ท้าทาย
ในตอนนี้เมืองไป๋หลินกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ภัยแล้งย่างกรายเข้ามาใกล้ น้ำในแม่น้ำลดลงจนเหลือเพียงริ้วเล็ก ๆ ที่ไหลเอื่อย ผู้คนเริ่มกังวลว่าผลผลิตในฤดูถัดไปจะล่มสลาย
ชาวบ้านต่างพากันกระซิบกระซาบว่าอาเพศครั้งนี้เกิดจากพิธีบวงสรวงเทพวารีที่ถูกทำลายโดยอวี้เสวี่ยหนิง ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าข่าวลือจะจริงหรือไม่ ชาวบ้านก็ได้พากันเชื่อมโยงอาเพศทั้งหมดกับการกระทำของหญิงสาวเข้าให้แล้ว
เช้าวันหนึ่ง อวี้เสวี่ยหนิงจำใจเดินออกมาในตัวเมืองตามคำขอของบิดา ใจจริงนางไม่ได้อยากมา แต่เมื่อบิดาอ้อนวอนให้นางมาช่วยชาวบ้านที่กำลังเผชิญกับภัยแล้ง หวังให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างนางกับพวกเขา หญิงสาวจึงยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อมาถึงอวี้เสวี่ยหนิงก็พยายามเขาหาชาวบ้าน หวังว่าจะทำให้ชาวบ้านรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
นางเดินเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับผู้คน หวังจะช่วยแบ่งเบาภาระหรือหาทางออกให้พวกเขา แต่ทันทีที่ชาวบ้านเห็นหญิงสาวก็พลันพากันถอยหนี บางคนหลบสายตา บางคนเร่งเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
“อวี้เสวี่ยหนิง นางมาทำอะไรอีก?”
ชาวบ้านต่างพากันจ้องมองนางด้วยสายตาหวาดระแวงราวกับนางเป็นปีศาจที่อาจทำลายสิ่งใดที่ขวางหน้า
ทันใดนั้นเอง นางก็เดินไปชนแผงขายผลไม้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้ผลไม้หล่นกระจัดกระจาย แม่ค้าร้องออกมาอย่างตกใจ รีบก้มเก็บผลไม้ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
"โอ๊ย! แม่นางอวี้! ขอร้องหล่ะอย่าเข้าใกล้ร้านของข้าอีกเลย พังสิ้นไปหมดแล้ว!"
หลังคำพูดของแม่ค้าชาวบ้านที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างขยับถอยห่างขึ้นไปอีก อวี้เสวี่ยหนิงคือตัวปัญหาที่ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แม้จะเป็นบุตรสาวเจ้าเมือง แต่ชาวบ้านต่างปฏิบัติกับนางราวกับเป็นตัวร้ายที่ไม่สมควรมีอยู่ในในโลกใบนี้
ไม่ใช่เพียงเพราะพิธีบวงสรวงเจ้าวารีที่นางเคยทำพังไป แต่เพราะทุกครั้งที่นางพยายามช่วยงาน มักเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นเสมอ
ข้าวของเสียหายบ้าง ภาชนะตกแตก หรือกระทั่งบ้านเรือนบางหลังพังลงเมื่อมีนางเข้าไปเกี่ยวข้อง
อวี้เสวี่ยหนิงมองไปรอบๆ พลางถอนหายใจอย่างปลงตก รู้ดีว่าไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ชาวบ้านก็ยังคงมองนางเป็นตัวปัญหาและไม่อาจลดความกลัวที่มีต่อนางได้
ระหว่างที่อวี้เสวี่ยหนิงเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่นั่นเอง เสียงของคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งรวมกลุ่มพูดคุยกันบริเวณริมแม่น้ำก็ดึงดูดความสนใจของนาง
“เจ้าเคยได้ยินตำนานของศาลเจ้าหลงซานหรือไม่?” เสียงของชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า
“ที่ลึกเข้าไปในป่าฝั่งทิศตะวันตกใช่หรือไม่? ข้าเคยได้ยินว่ามันเป็นที่สถิตของมังกรทิศประจิมผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีพลังในการควบคุมน้ำและหมอก หากใครไปกราบไหว้ ขอพรอย่างจริงใจ มังกรอาจจะช่วยดลบันดาลให้ฝนตกลงมาได้” ชายชราอีกคนตอบกลับ ดวงตาของเขามองไปยังฝั่งทิศตะวันตกของป่า
อวี้เสวี่ยหนิงมองชายชราที่พูดท้าทายด้วยแววตาเย้ยหยันเล็กน้อย ริมฝีปากของนางกระตุกยิ้มเบา คำพูดเหล่านี้ทำให้อวี้เสวี่ยหนิงแค่นหัวเราะในใจ
“ศาลเจ้าหลงซานอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามังกรมีจริง จะให้ข้ากราบไหว้ขอพรเหมือนพวกเจ้าก็คงไม่มีวัน” นางพึมพำด้วยน้ำเย้ยหยัน
ชายชราเลื่อนสายตาจากทิศทางของศาลเจ้ามาหยุดที่อวี้เสวี่ยหนิง จากนั้นจึงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา
“เจ้าว่าศาลเจ้าหลงซานเป็นเพียงเรื่องเล่าไร้แก่นสาร แต่นั่นก็เพราะเจ้าไม่มีความกล้าพอที่จะไปทดสอบด้วยตนเองต่างหากล่ะ หรือว่าเจ้ากลัวว่าตำนานจะกลายเป็นจริงขึ้นมา?”
อวี้เสวี่ยหนิงยืดคอตรง ดวงตาสีอำพันของนางจ้องกลับไปด้วยความมุ่งมั่น “ท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้าแค่ไม่คิดหลงงมงายในสิ่งไร้สาระเช่นนี้!”
นางแค่นหัวเราะพร้อมยกคางขึ้นสูง “ท่านคิดว่าข้ากลัวหรือ? ก็แค่ศาลเจ้าลึกลับกลางป่า ข้าไม่กลัวเรื่องพวกนั้นหรอก”
ชายชราแสยะยิ้มก่อนกล่าวเพื่อจี้จุดในใจของอวี้เสวี่ยหนิง
“หรือว่าเจ้ารู้อยู่ในใจว่ามังกรแห่งทิศประจิมน่ะมีจริง… และบางทีเขาอาจจะยังคงโกรธแค้นเจ้า ที่บังอาจลบหลู่และทำลายพิธีศักดิ์สิทธิ์ เจ้ากล้าพอจะไปหาและขอขมามังกรหรือไม่ล่ะ?”
ข้าไม่เชื่อว่าเรื่องพวกนี้เป็นจริง ข้าจะพิสูจน์ให้คนอย่างท่านเห็นว่ามังกรหรือเทพเจ้าไม่สามารถข่มขวัญข้าได้
อวี้เสวี่ยหนิงสบตาชายชรา “ได้ ข้าจะไปศาลเจ้าหลงซาน ทุกคนจะได้รู้เสียทีว่าไม่มีมังกรหรือเทพเจ้าหน้าไหนที่สามารถช่วยมนุษย์ได้จริง!”