คนนำตัวแม่นักวิทยาศาสตร์สาวจอมปลอมไปขังไว้ที่ห้องเก็บของเก่าๆ ร่างสูงใหญ่บึกบึนของแฟรงค์ก็พรวดพราดเข้ามาภายในห้องทำงานของฟรานเชเซียส ที่อยู่บนชั้นสามของคฤหาสน์โบลาโกนี โดยไม่ได้เคาะประตูขออนุญาตเช่นเคย เลขาฯ หนุ่มร้อนใจจนลืมนึกถึงมารยาทที่พึงกระทำ
“นายครับ”
คนที่กำลังนั่งหลับตาเอนแผ่นหลังไปกับพนักโซฟาเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด ลืมตาขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกจากผู้เพิ่งก้าวล่วงเข้ามาในห้องทำงานใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงบิดขี้เกียจนิดๆ เพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า แล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานของตน แฟรงค์เองก็ก้าวตามมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผู้เป็นนาย
“ว่าไง ได้เบาะแสแล้วหรือ ว่าไอ้ราฟาลมันไปกบดานอยู่ที่ไหน”
“ไม่ใช่ครับ แต่มีเรื่องด่วนกว่านั้นอีกครับนาย” เลขาฯ หนุ่มรู้ดีว่าเจ้านายร้อนใจเรื่องการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของราฟาลมากเพียงใด แต่ความคืบหน้าก็ยังไม่มีเลยสักนิด
“งั้นมีอะไรก็รีบว่ามา” ร่างสง่าผ่าเผยนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองใบหน้าของเลขาฯ คู่ใจไม่กะพริบ เพราะรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายเสียงเครียดขนาดนี้คงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ผมจับผู้หญิงคนหนึ่งได้ และตอนนี้ก็ขังเธอไว้ที่ห้องเก็บของครับ” รายงานด้วยสีหน้าเครียดจัด เพราะหญิงสาวที่เพิ่งจับได้มีทักษะการต่อสู้เป็นเลิศ เล่นเอาลูกน้องของเขาอ่วมอรทัยไปหลายคน
“แล้วเธอเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ แค่ผู้หญิงคนเดียวทำไมแกต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นด้วย” ยังไม่ทันที่แฟรงค์จะสาธยายให้จบ เจ้าพ่อหนุ่มเลือดร้อนก็แทรกเสียงห้าวห้วนขึ้นมาเสียก่อน ตอนนี้คนที่เขาอยากได้ตัวมากที่สุดคือราฟาล เอลซาวาร์ และไม่คิดว่าอดีตเพื่อนรักจะส่งนางนกต่อมาล้วงความลับในบริษัท เพราะทั้งสองก็รู้อะไรเท่าๆ กัน
“ถึงจะไม่เกี่ยวกับเรื่องไอ้ราฟาลโดยตรง แต่เธอก็ไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน เพราะเธอลักลอบเข้าไปในห้องเก็บข้อมูลลับของบริษัท แถมยังเป็นนักวิทยาศาตร์ที่เราเพิ่งรับเข้ามาทำงาน และถ้านายได้เห็นบางอย่างในกระเป๋าของเธอ นายจะรู้ว่าผมไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด” แฟรงค์มั่นใจว่าเจ้านายจะต้องคิดเหมือนตน ถ้าได้เห็นสิ่งที่หญิงสาวพกมาในกระเป๋าเป้ ซึ่งเธอออกอาการหวงนักหวงหนา
“งั้นไปเอาตัวมาที่ห้องสอบสวน ด่วน!” ห้องสอบสวนที่ฟรานเชเซียสกล่าวถึงถูกสร้างขึ้นในบริเวณชั้นใต้ดินของคฤหาสน์โบลาโกนี ซึ่งเจ้าพ่อจอมอหังการมักจะใช้มันเป็นสถานที่จับเท็จและเค้นคอคนที่กล้ามาล้วงคองูเห่า รวมทั้งลงโทษลูกน้องที่บังอาจทรยศหักหลัง
ร่างอ่อนระโหยโรยแรงเพราะฟาดฟันกับชายฉกรรจ์นับสิบชีวิตอย่างบ้าคลั่งไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ถูกหิ้วปีกมาโยนโครมลงแทบเท้าของเจ้าพ่อหนุ่ม
“โอ๊ย!” เสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก มือเรียวลูบสะโพกตัวเองป้อยๆ ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่โยนเธอลงมาเหมือนเศษซากอะไรสักอย่างด้วยสายตาอาฆาตแค้น
“หึ…หึ” เสียงหัวเราะกลั้วลำคอที่ดังขึ้นเหนือศีรษะ ถึงมันจะไม่ได้กึกก้องกัมปนาทราวกับฟ้าผ่า แต่ก็สามารถเขย่าประสาทของทวิชาได้อย่างมหาศาล เพียงเสียงก็ทำให้เธอเกิดอาการขนลุกซู่ไปทั้งตัว นั่นก็เป็นเพราะพลังอำนาจที่แฝงเร้นมันเปล่งประกายออกมาจากเรือนกายทรงพลังของเจ้าของเสียงนั้น โดยที่เขายังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการเปล่งเสียงเข้าข่มขู่
ก่อนที่หญิงสาวจะตวัดนัยน์ตาขุ่นมองไปยังปลายรองเท้ามันปลาบที่อยู่ตรงหน้า ไล่สายตาขึ้นไปยังช่วงขาเพรียวที่รับกันกับสะโพกสอบ แผงอกที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามหนั่นแน่นดันสาบเสื้อออกมาอวดสายตา ลำคอหนามีเส้นเลือดปูดโปน ช่วงบ่ากว้างดูห้าวหาญทรงพลัง แล้วมาหยุดลงที่ใบหน้าหล่อระเบิดระเบ้อราวเทพบุตรทว่าดุดัน โหนกแก้มสูงแต่ได้รูปรับกับใบหน้า จมูกโด่งคมสัน เหนือริมฝีปากหยักที่กำลังเม้มสนิทมีไรเคราขึ้นประปราย ซึ่งมันก็ดูมีเสน่ห์ชวนมองได้อย่างน่าประหลาด ทั้งที่ทวิชาเกลียดคนหน้าหนวดยังกับอะไรดี แต่ครั้งนี้กลับไม่อาจละสายตาจากใบหน้าคร้ามคมของเจ้าพ่อจอมอหังการ ที่เธอลักลอบเข้ามาในอาณาจักรอย่าง ฟรานเชเซียส โบลาโกนี บุรุษผู้โหดเหี้ยมและเลือดเย็นแห่งปี
“ว่าไงนางนกต่อ สำรวจพอหรือยัง หรืออยากสำรวจทั้งตัว” มุมปากหยักยกขึ้นแสยะยิ้มเหยียดอย่างนึกสมเพชและดูแคลน นี่ถ้ามีโอกาสแม่คุณคงกระโจนเข้าใส่เขาอย่างร่านราคะไปแล้ว
“หยาบคาย!” ตวัดตาวาวโรจน์มองใบหน้าดุดัน แล้วตะคอกกลับไปอย่างไม่พอใจ พยายามข่มกลั้นความอายของตัวเองที่เผลอไปมองเขาด้วยความตื่นตะลึงจนตาค้าง ทวิชาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ชายที่กำลังยืนจังก้าด้วยมาดทระนงองอาจหล่อเหลาไม่ต่างจากเทพบุตรที่หลุดมาจากสรวงสวรรค์ ทว่าในความหล่อกระชากใจนั้นกลับมีขุมอำนาจมืดอันน่าสะพรึงกลัวซ่อนเร้นอยู่
“หยาบคายที่ไหนกันคนสวย ฉันก็แค่พูดไปตามที่เห็น สายตาเธอมันฟ้องซะขนาดนั้นว่าอยากจะเปลื้องผ้าฉันอยู่รอมร่อ แต่ไม่เป็นไร ฉันชินเสียแล้วล่ะ เพราะผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้ฉันก็มักจะเป็นแบบนี้” เจ้าพ่อจอมอหังการไหวไหล่ทรงพลังด้วยท่าทีสบาย พร้อมกับโน้มใบหน้าหล่อเหลาทว่ากวนประสาทและถือดีลงมาพูดใกล้ใบหูบอบบาง ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารินลดต้นคอ ทำเอาทวิชาสะดุ้งเฮือก ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาประชิดกายตั้งแต่เมื่อไร
“ชิ…หลงตัวเอง” หญิงสาวอดที่จะค่อนแคะคนที่เพิ่งพบหน้าด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ นี่พ่อเจ้าประคุณคงจะมั่นใจในเสน่ห์อันล้นหลามของตัวเองมากสินะ ถึงได้ลอยหน้าเหน็บแนมเธอด้วยท่าทางมาดมั่นเสียเต็มประดา
“ขอบอกไว้ก่อนนะสาวน้อย คนอย่างฟรานเชเซียส โบลาโกนี ไม่เคยหลงตัวเอง มีแต่สาวๆ มาหลง หากเธออยากจะพิสูจน์ว่าทำไมสาวๆ พวกนั้นถึงหลงฉันจนโงหัวไม่ขึ้น ก็รอให้ฉัน ‘อยาก’ ก่อนแล้วกัน” เสียงทุ้มบอกด้วยความทระนงตนอย่างร้ายกาจ พลางล้วงกระเป๋ากางเกงยืนแอ็คท่าโชว์ความหล่ออย่างถึงแก่น
คำพูดหยาบคายที่ถูกพ่นออกมาจากปากโอหังในตอนท้ายทำเอาทวิชาเลือดขึ้นหน้า โตมาจากท้องแม่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่เคยมีผู้ชายหน้าไหนกล้าพูดจาหยาบโลนแบบนี้กับเธอมาก่อน หากมีอาวุธอยู่ใกล้มือสาบานได้เลยว่าเขาจะต้องสมองกระจุยเพราะเธอแน่
“ไอ้คนกักขฬะ ทุเรศ…” ตะเบ็งเสียงก่นด่าด้วยความโกรธกรุ่น เขาฉีกทึ้งความอดทนอดกลั้นของเธอให้ขาดวิ่นอย่างไม่มีชิ้นดี มือน้อยถูกรวบเข้าหากันเป็มหมัดแน่นจนเส้นเลือดบริเวณหลังมือนูนเด่นให้เห็น
ใบหน้าหล่อระเบิดของเจ้าพ่อคลังแสงร้อนวาบด้วยเพลิงโทสะ สันกรามได้รูปกระตุกถี่ๆ เกิดมาเพิ่งโดนผู้หญิงตะเบ็งเสียงด่ากราดด้วยถ้อยคำเหลือรับประทานก็วันนี้แหละ
“บังอาจ!” ฟรานเชเซียสตะเบ็งเสียงอย่างฉุนเฉียว พยายามกำหมัดระงับอารมณ์ไม่ให้กระโจนเข้าขย้ำคอแม่สาวปากกล้าใจถึงที่กำลังลอยหน้าท้าทายอำนาจ เจอกันไม่นานเธอก็ยั่วให้เขาประสาทเสียซะแล้ว
“เฮอะ…ฉันจะบังอาจมากกว่านี้อีกหลายเท่า ถ้าแกยังพ่นวาจาไม่ให้เกียรติผู้หญิงออกมาอีก” ทวิชาเบ้ปากแล้วสวนกลับอย่างไม่ครั่นคร้าม ถ้าเธอเกรงกลัวเขาก็ไม่ใช่สารวัตรทวิชา แฟรงคลินท์ แล้ว ท่าทางท้าทายอย่างอวดดีกระตุ้นให้ฟรานเชเซียสนึกอยากจะปราบพยศขึ้นมาครามครัน
“แล้วเธอคิดว่า ฉันควรให้เกียรติผู้หญิงอย่างเธองั้นสิ” น้ำเสียงเยาะหยันขึ้นจมูก พร้อมใช้สายตาดูแคลนจ้องเข้าไปในดวงตากลมโต
“ไอ้…” ทวิชาอ้าปากค้างเมื่อโดนสวนขึ้นก่อนที่จะทันได้ด่าทอเขาอย่างเจ็บแสบ
“เอาล่ะนางนกต่อ ถ้าเธอชื่นชมกับความเป็นชายของฉันจนตาเป็นมันแล้ว ก็มาเข้าเรื่องของเรากันเถอะ ฉันเสียเวลากับเธอมามากพอแล้ว” ชายหนุ่มรีบตัดบทเข้าเรื่องเมื่อชักรำคาญกับเสียงแว้ดๆ ของนางนกต่อแสนสวยทว่าพยศเหลือร้าย
“ฉันไม่เคยมีเรื่องอะไรกับคนอย่างคุณ” สารวัตรสาวเงยหน้าขึ้น แล้วปั้นท่านิ่งตอบอย่างซื่อๆ ไม่ส่อแววพิรุธใดๆ ออกมาให้เขาจับได้
“งั้นก็บอกมาว่า เธอปลอมตัวเข้ามาทำอะไรในบริษัทของฉัน” เจ้าพ่อเลือดร้อนนั่งยองๆ ลงประชิดร่างบาง พร้อมส่งเสียงห้าวกระด้างมารีดเค้น
เมื่อความเงียบงันคือคำตอบ ฟรานเชเซียสก็เอื้อมมือสากไปกระชากปลายคางมนให้หันมาสบสานกับดวงตาสีทองอร่ามที่กำลังเปล่งประกายวาวโรจน์ แล้วลงน้ำหนักมือบีบกรามน้อย พร้อมกับส่งเสียงกระด้างลอดไรฟันมาคาดคั้นเอาความจริงอีกหน
“ว่าไง จะอมขี้ฟันอยู่อีกนานไหม”
ทวิชานิ่วหน้าด้วยความเจ็บบนซีกแก้มทั้งสองข้าง ยิ่งเขาเน้นหนักมากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันจะร้าวระบมและแหลกคามือใหญ่ของเขามากเท่านั้น
เงียบ…
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมากลีบปากที่เอาแต่เม้มสนิท และนั่นก็เหมือนเป็นการกล้าลองดีกับคนอย่างฟรานเชเซียส โบลาโกนี เข้าเต็มๆ เปา ทวิชาเบี่ยงหน้าไปอีกทางอย่างพยศ แววตาของเธอดูไม่กริ่งเกรงต่อพลังอำนาจและความบ้าดีเดือดของเขาเลยสักนิด
‘อ๋อ…คงอยากจะลองของสินะ’ เจ้าพ่อค้าอาวุธโคลงศีรษะไปมาอยู่คนเดียว ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะแสยะยิ้มมาดร้ายที่มุมปากหยัก ทวิชาคิดจะทำเป็นหูทวนลม ใช้ความเงียบสยบความกราดเกรี้ยว แต่เธอคิดผิดถนัด ยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนเพิ่มเชื้อไฟโทสะในกายทรงพลังให้โหมกระพือขึ้นเป็นเท่าทวี
“ดี๊…เอาไปผูกตากแดดไว้ ดูซิว่าแดดเปรี้ยงขนาดนี้ จะทนทำปากแข็งได้ซักกี่น้ำ” น้ำเสียงดุดันทรงพลังออกคำสั่งให้ลูกน้องทำตามอย่างเลือดเย็น ไม่มีความปรานีเจืออยู่เลยสักนิด ทั้งที่กลางสนามแดดเปรี้ยงขนาดนี้ เขายังไม่นึกสงสารผู้หญิงตาดำๆ อย่างเธอแม้แต่น้อย
“ปล่อยฉันนะไอ้พวกชั่ว เศษสวะ…” ทวิชาดิ้นรนสุดชีวิตเมื่อถูกลากถูลู่ถูกังมาที่สนามหญ้าอันกว้างใหญ่บริเวณหลังบ้าน เมื่อถึงจุดหมายชายร่างยักษ์ก็ผลักร่างบางลงไปนั่งจุมปุก