บทที่ 9
“ขอโทษที่พูดจาเอาแต่ใจ ข้าไม่เคยมีเพื่อน จึงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง” คุณชายโจวใช้ผ้าสะอาดซับมือของนางจนแห้ง บางจุดมีตุ่มน้ำใส บางจุดเผยเนื้อแดง ๆ ให้เห็น มองดูแล้วน่าเวทนาอย่างมาก
“โอ๊ย!” หลี่ซินเหมยตั้งท่าว่าจะชักมือหนี ทว่าคุณชายเจ้าของแปลงผักกลับคว้าเอาไว้เสียแน่น
“เจ้าต้องอดทนหน่อย” เขาใส่ยาไปพลาง เป่าแผลของนางไปพลาง พอสำเร็จแล้วก็พันแผลให้จนเรียบร้อยดี
“ท่านดูชำนาญในเรื่องการทำแผล ช่วยคนงานในสวนบ่อยหรือเจ้าคะ” ใจของนางอ่อนลงราวกับขี้ผึ้งเหลว หลายปีแล้วที่ไม่ได้รับความเอาใจใส่จากคนรอบตัว พอมีคนทำอะไรให้นิดหน่อยก็รู้สึกราวกับว่าเรื่องนั้นใหญ่เสียเต็มประดา
“แต่ก่อนข้าเป็นแผลเช่นนี้บ่อย เจ้าต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลทั้งเช้าและเย็น กลางคืนเปิดแผลให้สัมผัสอากาศ จะได้หายเร็วขึ้น สองสามวันหลังจากนี้ หากเจ้าสะดวกใจ ก็ให้มาช่วยข้าทำงานในบ้าน ทำบัญชีการค้าขายและบันทึกรายละเอียดการดูแลแปลงผัก แล้วก็ไม่ต้องทำหน้าบูดบึ้ง เพราะข้าไม่ได้บังคับ หากไม่อยากช่วยก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามทำอะไรก็ตามที่ทำให้มือต้องเปรอะเปื้อนหรือเปียกชื้น เข้าใจหรือไม่”
“เหตุใดคุณชายจึงทำดีกับข้า ข้าก็เป็นแค่คนสวนธรรมดา แถมยังขโมยหัวไชเท้าจากแปลงผักของท่านอีก”
“ซินเหมย ถึงเจ้าจะหลอกด่าข้าหลายครั้ง แต่เชื่อเถิดว่าข้าไม่ใช่คนโง่ เห็นมือของเจ้าปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่สตรีที่เคยลำบาก อ่านหนังสือเขียนตำราได้อย่างแน่นอน เรื่องที่เสนอตัวช่วยนั่นก็ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เป็นเพราะต้องการให้เจ้าใช้ความสามารถของตนเองให้ถูกทาง ซินเหมย เจ้าเหมาะกับการช่วยข้าจัดการเรื่องบัญชี จดบันทึก มิใช่ทำสวนตากแดดอยู่ข้างนอกนั่น”
“คุณชายเข้าใจถูกต้องเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ความจริงข้าชำนาญการปลูกสมุนไพรอย่างมาก ส่วนเรื่องพืชผักสวนครัว คงจะต้องใช้เวลาศึกษาอีกสักหน่อย”
“แล้วเหตุใดจึงไม่ลองปลูกสมุนไพรในสวนของข้าดูเล่า”
“ทำเช่นได้หรือเจ้าคะ”
“มีพื้นที่ว่างเหลืออยู่บ้าง ทว่าดินแข็งเหลือเกิน ต้องรดน้ำสักหลายวันแล้วค่อยให้อาเหยียนไปช่วยย่อยดิน เตรียมทำแปลงปลูกสมุนไพร แต่สองสามวันนี้เจ้าไม่ควรทำงานหนัก ทำแค่คัดแยกเมล็ดพันธุ์ หรือดูแลผักในโรงเรือนน่าจะเหมาะสมกว่า”
บุรุษใจกว้างแจ้งว่าแถวนั้นมีบ่อน้ำใสสะอาด คงทำงานไม่ลำบากจนเกินไปนัก
“คุณชาย ท่านทำดีกับข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าไม่มีอะไรตอบแทนท่านหรอกนะเจ้าคะ”
“เจ้าอย่ามองโลกในแง่ร้ายนัก ข้าก็แค่ห่วงกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ ความจริงก็คงต้องสารภาพว่า ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะแกล้งกันเล่นสักหน่อย แต่พอเห็นเจ้าตั้งใจทำงาน ช่วงกลางวันก็พักแค่ครู่เดียวเท่านั้น ข้าจึงไม่กล้าทำให้เจ้าต้องปวดหัวอีก” โจวเล่อเทียนคลี่ยิ้ม หมายใช้มันบรรเทาความไม่พอใจของสตรีตรงหน้า
ทว่าสุดท้ายก็ต้องอารมณ์เสียเพราะสาวใช้ของสกุลหวัง
“คุณชายเจ้าคะ เลยเวลารับประทานอาหารและดื่มยาบำรุงแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวถิง ขยับตัวอย่างคล่องแคล่ว ขัดกับรูปร่างอวบหนาของนางอย่างไม่น่าเชื่อ หลายวันก่อนนางถูกคุณชายดุเพราะคนสวนที่รับเข้าใหม่ จึงยังรู้สึกผูกใจเจ็บอยู่มาก และหากมีโอกาส นางก็ตั้งใจว่าจะเอาคืนให้สาสม
“เสี่ยวถิง มารยาทของเจ้าอยู่ที่ใด มิเห็นหรือว่าข้ากำลังคุยธุระอยู่” โจวเล่อเทียนไม่ค่อยชอบหน้าสาวใช้ที่ส่งมาคอยสอดแนม เขาจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แต่นี่ก็เลยเวลามาได้สักพักแล้วนะเจ้าคะ”
เสี่ยวถิงเถียงพลางจ้องมองหน้าคนงานใหม่ของแปลงผัก แม้นางจะเปื้อนดินโคลนตลอดทั้งตัว แต่ก็ยังพอมองออกว่ามิใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ และเรื่องนี้จำเป็นต้องรายงานต่อคุณหนูของนางโดยด่วน
“เข้าใจหรือยังว่าเหตุใดข้าจึงต้องดุนางอยู่เรื่อย ๆ”
คุณชายหันมายิ้มเจื่อนให้กับหลี่ซินเหมย พร้อมกับโบกมือเป็นเชิงอนุญาต เมื่อนางขอตัวกลับออกไปกินข้าวที่โรงอาหารร่วมกับลูกจ้างของแปลงผัก
โฉมงามหนึ่งเดียวของแปลงผักหลวงนั่งลงข้างอาเหยียน ก่อนจะกินข้าวที่เขาตักแบ่งเอาไว้อย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมของอาหารในบ้านคุณชายโจว กระตุ้นนางให้รู้สึกหิวจนตาลาย หากอาเหยียนมิได้ตักอาหารเอาไว้เผื่อ ก็ไม่แน่ว่านางคงจะเป็นลมล้มพับไปก่อนที่จะเดินเข้าไปตักอาหารได้ทัน หลังจากเคี้ยวข้าวไปได้สักพักหนึ่ง หลี่ซินเหมยก็ถึงกับสะอึก เมื่อนึกถึงเรื่องที่เป็นไปได้เรื่องหนึ่ง
“น้องสาวระวังด้วย”
หนึ่งในคนสวนรีบยื่นน้ำให้กับสาวงามที่กำลังสำลัก ส่วนอาเหยียนนั้นทุบหลังช่วยนางเต็มแรง
“คิดอะไรอยู่ เหตุใดจึงมิระวังจนข้าวเกือบจะติดคอตาย” ผู้ที่อาวุโสกว่าถึงกับเผลอตัวดุเสียงดัง
“เรื่องของเสี่ยวถิงกวนใจข้าอยู่มาก นางดูหึงหวงคุณชาย และไม่พอใจที่ข้าเข้าไปในบ้าน” หลี่ซินเหมยกระซิบ ด้วยทราบดีว่าไม่ควรเอ่ยเรื่องของเจ้านาย ท่ามกลางลูกจ้างจำนวนมาก
“เย็นนี้เลิกงานแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้าที่บ้าน ระหว่างทางเราค่อยสนทนาเรื่องนี้กันต่อ”
พอเห็นว่ามือของหลี่ซินเหมยมีผ้าสะอาดพันอยู่ อาเหยียนจึงพอเดาได้ว่าคุณชาย เรียกนางเข้าบ้านไปเพราะเหตุใด และเพื่อมิให้ความพยายามของคุณชายต้องสูญเปล่า เขาจึงสั่งให้นางไปคัดเมล็ดพันธุ์ผักในโรงเรือนแทนการทำงานในสวน
โฉมงามประจำแปลงผักทราบดีว่า หัวหน้าคนสวนมีธุระที่จะต้องจัดการค่อนข้างเยอะ เพราะคนสวนเกินกว่าครึ่งยังมิค่อยชำนาญงาน อาเหยียนเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายเดือนก่อน คนสวนกว่ายี่สิบชีวิตประมาทเลินเล่อ ไม่ดูแลแปลงมะเขือให้ดี ปล่อยให้แมลงลงจนเกิดความเสียหาย และนั่นทำให้นายท่านโจวหงเหลียงไล่ผู้ที่ดูแลแปลงมะเขือออกจนหมด
