บทที่ 7 เธอหมายความว่าอะไร
“ท่านประธาน ยังไงเธอก็เป็นน้องสาวของคุณนายน้อย น้องสาวภรรยาของคุณนะครับ”
ใบหน้านุ่มนวลงดงามของโอเล่ย์ประดับรอยยิ้มน้อยๆ เป็นครั้งแรกที่ขอความเห็นใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับคนที่ทำผิดอย่างใหญ่หลวง “เอี๋ยนหยู่โรวจิตใจดีขนาดนั้น ไม่สู้รอเธอมาแล้วค่อยจัดการ?”
เซียวเซิ่งกลอกนัยน์ตาเย็นชา มองเงาร่างเพรียวบางที่อยู่ในบึงเงียบๆ ในใจก็มีความรู้สึกซับซ้อนพาดผ่าน
ผู้หญิงที่ไหว้ฟ้าดินกับเขา กำลังรนหาที่ตาย เงียบอยู่ไม่กี่วินาที เขาก็ให้ช่วยเหลือ “ดึงเธอขึ้นมา…”
“กรี๊ด!”
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ ก็ถูกเสียงกรีดร้องแหลมเศร้ารันทดขัดขึ้นมา เซียวเซิ่งใจเจ็บแปลบแปลกๆ ลุกขึ้นยืนทันที
ก็เห็นเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนกระชากเครื่องประดับศีรษะหนักอึ้งแล้วเขวี้ยงใส่ “ท่อนไม้” อย่างแรง “ไปให้พ้น อย่าเข้ามานะ!”
“ท่านประธาน จระเข้ลงน้ำไปกินเธอแล้วครับ!” โอเล่ย์หน้าเปลี่ยนสี หยิบฉมวกขึ้นมาคิดจะปาลงไป แต่ก็หยุดชะงักไป เพราะกลัวว่าจะทำให้จระเข้จากไปไม่ได้ และกลายเป็นยั่วโมโหมันแทน
“โอเล่ย์ ดูเหมือนนายจะเคร่งเครียดไปหน่อยนะ”
เซียวเซิ่งนั่งลงไปใหม่ คาบบุหรี่มวนหนึ่งไว้ในปาก และจุดไฟ พลางพ่นควันบุหรี่ที่สวยงามออกมาอย่างสบายใจ ราวกับเมื่อครู่เขาไม่ได้มีอาการตื่นตระหนก
“ผม…” โอเล่ย์ก็ไม่รู้ว่าทำเด็กสาวที่อยู่ในบึงน้ำถึงได้สะกิดให้ในใจเข้าเกิดความรู้สึกร่วมขึ้นมาได้
“ช่วงเวลาแห่งการทดสอบเธอมาถึงแล้ว” ภายใต้ควันบุหรี่จางๆที่ลอยอยู่ โครงหน้าหล่อเหลาเย็นชาของเซียวเซิ่งก็ยิ่งดูดีขึ้นไปอีก “ถ้าหากมีความสามารถจนเอาชีวิตรอดจากปากจระเข้มาได้ ฉันจะปล่อยเธอไป”
“แต่ท่านประธาน เธอเป็นผู้หญิงอ่อนแอบอบบางคนหนึ่ง…ขอโทษครับ”
เมื่อได้รับแววตาคมกริบจากผู้เป็นนาย โอเล่ย์ก็เงียบเสียงทันที และหันไปมองบึงน้ำ หวังว่าเธอจะควบคุมสติตนเองได้
น้ำเย็นยะเยือก การเคลื่อนไหวของจระเข้เป็นไปอย่างเชื่องช้า ยังฉีกเธอไม่ได้ชั่วคราว
อีกอย่างลางสังหรณ์เขาก็บอกว่า ท่านประธานไม่มีทางให้เธอตาย แค่อยากจะขู่เธอ ให้บทลงโทษเล็กๆที่เธอกล้าสวมรอยเป็นเจ้าสาว
แต่บทลงโทษนี้เท่ากับต้องการชีวิตของเธอ เธอไม่มีทางลืมช่วงเวลาระทึกขวัญนี้ได้ตลอดชีวิต
แค่เมื่อครู่นี้ เห็นว่านั่นไม่ใช่ท่อนไม้ แต่เป็นจระเข้ตัวหนึ่งที่ค่อยๆเข้ามาใกล้ สมองของเธอก็ดัง “วิ้งๆ” รู้ว่าตนเองจบสิ้นแล้ว!
ไม่สู้เข้าพิธีแต่งงานหลังการตาย ดีร้ายยังไงก็ยังเหลือศพในสภาพสมบูรณ์
เวลาชีวิตเหลืออีกไม่นานแล้ว เธอไม่กลัวอีก และแทนที่ด้วยสีหน้าอาฆาตแค้นเข้ากระดูกดำ “เอี๋ยนหยู่โรว พี่ไม่ได้ตายดีแน่!”
เสียงสาปแช่งแหลมเศร้ารันทนทำลายความเงียบในยามค่ำคืน ความทรมานในการรอคอยความตายนั้นทำให้นัยน์ตาเธอทอประกายเกลียดแค้นจนแทบจะพ่นไฟออกมา
“เอี๋ยนหยู่โรว ฉันขอสาปแช่งให้พี่ต่อมไร้ท่อผิดปกติ ตั้งครรภ์เซลล์มะเร็ง มีลูกไม่ได้ตลอดชีวิต ผู้ชายที่แตะต้องพี่ล้วนเป็นเอดส์! แต่งงานวันแรกก็เป็นแม่หม้าย ไร้ลูกหลานสืบสกุลไม่มีความสุขในทุกๆชาติ!”
จะเป็นลม วิธีการด่าแบบนี้แสบสันเกินไปแล้ว!
เหลือบมองสีหน้าเขียวคล้ำของท่านประธานแวบหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของโอเล่ย์เย็นเยียบ มองไปทางเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนอย่างเจ็บปวดใจ
เฮ้อ! เธอเป็นคนที่ดึงดันมุทะลุคนหนึ่งจริงๆ กระทั่งท่านประธานก็ยังด่า ยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหรอ
“นายเห็นนิสัยเธอชัดแล้วสินะว่าเลวร้ายเพียงใด?”
เซียวเซิ่งพลันลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วไปทางโอเล่ย์ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาโหดเหี้ยม “ไสหัวไปให้หมด! คนที่กล้ามุงดูก็ไปเป็นอาหารปลาด้วยกันกับเธอ!”
“ครับ ท่านประธาน” โอเล่ย์มีความเห็นอกเห็นใจยังไง ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งผู้เป็นนาย เมื่อเขาโบกมือ ทุกคนก็แยกย้ายกันหมด
บรื้น!
ทันใดนั้นก็มีรถหรูคันหนึ่งขับเข้ามาจอดนิ่งตรงข้างบึงน้ำ เงาร่างคนสวมชุดแต่งงานสีแดงพุ่งออกมาจากรถ “สามี!”
เห็นว่าผู้มาเยือนคือเอี๋ยนหยู่โรวที่มีจิตใจเมตตา โอเล่ย์ก็ดีใจมาก พลางขยิบตาบุ้ยใบ้ให้เธอไม่หยุด หวังว่าเธอจะช่วยคน
“สามี ฮือๆ…” เอี๋ยนหยู่โรวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไร พลันพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนเซียวเซิ่งแล้วร้องไห้ขึ้นมา
วันแต่งงานถูกคนสวมรอยแทนที่ น้อยใจจะตายอยู่แล้ว
เซียวเซิ่งไม่ได้ปลอบเธอ ยืนแผ่นหลังเหยียดตรง คางเกร็งเขม็ง ไร้ซึ่งสีหน้าอ่อนโยนแม้แต่น้อย หางตาเหลือบมองเงาร่างคนที่อยู่ในน้ำตลอด มือข้างหนึ่งกำหมัดแน่น
“กรี๊ด…” จระเข้อยู่ห่างแค่เอื้อมมือ เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนกุมศีรษะกรีดร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความกลัว ทำให้คนที่ได้ยินขนพองสยองเกล้า
นัยน์ตาเย็นชาของเซียวเซิ่งหดวูบ ดีดนิ้วส่งเม็ดยาสีส้มออกไปเม็ดหนึ่งเงียบๆ เสียง “จ๋อม” ดังขึ้น เม็ดยาตกลงข้างปากจระเข้ จระเข้บ้าคลั่งขึ้นมาทันที…
เอี๋ยนหยู่โรวมองไปทางแม่น้ำตามเสียงกรี๊ด ก็เห็นจระเข้กำลังว่ายอยู่ จึงดีใจมาก
เยี่ยมไปเลย เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจะต้องถูกฉีกกินแน่นอน! ดีใจ แต่เธอต้องแสดงสีหน้าเมตตาออกมา
“กรี๊ด! นั่นมันเสี่ยวเนี่ยนของฉัน เสี่ยวเนี่ยน!”
เธอร้องไห้หัวใจเเตกสลาย ราวกับกลั่นความรู้สึกออกมาได้ในเสี้ยววินาที สองมือกอดเอวสอบของเซียวเซิ่งเอาไว้แน่นแล้วเขย่าไปมา “สามี ปล่อยน้องสาวฉันเถอะนะคะ เธอเพิ่งจะ 21…กรี๊ด มีจระเข้!”
เซียวเซิ่งก้มหน้ามองหญิงสาวในอ้อมแขนที่ตกใจจนสลบไป คิดที่จะอุ้มเธอขึ้นมาในท่าเจ้าหญิงอย่างเคยชิน แต่ก็ชะงักกะทันหัน
“ผู้ชายที่แตะต้องเธอล้วนเป็นเอดส์”
“แต่งงานวันแรกก็เป็นแม่หม้าย”
“ไร้ลูกหลานสืบสกุล…”
ปากร้ายจริงๆ เซียวเซิ่งผลักเอี๋ยนหยู่โรวไปในอ้อมแขนโอเล่ย์ด้วยความหงุดหงิด และเดินจากไปอย่างเย็นชา
เอี๋ยนหยู่โรวที่แกล้งทำเป็นหมดสติตะลึง
สี่ปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเซิ่งปฏิบัติต่อเธออย่างหยาบคาย เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนที่สมควรตาย กลับมาปุ๊บก็ราวกับว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
โอเล่ย์ประคองเอี๋ยนหยู่โรวที่สลบไสลด้วยมือข้างเดียว พลางมองแผ่นหลังของท่านประธานแวบหนึ่ง ที่แอบใส่สีย้อมที่เป็นสีส้มลงไปในบึงน้ำ นั่นเป็นสีและกลิ่นที่จระเข้ กิ่งก่าและสัตว์เลือดเย็นกลัวมากที่สุด
ทั่วทั้งบึงถูกสีส้มและกลิ่นขมปนเปื้อนหนักมาก นี่ทำให้จระเข้ที่กำลังบ้าคลั่งยืนหยัดต่อไปไม่ไหว ว่ายเอาชีวิตรอดกลับไปบนภูเขาจำลอง
เอี๋ยนหยู่โรวที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนบ่าของโอเล่ย์ เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าในสายตาแล้วก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบจะทนไม่ไหวยิงระเบิดศีรษะโอเล่ย์ทิ้งในนัดเดียว!
เสี่ยวเนี่ยนไม่ตาย ถ้าหากว่าเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนถูกเปิดเผยออกมาควรจะทำยังไง
“คุณนายน้อย อ่อ ไม่สิ คุณเอี๋ยน คุณได้สติแล้วใช่มั้ยครับ” โอเล่ย์อุ้มหญิงสาวเดินไปได้สองก้าว ก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรขึ้นมา จึงเอ่ยถามกะทันหัน
เอี๋ยนหยู่โรวตกใจตัวแข็งทื่อ ลนลานปิดตาลง แกล้งทำเป็นหมดสติต่อไป
นัยน์ตาสวยของโอเล่ย์มีประกายสงสัยพาดผ่าน เป็นครั้งแรกที่เริ่มสงสัยความเมตตาของคุณเอี๋ยนคนนี้ว่ามีความจอมปลอมผสมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่
เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว ในที่สุดสวี่เจียนก็ทำงานเสร็จ เตรียมตัวเลิกงาน
เมื่อไปถึงรถ เขาก็ปลดล็อคโทรศัพท์มือถือ เห็นเสี่ยวเนี่ยนไม่ตอบข้อความเขา ก็รู้สึกแปลกๆเล็กน้อย จึงลองส่งข้อความไปว่า [เสี่ยวเนี่ยน พี่เลิกงานแล้ว ทำงานวันแรกราบรื่นดีมั้ย]
รออยู่นาน เธอก็ยังคงไม่ตอบกลับมา
คงจะไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นหรอกนะ เป็นเพราะความคุ้นชินของอาชีพ เขาถึงได้คิดไปในทางร้ายๆอย่างง่ายดาย และตัดสินใจโทรศัพท์ออกไป โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการรบกวนเธอหรือไม่
[ขอโทษค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ]
เสียงเย็นชาราวกับหุ่นยนต์ของหญิงสาวทำให้ใจเขารู้สึกไม่ดี จึงกดโทรไปอีกครั้ง แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
คิ้วกระบี่ของสวี่เจียนขมวดเล็กน้อย ดึงปกคอเสื้อ และเปลี่ยนเป็นโทรหาอูเจินจูทันที
“ฮัลโหล ใครน่ะ” เสียงงัวเงียของอูเจินจูดังลอยมา
“เจินจู เธอไปห้องเสี่ยวเนี่ยนดูว่าเธอกำลังหลับอยู่รึเปล่าที เร็วเข้า!” ชายหนุ่มที่มั่นคงสุขุมมาโดยตลอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงร้อนรน
“เสี่ยวเนี่ยน?” อูเจินจูลูบเด็กน้อยที่นอนอยู่ข้างๆ และเบิกตาโพลง กระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งทันที “เธอไม่ได้อยู่กับพี่หรอ”
“เธอจะอยู่กับ…”
สวี่เจียนชะงัก นัยน์ตาทอประกายเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา “เธอหมายความว่าอะไร?”