ศาลเจ้าหลงซาน
อวี้เสวี่ยหนิงยืนจัดข้าวของเตรียมพร้อมกับหันไปมองหลินจื่อเฟยที่ยืนอยู่ข้างกัน แต่ตอนนี้สหายของนางดูอึดอัดเล็กน้อย มองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาทางเลี่ยงอย่างไรอย่างนั้น
“อาเฟย ไปกับข้าเถอะ ข้าไม่อยากไปคนเดียว”
หลินจื่อเฟยชะงักนิดหน่อย ก่อนจะสบตาและแสร้งถอนหายใจเสียงเบา “อาหนิง ข้าพึ่งนึกได้ว่าข้ายังต้องเตรียมของอีกหลายอย่างนะ… เสบียงหรืออุปกรณ์ก็ยังไม่ครบเลย”
อวี้เสวี่ยหนิงแอบขำเล็กน้อย เพราะเห็นความกังวลที่ร่างบางพยายามซ่อนแต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ซ่อนไม่มิด
“เจ้ากลัวผีล่ะสิ หลินจื่อเฟย?” อวี้เสวี่ยหนิงยิ้มอย่างรู้ทัน หลินจื่อเฟยสะดุ้งเล็กน้อย รีบหัวเราะกลบเกลื่อน พลางกอดอกและทำหน้าครุ่นคิด
“ใครว่าข้ากลัว ข้าก็แค่…ไม่ชอบอากาศหนาว ในป่าอากาศหนาวจะตายไป เจ้าไม่หนาวหรือสหาย”
อวี้เสวี่ยหนิงส่ายหัว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะล่งหน้าไปก่อน เจ้าเตรียมตัวเสร็จเมื่อไหร่ก็ตามข้ามาก็ได้”
หลินจื่อเฟยยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตามสหายไป “ได้เลย อาหนิง ไว้ข้าเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่จะตามไป…” แต่ในใจนั้นนางกำลังแอบขอโทษขอโพย
“ข้าน่ะกลัวผีจะตาย ข้าไม่ยอมเดินป่าเด็ดขาด นั่งเล่นหมากล้มกับชาวบ้านอยู่ที่นี่ยังจะสนุกกว่าอีก แถมหญิงแกร่งอย่างเจ้าก็ไปคนเดียวได้สบายอยู่แล้ว”
อวี้เสวี่ยหนิงย่ำเท้าลงบนทางดินในป่าทึบ ตาคมจ้องมองตรงไปข้างหน้า ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาเปล่งประกายอย่างท้าทาย
ยิ่งเข้าใกล้ศาลเจ้า บรรยากาศก็ยิ่งอึมครึม ต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบนางทุกด้าน บรรยากาศเงียบสงัดจนกระทั่งเสียงบางอย่างดังขึ้นจากทางด้านหน้า
เสียงกรีดร้องแหลมเสียดหูนั้นดึงความสนใจของอวี้เสวี่ยหนิง นางรีบเร่งฝีเท้าจนไปถึงป่าที่อยู่ด้านหน้า ทมีหญิงสาวนางหนึ่งกำลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนล้อมอยู่ เสื้อผ้าอาภรณ์กำลังถูกดึงทึ้งอย่างไม่ใยดี
“อย่าดิ้นหนีเลยโฉมสะคราญ! เจ้าคนเดียวคิดว่าจะสู้พวกข้าไหวหรือ?”
หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อสะบัดตัวออก แต่โจรอีกคนคว้าแขนของนางไว้ได้ทัน นางส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ น้ำเสียงสั่นกลัวอย่างชัดเจน
อวี้เสวี่ยหนิงเห็นดังนั้นจึงรีบพุ่งเข้าไป “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”
โจรหันมาเจออวี้เสวี่ยหนิงก็หัวเราะเยาะ ไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด “เจ้าอยากเล่นกับพวกข้าด้วยหรือ มาสิพวกเรากำลังมีอารมณ์กำหนัดอยู่พอดี!”
อวี้เสวี่ยหนิงไม่พูดตอบ แต่ตวัดมือไปจับด้ามกระบี่และฟันออกไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในโจรเผลอเข้ามาใกล้เกินไปจนถูกฟันเข้าที่ไหล่ล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
“เจ้า! กล้าทำร้ายพวกข้ารึ?!”
เขาไม่ทันได้ทำอะไรต่อ อวี้เสวี่ยหนิงก็พุ่งเข้ามาแทงที่แขนของเขา ทำให้โจรพวกนั้นตัดสินใจหนีไป เหลือไว้เพียงหญิงสาวที่นั่งทรุดอยู่บนพื้นหญ้า
อวี้เสวี่ยหนิงหันไปหาหญิงสาวที่ล้มลง พลางถามด้วยความห่วงใย “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
หญิงสาวตรงหน้ามองตอบด้วยสายตาประหลาดใ ก่อนพยักหน้า “ขอบคุณแม่นางมาก ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้าแล้ว”
อวี้เสวี่ยหนิงยิ้มเล็กน้อย ขณะช่วยประคองหญิงสาวให้ยืน หญิงสาวยิ้มตอบก่อนแนะนำตัว
“ข้ามีนามว่าม่อหลี่ แล้วท่านล่ะ?”
“ข้ามีนามว่าอวี้เสวี่ยหนิง ป่านี้อันตรายยิ่งนักข้าว่าเจ้ารีบออกไปเถอะ ตัวข้าพอมีวิชากระบี่จึงไม่ลำบากนัก แต่เจ้าน่ะ…”
“ขอบคุณมาก ท่านคือผู้มีพระคุณของข้า แม่นางเสวี่ยหนิง เช่นนั้นข้าจะเล่าตำนานหินศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านฟังเป็นการตอบแทนดีไหม?”
“หินศักดิ์สิทธิ์? หินอะไรหรือแม่นางม่อหลี่?” อวี้เสวี่ยหนิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ม่อหลี่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หินนี้ว่ากันว่าอยู่ในเขาหลงซานของท่านมังกรแห่งทิศประจิม เชื่อกันว่ามีพลังดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล หากใครทำพิธีขอพรกับหินนี้ เมืองของพวกเขาก็จะไม่ประสบภัยแล้งอีกต่อไป”
คำพูดนั้นทำให้อวี้เสวี่ยหนิงสนใจ นางรู้สึกท้าทายจนตัวสั่นแต่ก็พยายามเก็บอาการซ่อนความรู้สึกไว้ ไม่ให้แสดงถึงความอยากรู้อยากเห็นจนเกินไป
“เช่นนั้น ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก แม่นางม่อหลี่ หนทางข้างหน้าช่างอันตราย แต่ถ้าเดินตรงไปอีกนิดจะเจอกับถนนสายหลัก แถวนั้นมีชาวบ้านเดิมไปเดินมามากมาย เจ้าจะปลอกภัยถ้าไปทางนั้น” อวี้เสวี่ยหนิงกล่าว ก่อนทั้งสองจะโบกมือลากัน
อวี้เสวี่ยหนิงเดินหายเข้าไปในเส้นทางที่ลึกขึ้นในป่า ขณะที่ม่อหลี่หันกลับดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงสดวาว และรอยยิ้มแสยะปรากฏบนใบหน้า “รออีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น…”