ตอน 3
“คุณผู้หญิงขึ้นไปนั่งในรถดีกว่าครับ” เขาเชิญหญิงสาวด้วยน้ำเสียงสุภาพ มิ่งขวัญฟังไม่รู้เรื่อง แค่ดูท่าผายมือไปทางรถยนต์จึงพอคาดเดาได้ไม่ยาก
“อ๋อ...ค่ะ” มิ่งขวัญพยักหน้าตอบรับพร้อมก้าวเข้าไปนั่งตรงเบาะหลัง ด้วยจังหวะหัวใจที่ยังเต้นระส่ำกับเหตุการณ์ นึกชอบการดริฟท์ของพ่อหนุ่มคนนี้ เฝ้ามองใบหน้าชายญี่ปุ่นตัวสูงภูมิฐานด้านข้าง อย่างนึกชื่นชมในความหล่อเหลาดูดีทุกกระเบียดนิ้ว นี่ละมั้งที่เขาเรียกว่าพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอก แต่ที่เธอนั่งอยู่ไม่ใช่ม้าขาวแต่เป็นรถหรูที่สุดเท่าที่เธอเคยสัมผัสมา สมรรถนะคงปราดเปรียวน่าดู ในความคิดของเธอเห็นรถสวยทีไรเลือดในกายรุ่มร้อนไปหมด หากแต่หญิงสาวลดความสนใจเรื่องรถลงชั่วขณะเพราะเรื่องเบื้องหน้านอกตัวรถยังไม่จบปัญหา
แล้วมิ่งขวัญก็ได้มีโอกาสดูการต่อสู้ ในรูปแบบเหนือชั้นกว่าพวกสวะหลายสิบเท่า พวกมันทั้งสาม โดนเตะ ต่อย รวบตัดขา ล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า หยัดยืนขึ้นมาสู้ใหม่ยังถูกคนตัวสูง ทั้งสองจัดการอีกจนได้ ไม่ทันได้กระพริบตาด้วยซ้ำ สี่สวะเดนสังคมล้มแล้วล้มอีก ราวกับพินโบว์ลิ่งโดนลูกกลมๆ กวาดเกลี้ยง พวกมันลนลาน สภาพไม่ต่างกับหมาขี้เรื้อนโดนไล่ตี บ้างคลานบ้างวิ่งหางจุกตูด วิ่งหนีตายลากกันไปจากตรงนั้นไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง
บุรุษภูมิฐานมาดนักธุรกิจผู้นั้นปัดมือ ก้มลงหยิบเสื้อตัวเอง ที่ขว้างลงพื้นก่อนหน้านั้น ตวัดพาดบ่าแล้วเดินกลับมายังรถยนต์คันสวย
“ไม่ได้รับอันตรายใช่มั้ยคุณผู้หญิง” เขาเอ่ยถามด้วยภาษาเดิม น้ำเสียงช่างทุ้มนุ่มละมุนหู เสี้ยวหนึ่งเขาคิดว่า เอยากเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อคุยกับเธอให้รู้เรื่อง แล้วคนสอนภาษาต้องเป็นเธอ ให้ตาย ! เขาคิดบ้าอะไร ไม่ให้คิดได้อย่างไรเล่า ก็เธอสวยมาก หน้าตาจิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกโด่งมน คิ้วโก่งพาดผ่านดวงตากลมๆ ช่างน่ารักเป็นบ้า
“มะ...ไม่ค่ะไม่เป็นอะไร” มิ่งขวัญตอบด้วยภาษาไทย อยากพูดกับเขาภาษาอังกฤษ เกรงว่าจะไม่รู้เรื่องกันไปใหญ่ เพราะต่างคนต่างไม่รู้พื้นฐานภาษากัน รู้อย่างนี้ตอนเรียนเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่สามก็ยังดี ที่สถาบันให้เลือกเรียนสามภาษา เธอเลือกอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ซะนี่ เพราะเห็นว่าครอบครัวของเธอร่วมลงทุนกับนักลงทุนประเทศจีนเรียนไว้เพื่อช่วยงานครอบครัวก็ไม่เสียหาย
สำเนียงภาษาของเขาช่างไพเราะนุ่มนวล ราวกับปุยเมฆ หญิงสาวรู้สึกว่าตนกำลังล่องลอยไปในอากาศ ลืมเรื่องทุกข์ใจที่ก่อเกิดก่อนหน้านั้นเสียสนิท แต่แล้วเธอกลับนึกถึงมันอีก จึงรีบมุดออกจากจากรถทันที
“ขอบคุณมากๆ ที่ช่วย ขอบคุณมากๆ ค่ะ ลาล่ะค่ะ” มิ่งขวัญกล่าวขอบคุณพร้อมกับไหว้ และโค้งให้เขาแบบชาวญี่ปุ่น เธอสับสนในตัวเอง อย่ากล่าวหากันเลยเลือกไม่ถูก ในการทำความเคารพ คนที่ช่วยให้เธอพ้นจากการตกเป็นเหยื่อพวกสวะพวกนั้น
“เดี๋ยวก็เจอพวกมันอีกนะ” เขากล่าวออกไปเพื่อรั้งเธอ ต่อให้สื่อสารกันด้วยภาษาไม่เข้าใจ แต่ว่าเขาอยากรั้งเธอไว้ อย่างน้อยมีโอกาสไปส่งเธอถึงบ้านเพื่อความปลอดภัย ดีกว่าปล่อยไปแล้วพวกเลวนั่นเจอกับเธออีก
ปลายเท้าเรียวชะงัก หันกลับมามองเขา เพราะอยากรู้ว่าเขาพูดอะไร
“เราคุยกันภาษาอังกฤษดีมั้ยคะ” หญิงสาวเสนอทางเลือก
“ดีนะ” เขาได้ยินอิงลิด น่าจะหมายถึงภาษาอังกฤษ จึงเชื่อว่าต้องใช่เขาเลยเห็นด้วย ว่าควรมีภาษากลางๆ สื่อสารกัน “เชิญขึ้นรถก่อน ผมจะไปส่ง ถ้าเจอพวกมันย้อนกลับมาอีก คราวนี้ผมคงหมดโอกาสช่วยคุณ ให้พ้นจากมือพวกมัน เชื่อผมนะ” เขากล่าวด้วยความเป็นห่วงซะยืดยาว
มิ่งขวัญไม่ตอบ แต่ก้าวขึ้นรถซึ่งได้ถูกเปิดประตูรอไว้ คนยืนรอคงจะเป็นพวกบอดี้การ์ด มาดเท่ดีนะ ไม่ต่างกับเจ้านาย ยืนเป็นหุ่นยนต์ขี้ผึ้งมีชีวิต ตรงข้ามกับการต่อสู้ช่างเท่ เด็ดขาด รุนแรง เต็มไปด้วยขุมพลังความเป็นชายนักต่อสู้ “ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณเขาด้วยภาษาอังกฤษ คิดว่าคราวนี้คงรู้เรื่องกัน เมื่อกี้เขายังพูด Yes อยู่เลย แสดงว่าพูดได้ แม้ปกติคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยพูดภาษาต่างประเทศ ยกเว้นพวกนักธุรกิจ ต้องเรียนรู้หลายภาษา เพื่อการทำธุรกิจกับต่างชาติ
ชายหนุ่มเข้ามานั่งในรถข้างหญิงสาว มองเธอผ่านๆ ทั้งหมดแค่เสี้ยววินาทีคือความพินิจ ทุกส่วนด้วยความเงียบขรึม ใจเขาเต้นผิดจังหวะ เพียงทอดมองเรียวขาเนียนที่โผล่พ้นกางเกงยีนขาสั้นสีซีดสมส่วนนั้น อารมณ์อยากเรียนภาษาไทยให้คล่องปรื๋อแล่นขึ้นมาตีตื้นในหัวเลยทีเดียว
“จะให้ไปส่งที่ไหนบอกทางด้วยนะ” คนตัวสูงเอ่ยกับเธอ
“ฉันไม่อยากกลับบ้าน” เธอพูดขึ้นมาไม่ใช่อยากอยู่กับเขา แต่เพราะจิตใจในตอนนี้แย่ยิ่งกว่าภูเขาไฟระเบิดลาวาไหลท่วมร่างซะอีก ไม่อยากกลับไปพบใครๆ ที่บ้าน เกรงปล่อยความอัดอั้นในใจราดรดทุกคนจนบ้านแตกกระเจิง ยามเธอดีแสนดีไม่ต่างจากเจ้าหญิงหากอารมณ์กรุ่นที่สะสมระเบิดคงไม่ต่างจากนิวเคลียลูกย่อมๆ ถ้าได้ไปสงบสตินอกบ้านสักพักคงกลับเข้าบ้านด้วยอาการดีขึ้น
“ช่วยไปส่งฉัน ที่ผับแถวไหนก็ได้ ได้โปรดส่งเสร็จ คุณจะกลับก็เชิญได้เลย ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวขอพร้อมกับกล่าวขอบคุณทิ้งท้าย
“มีเรื่องอะไร” เขาถามซื่อๆ ตรงประเด็น
“คุณกับฉันไม่รู้จักกัน อย่ารู้เรื่องฉันเลยดีกว่า ไปส่งฉันเถอะขอร้อง” เธอไม่สามารถเล่าเรื่องตัวเองให้คนแปลกหน้าฟังได้ นี่ก็แปลกจริงๆ ไม่รู้จักชื่อ แถมคนละภาษาอีกด้วย