บทที่ 3 ชะตาหวนคืน Part 1
ซ่างเยว่เดินตามมารดามาขึ้นรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูเรือน ทว่าในตอนที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าก็เห็นว่ามีดรุณีน้อยวัยใกล้เคียงกับตนกำลังเกาะขอบกำแพง แอบมองมาที่นางด้วยแววตาเศร้าหมอง
ซ่างเยว่ชะงักไปเล็กน้อย หวนนึกไปถึงเรื่องราวในชาติก่อน ซ่างยู่เหยียนผู้เป็นน้องสาวไม่เคยได้ออกไปจากนอกประตูเรือนเลยสักหน ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมาเต็มตื้นในหัวใจ หลังจากที่ชีวิตพบเจอแต่ความอัปยศอดสูจากชาติก่อนก็ทำให้ตระหนักได้ว่า ไม่ควรมอบชีวิตเลวร้ายให้ผู้อื่น โดยเฉพาะกับน้องสาวของตน
"เยว่เอ๋อร์ เจ้าจะไปไหนน่ะ" ป๋ายเยว่หลันร้องเรียกบุตรสาว เมื่อเห็นนางเดินไปยังขอบกำแพงเรือน ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมจูงมือของสตรีผู้หนึ่งมาด้วย
"ท่านแม่ ข้าขอพาน้องสาวไปงานนี้ด้วยนะเจ้าคะ"
ป๋ายเยว่หลันในวันสามสิบหก ทว่าดวงหน้ายังคงความงามราวกับสตรีวัยกำดัดทอดสายตามองร่างบางของบุตรสาวของอนุหลิน ศัตรูตัวฉกาจของตนที่กำลังยืนตัวสั่นก้มหน้างุด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา
"แม่ไม่อนุญาต" นางกล่าวเสียงเรียบก่อนจะเชิดหน้าขึ้น
"ทำไมล่ะเจ้าคะ ในเมื่อนางก็เป็นบุตรสาวของท่านพ่อเช่นเดียวกับข้า"
"ไม่จำเป็นหรอก หากพาไปด้วยมีแต่จะขายขี้หน้าเปล่าๆ"
ซ่างเยว่รู้ว่ามารดาหมายถึงเรื่องใด นางหันไปมองซ่างยู่เหยียนที่อยู่ในชุดอาภรณ์ตัวเก่าซอมซ่อ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง
"ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งเค่อ (15 นาที) รีบพานางไปเปลี่ยนชุดที่ห้องของข้า หาชุดสวยๆ เครื่องประดับดีๆ ใส่ให้นาง"
วาจาของซ่างเยว่ทำให้ผู้เป็นแม่หันกลับมามองด้วยสายตาไม่พอใจ
"เยว่เอ๋อร์ ไม่ได้ยินที่แม่พูดหรือไง แม่ไม่อนุญาตให้นางไปด้วย"
"ได้เจ้าค่ะ หากท่านแม่ไม่อนุญาตให้น้องสาวไปด้วย ข้าก็จะไม่ไปเช่นกัน" ซ่างเยว่กล่าวอย่างดื้อดึง มือบางจับมือของซ่างยู่เหยียนแน่นไม่ยอมปล่อย
"เยว่เอ๋อร์!"
"ฮูหยินใหญ่ใจเย็นๆ ก่อนเถิดเจ้าค่ะ" จางโซว่ บ่าวรับใช้อาวุโสข้างกายของป๋ายเยว่หลันรีบเข้ามาห้ามทัพ
"ดูนางสิ ข้าเป็นแม่ของนางแท้ๆ แต่นางกลับเห็นคนอื่นดีกว่าข้า"
ป๋ายเยว่หลันเอ่ยด้วยความน้อยใจ ตั้งแต่เล็กจนโตซ่างเยว่ไม่เคยขัดใจนางสักหน แต่เหตุใดคราวนี้ นางกลับเปลี่ยนไปเช่นนี้เล่า
"ฮูหยินใหญ่อนุญาตให้นางพาคุณหนูเยียนเอ๋อร์ไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ ครั้งนี้ยอมๆ ไปก่อน หาไม่เช่นนั้นจะเสียการเสียงานได้นะเจ้าคะ"
จางโซว่รู้ดีว่างานนี้สำคัญมากแค่ไหน จึงเอ่ยเตือนสติเจ้านาย
"ก็ได้ แม่ยอมก็ได้แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ"
"เจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่"
ซ่างเยว่กล่าวขอบคุณมารดา ก่อนจะหันไปสบตากับซ่างยู่เหยียนที่ยืนยิ้มกว้างด้วยความดีใจ จากนั้นก็ดึงมือของน้องสาวให้เดินตามไปที่ห้อง
หารู้ไม่ว่าอีกฟากหนึ่งของเรือนมีใครบางคนกำลังแอบมองดูเหตุการณ์นี้อยู่ตั้งแต่ต้น หลินหลานตี้ถอนหายใจออกมาเบาๆ นางไม่รู้เลยว่าเกตุใดซ่างเยว่ถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่อาจไว้ใจสองแม่ลูกร้ายกาจผู้นี้ได้หรอก
สองฟากฝั่งของถนนเต็มไปด้วยบรรดาเหล่าชาวเมืองที่ยืนรอต้อนรับขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ซึ่งได้ข่าวว่าตอนนี้กำลังเดินทางมาจนใกล้จะถึงประตูเมืองแล้ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นรื่นเริง
ป๋ายเยว่หลันดึงมือบุตรสาวที่กำลังทอดกายเดินเอื่อยๆ ราวกับต้องการประวิงเวลาให้เดินตามมาอย่างรวดเร็ว ท่าทางไม่รีบไม่ร้อนของซ่างเยว่ทำให้คนเป็นแม่รู้สึกขัดใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะพากันไปหยุดยืนอยู่หน้าแถวขบวน ใบหน้างามของนางเหยียดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีบุตรสาวตระกูลใดที่มีความงามเทียบเท่ากับซ่างเยว่ได้เลยสักคน
ยกเว้นก็แต่...
"ซ่างเยว่"
"ไป๋ฝูอี้" ซ่างเยว่เรียกชื่อสหายรักด้วยความดีใจ ไป๋ฝูอี้เห็นนางยืนอยู่จึงรีบวิ่งมาทักทาย
ป๋ายเยว่หลันมองดรุณีน้อยหน้าตางดงามก่อนจะส่งยิ้มไปให้เล็กน้อย
"วันนี้เจ้าช่างงดงามมากเหลือเกิน"
"ขอบใจนะ"
ซ่างเยว่ส่งยิ้มให้หญิงสาว ส่วนลึกในใจมีความรู้สึกผิดเคลือบอยู่ เป็นนางที่ผิดเอง ที่มัวแต่ริษยาไป๋ฝูอี้ที่เฉินฮ่าวหรานหลงรักนาง ทั้งๆ ที่เรื่องของความรักมันบังคับกันไม่ได้
หากไม่ทะเลาะกันเรื่องผู้ชาย นางก็คงไม่ต้องเสียเพื่อนรักอย่างไป๋ฝูอี้ไป แต่ในชาตินี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว หากเฉินฮ่าวหรานมีใจให้ไป๋ฝูอี้จริง นางก็จะไม่ขัดขวาง แถมยังมีความปรารถนาดีที่จะช่วยผลักดันให้ความรักของคนทั้งคู่สมหวังด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซ่างเยว่ก็ส่งยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า ทว่าพูดคุยกันไปได้สักพักเสียงดนตรีก็ดังขึ้น