บทที่ 3 แม่นางหงส์
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นการลงทุนร่วมเป็นทุนก้อนใหญ่ที่กล้าไม่คิดฝันว่าจะมีทุนสร้างบริษัทเล็กๆ ให้แข็งแรงและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก ภายใน 3 ปี และเมื่ออรรียาเรียนจบจากต่างประเทศ หล่อนขอมาดูบริษัทเล็กๆ ของกล้าเพื่อปรับปรุงให้ยิ่งใหญ่ตามฐานะของพ่อหล่อนแต่กลับมาพบชายหนุ่มฝีปากกล้าสมชื่อทำให้หล่อนโกรธกลับไปอาละวาดกับพ่อ ยื่นคำขาดให้ถอนหุ้นจากบริษัทกล้า ถ้าไม่ถอนหุ้นออกมา หล่อนจะไปอาละวาดบริษัทให้พังทุกวัน
เอื้ออังกูรมีแผนให้กล้าดัดนิสัยลูกสาวตนจึงท้าให้อรรียาไปถล่มบริษัทกล้าให้พังภายในอาทิตย์เดียวถ้าทำได้เขาจะถอนหุ้นทันทีแต่กล้าตอบโต้ความร้ายกาจของอรรียากลับมาทุกครั้งและนับจากวันแรกที่พบจนถึงวันนี้ ความร้ายกาจกลับกลายเป็นความน่ารัก กล้าแอบชอบอรรียาโดยไม่บอกหล่อนให้รับรู้ คนที่รับรู้คือลูกน้องทั้ง 3 คน
อรรียายอมแพ้ไม่ให้พ่อถอนหุ้นจากบริษัทของกล้าและรู้ถึงความต้องการของพ่อตั้งแต่วันแรกที่กลับมาจากอเมริกา พ่อนั่งดูรูปหงสา อรรียาจึงอยากเห็นหน้าหงสาและจะทำทุกอย่างให้หงสาอยู่ห่างพ่อของหล่อนในขณะเดียวกันให้หงสารับรู้ถึงความเจ้าชู้ของพ่อเลี้ยงเอื้ออังกูร หงสารู้โดยไม่ต้องบอกและหล่อนระวังตัวเสมอมากระทั่งถึงทุกวันนี้
หงสาไม่บอกแม่กับปัญหาเรื่องงานที่หล่อนทั้งกลุ้มใจและเครียดจนหลับตาไม่ลง เลยตี 2 มาเกือบ 30 นาที หล่อนยังไม่หลับจึงลุกจากที่นอนไปเข้าห้องน้ำ อยากชงกาแฟดื่มแต่เสียงของบางอย่างหล่นนอกหน้าต่างห้องนอนของหล่อน อาการอยากดื่มกาแฟหายไป หล่อนก้าวยาวๆ ไปที่หน้าต่างด้านตะวันออก แหวกผ้าม่านออก กวาดสายตาฝ่าความมืดลงไปด้านล่างซึ่งเป็นสวนหลังบ้าน มีทั้งต้นไม้ผลและไม้ดอกไม่กี่ต้น สวนหลังบ้านเป็นสวนเล็กๆ เฉพาะเนื้อที่น้อยจึงปลูกของกินได้ไม่มากนัก
“ไม่เห็นมีอะไร หรือมีแต่เรามองไม่เห็น พรุ่งนี้ค่อยลงไปดู นอนดีกว่า”
หญิงสาวปิดม่านหมุนตัวเดินไปที่เตียงนอน เอื้อมมือปิดไฟหัวเตียงยังไม่ทันล้มตัวลงนอน เสียงของหล่นก็ดังขึ้นอีก
“ตุ้บ ตุ้บ”
“อะไรวะ สงสัยค้างคาวกินมะม่วง ชั่งหัวมัน”
หล่อนดึงผ้าห่มคลุมถึงอก พลิกตัวนอนตะแคงหลับตา คราวนี้หลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่กังวลกับงาน ไม่อยากดื่มกาแฟและลืมเรื่องงานไปโดยปริยาย
“แม่นาง เหตุใดจึงลืมบ้านตัวเองเสียได้เล่า บ้านแม่นางงดงามมากรู้หรือไม่ เรือนทรงไทยโบราณ หากแม่นางลืม ข้าจะพาแม่นางไปชมเอง ตามข้ามาเถิด”
“คุณป้าพูดถึงใครคะ หนูเหรอคะ”
“พูดถึงแม่นะซี ไปเถิด ไปชมเรือนของแม่ ไปชมความงดงามที่ไม่มีเรือนใดงามเท่านี้อีกแล้ว ตามมาซี”
“เอ่อ.ค่ะ”
หงสาลุกจากเตียงก้าวตามหญิงวัยกลางคน สวมผ้าซิ่นสีคราม เสื้อคอกลมแขนยาวสีชมพูอ่อน ห่มทับด้วยผ้าสไบสีฟ้าอ่อน ผมรวบมัดเป็นมวยไว้ท้ายทอย รอยยิ้ม กิริยาก้าวเดินนุ่มนวล น่าดู หงสาไม่อยากรู้จักคุณป้าคนนี้ว่าเป็นใครแต่หล่อนก้าวตามไปด้วยอาการงุนงง
คุณป้าสไบสีฟ้าพาหงสาเดินลัดเลาะสวนผลไม้ซึ่งมีทั้ง มะม่วง ส้มโอ ฝรั่ง ละมุด ชมพู่และอีกหลายอย่าง หงสาไม่หยุดชมผลไม้เหล่านั้น เท้าก้าวไม่หยุดกระทั้งพ้นสวนผลไม้ บ้านทรงไทยโบราณปรากฏเด่นชัดในสายตาของหญิงสาว
“นี่อย่างไร บ้านแม่นาง ไปเถอะ ขึ้นไปชมความงามด้านบน เวลามีน้อย แม่นางต้องทำการใหญ่ใช่หรือไม่”
“ค่ะ”
หงสารับคำโดยไม่รู้ว่าการใหญ่นั้นคืออะไร หล่อนก้าวตามคุณป้าขึ้นบันไดไม้ขัดเงาเป็นมันปราบ ราวบันไดฉลุลายไทยอ่อนช้อยจนถึงหน้ามุขชานเรือน
“เชิญเข้าชมด้านในเรือนเถิดแม่นาง”
หงสามองสาวใหญ่สลับกับแหงนมองขึ้นไปข้างบน หน้ามุขบันไดมีประตูไม้แกะสลักลวดลายคนละแบบกับลูกกรงบันได หลังคาเป็นกระเบื้องแผ่นเล็กเรียงซ้อนเป็นระเบียบ ด้านข้างซ้ายขวามุขมีลูกกรงกั้นชานเรือน ลายลูกกรงแกะสลักเหมือนลูกกรงบันได
เพียงแค่มองด้านนอกยังไม่ถึงด้านในของตัวบ้าน ความงดงามโชว์ให้เห็นกระจ่างตาอย่างนี้ หงสาจึงไม่ลังเลจะก้าวตามคุณป้าใบหน้าอิ่มเอิบผู้นี้ขึ้นไปด้านบน ประตูตรงมุขบันไดเปิดออกช้าๆ สาวสูงวัยก้าวผ่านธรณีประตู หันมายิ้มเชื้อเชิญหงสา รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน หญิงสาวก้าวตามรอยยิ้มเชิญ
ไม่มีคำพูดจากปากของคุณป้าอีก นอกจากเดินนำไปยังตัวเรือนใหญ่ซึ่งเป็นตัวเรือนที่ตกแต่งสิ่งของไว้พร้อม ตั่งหน้าตัวเรือน หมอนอิง ผ้าปู ไว้รอต้อนรับแขกมาเยือนบ้านหลังงามหรือปูไว้สำหรับเจ้าของบ้านออกมานั่งเล่นรับลมหรือนั่งรับประทานอาหาร มองได้หลายประเด็นในความคิดของหญิงสาว
“แม่นาง เรือนโบราณหลังนี้เป็นของแม่ หากมิใช่เจ้าของแท้จริงจะพักอาศัยอยู่มิได้ เชิญตามสบายนะ ข้ามีงานค้างอยู่ หากมีสิ่งใดข้องใจ เรียกข้าได้ทุกเวลา”
“คุณป้าชื่ออะไรหรือคะ”
“ข้าชื่อจันทร์ แม่นางไม่ต้องเรียกข้า คุณป้า ดอกจ้ะ เรียกแม่จันทร์อย่างที่เคยเรียกเถิด”
“ไม่ได้หรอกค่ะ หนูไม่ใช่แม่นางอะไรเลย หนูชื่อหงสานะคะ”
“แม่นางหงส์ เป็นแม่นายเรือนหลังนี้ ข้าเป็นแม่บ้านดูแลบ้านและคนงานทั้งหมดแทนแม่นางใหญ่ผู้ล่วงลับไปแล้ว แม่นางหงส์ เชิญตามสบายนะเจ้าคะ ข้าไปละ”
รอยยิ้มของจันทร์ส่งให้หงสาเป็นรอยยิ้มชื่นชม ชอบ รักใคร่ เอ็นดู รวมอยู่ในรอยยิ้มและดวงตาคู่นั้น หงสาส่ายศีรษะอย่างงุนงง พยายามคิดตามคำพูดของป้าจันทร์แต่คิดอย่างไรก็ไม่คล้อยตามและไม่เห็นภาพตัวเองอยู่ในยุคนุ่งซิ่น สวมเสื้อแขนยาว ห่มสไบทับอีกที หรือนุ่งซิ่น ห่มสไบ เป็นผู้หญิงไทยโบราณผ่านเข้ามาในสมองสักครั้ง
ความฉงนเลือนหายไปเมื่อสายตากวาดไปรอบตัว มองทิศใด ตัวบ้านก็อยู่ในสายตา เท้าพาหล่อนก้าวไปเรื่อยๆ ชมตัวเรือนไทย ลายแกะสลักเนื้อไม้ทุกแผ่นด้านนอกห้อง ลูกกรงชานเรือน ระเบียง ด้านหน้าและด้านหลังตัวบ้าน ต้นไม้ต้นใหญ่น้อย ให้ร่มเงา เรียง สลับ พื้นหญ้าถูกตัดเรียบ สวนหลังบ้านน่าเดินเล่นทั้งยามเช้าและยามเย็น
หล่อนชื่นชมความงดงามของตัวเรือน ของแต่งบ้านเป็นพวกตู้ไม้ติดกระจก โชว์ของโบราณ ถ้วย โถ ชาม แจกันและของโบราณที่หล่อนไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน โชว์ให้ชมในตู้และโต๊ะ ทุกมุมของตัวบ้าน หล่อนก้าวเรื่อยๆ ไปทางชานเรือนยาวแล่นไปถึงครัวซึ่งสร้างห่างจากตัวบ้านหลังใหญ่พอประมาณ บันไดใกล้กับเรือนครัวลงสู่สวนหลังบ้าน
หงสาหยุดยืนตรงเชิงบันไดด้านบน เหลียวมองไปทางครัว ไม่มีใครอยู่ในนั้นสักคน บ้านทั้งหลังเงียบจนรู้สึกวังเวง คุณป้าจันทร์หายไปทางไหน บอกเพียงทำงานค้างอยู่ มีอะไรให้เรียกได้ตลอดเวลา หงสาตัดสินใจก้าวลงบันไดโดยไม่เรียกหาจันทร์