บท
ตั้งค่า

แม่แพะกับลูกแกะ (1)

ภายในบ้านไร้เสียงของผู้คนเนื่องจากต่างก็ออกไปทำธุระของตนเอง พ่อและปู่ไปทำงาน ส่วนอีกสี่คนก็ไปหาญาติผู้ใหญ่ของฝั่งแม่ แน่นอนว่าเธอไม่ถูกเชิญ หรือถึงเชิญก็ไม่ไปอยู่ดี เธอไม่ได้เป็นอะไรกับแม่ใหญ่ ก็แค่ลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงเท่านั้น

ที่จริงแม่เธอควรอยู่ในฐานะแม่ใหญ่มากกว่าเพราะมาก่อน ไม่รู้ทำไมน้อง ๆ ถึงถูกสอนให้เรียกแม่ของฉันว่าแม่เล็ก และเธอกลับถูกสอนให้เรียกแม่เลี้ยงว่าแม่ใหญ่ ในส่วนของพ่อก็เรียกอย่างไทย ต่างกับน้อง ๆ ที่เรียกแบบจีน สรุปแล้วก็คือเธอมักจะถูกทำให้แปลกแยกอยู่เสมอ และเมื่อนานวันเข้ามันก็กลายเป็นเรื่องปกติ

ศีรษะทุยสะบัดไปมาเพื่อทิ้งความคิดอื่น ๆ ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะแอบเข้าไปในห้องของบิดาเพื่อที่จะได้ไขข้อสงสัยสักทีว่าอะไรอยู่ในลิ้นชัก เธอมองไปรอบ ๆ เพราะในบ้านหลังนี้ไม่ได้มีแค่คนในครอบครัว แต่ยังมีแม่บ้านอีกหนึ่งคน มัทรีหันซ้ายแลขวาเพื่อดูว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในระยะสายตา เมื่อมั่นใจว่าแม่บ้านไม่ได้อยู่แถวนี้จึงรีบย่องเข้าห้องของบุพการีอย่างไม่รอช้า จากนั้นก็ตรงไปยังโต๊ะทำงานและจัดการเปิดลิ้นชักนั้นทันที

ราวกับพ่อรู้ว่าเธอจะแอบเข้ามา เพราะมันดันล็อกไว้ แต่เธอก็ไม่ได้เข้ามาโดยไม่คิดถึงกรณีนี้ จึงใช้กิ๊บติดผมที่พกมาด้วยทำการสะเดาะกุญแจ ไม่นานนักก็เปิดออกในที่สุด นัยน์ตาหวานจ้องมองของที่อยู่ด้านในด้วยความสงสัย ก่อนจะคว้ามันมาถือไว้แล้วเปิดอ่านอย่างถือวิสาสะ

‘วันนี้เป็นวันแรกที่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านหลังใหญ่ดีแต่ไม่อบอุ่นเท่าไรนัก ตอนแรกคิดว่าจะได้นอนห้องเดียวกัน แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะแม่สั่งให้ป้าแจ่มจัดห้องไว้ให้ ก็ยังดีที่ได้อยู่ชายคาเดียวกัน ตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้วแต่พี่เดชยังไม่กลับมา ๓ กันยายน ๒๕๔๕’

‘สวนของที่นี่นั้นน่าประทับใจมาก เมื่อเช้าก็ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะได้ออกไปสูดอากาศ พอดีกับที่ดอกจันทน์กะพ้อออก พอเห็นอย่างนี้ก็คิดถึงที่บ้านขึ้นมาเลย และหวังว่าการดมกลิ่นหอม ๆ จะส่งไปถึงลูกในท้อง ลูกคงได้กลิ่นนี้เหมือนกัน มันหอมมาก ลูกน่าจะชอบ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๕’

‘เมื่อวานเป็นวันเกิดของลูก แต่แม่เหนื่อยเหลือเกินเลยไม่ได้เขียนไว้ อย่างที่คิดไว้เลยว่าลูกต้องเป็นเด็กที่น่ารักที่สุดในโลก ขอบคุณที่ลูกเกิดมาบนโลกใบนี้ แม่สัญญาว่าจะดูแลหนูให้ดีที่สุด และแม่หวังเป็นอย่างมากว่าลูกเองก็จะดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกของแม่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๖’

มัทรียืนอ่านไดอารีของแม่ไปเรื่อย ๆ แต่ก็ค้นพบว่ามันมีถึงสามเล่ม จึงเอื้อมมือไปหยิบอีกสองเล่มมาถือไว้ จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกแล้วเข้าห้องตัวเองอย่างไม่รอช้า ก่อนจะล้มตัวลงนอนพลางอ่านไดอารีไปด้วย

มันทำให้เธอได้รู้จักแม่มากขึ้น ได้รู้ว่าแม่ต้องพบเจอเรื่องราวอะไรมาบ้าง เหมือนว่าคนเป็นลูกอย่างเธอได้อยู่ดูแม่ของตนเติบโตอย่างไรอย่างนั้น มันทั้งมีความสุข เสียใจและเจ็บปวด ที่ย่ามักจะด่าทอแม่โดยหาว่าแม่ตั้งใจจะจับผู้ชาย ซึ่งผู้ชายที่ว่าก็คือพ่อของเธอ

เธอได้รู้ว่าแม่ชอบฟังเพลงแนวไหน ชอบเรียนวิชาอะไร หนังที่ชอบดู อาหารจานโปรด สถานที่ที่ชอบที่สุด ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดสำหรับโลกของเธอ แต่ต้องยอมรับเลยว่าไดอารีไม่สามารถตอบคำถามที่ค้างคาใจได้หมดทุกข้อ

เด็กสาวยังคงสงสัยความเป็นมาของความสัมพันธ์ที่ดูผิดปกติ ทำไมการมีลูกด้วยกันมันถึงดูไม่ใช่ครอบครัวขนาดนี้ ทำไมพ่อไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่ หรือไม่ก็รู้แต่ไม่บอก ทำไมพ่อดูไม่รักแม่เลยสักนิด ในนี้บอกว่าพ่อแทบจะไม่คุยกับแม่เลย และหลังจากที่แม่ออกจากบ้านหลังนี้ก็คงจะแต่งงานกับแม่ใหญ่ในตอนที่ผ่านไปไม่นานมาก ไม่อย่างนั้นภาสกรคงไม่เป็นน้องต่างแม่ที่อายุไล่เลี่ยกัน

เท่าที่อ่านมาเธอรู้สึกเห็นใจแม่เป็นอย่างมากที่ไปรักคนที่เขาไม่รักเรา แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมีเธอได้ในเมื่อพ่อไม่รักแม่

มัทรีไม่อยากคิดเรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่าเธอก็เกิดมาแล้วและพ่อก็เป็นพ่อของเธอ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จู่ ๆ พ่อก็มักจะเข้าไปนอนในห้องแม่ เดิมทีก็คิดว่าพวกเขาเริ่มหวั่นไหวกันแล้วหรือเปล่า เด็กสาวถึงกับหลุดยิ้มออกมา แต่แล้วก็พบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

แม่รักพ่อฝ่ายเดียวจริง ๆ เพราะพ่อให้แม่ไปนอนที่พื้น ส่วนตัวเองก็นอนบนเตียง อ่านมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับบิดาของตน ตั้งแต่เพิกเฉยต่อสิ่งที่แม่ถูกกระทำจากย่าแล้วยังใจร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ แค่ปกป้องภรรยาตัวเองยังไม่คิดจะทำ

เธอมีพ่อแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม

โลกแบ่งคนเราเป็นสองประเภท หนึ่งคือคนที่อยากแต่งงานกับคนที่นิสัยเหมือนพ่อ สองคือคนที่จะไม่มีวันแต่งงานกับคนที่นิสัยเหมือนพ่อ มัทรีเป็นประเภทที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะพ่อเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี ดูแลและเป็นห่วงลูกอย่างเธอ แต่ในฐานะสามีเขาใจร้ายกับแม่เกินไป

‘มันผลักฉันตกบันได! ประโยคนั้นคือหายนะของชีวิตฉัน หลังจากแม่พูดออกไปแบบนั้น ฉันก็ตกที่นั่งลำบาก แม้ว่าจะพูดความจริงอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีหลักฐานว่าฉันผลัก แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าไม่ได้ผลักเช่นเดียวกัน ก็ไม่ได้อยากจะยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ แต่เพราะมีลูกอยู่เลยไม่สามารถเดินเข้าคุกได้ ไม่อย่างนั้นลูกจะต้องกำพร้าแม่ ไหนยังต้องโดนสังคมตราหน้าว่าเป็นลูกของขี้คุก แต่นั่นมันยังน้อยเมื่อเทียบกับการปล่อยให้แม่เป็นคนเลี้ยงลูก ไม่รู้เลยว่าจะต้องโดนกลั่นแกล้งมากขนาดไหน จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด สุดท้ายก็เลยเป็นฝ่ายเดินออกจากบ้านไป แต่ใครจะเชื่อว่าก่อนไปจะได้แก้เผ็ดแม่ ซึ่งจริง ๆ อยากทำมากกว่านั้นอีก อยากจะฆ่าซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการเดินไปกระซิบใกล้ ๆ หูคนป่วยว่า ‘อย่าเพิ่งรีบตายล่ะ อยู่ดูลูกสาวหนูโตก่อน’ ที่พูดแบบนั้นเพราะอยากให้การมีอยู่ของเราสองคนทำให้ผู้หญิงคนนี้รู้สึกตายอย่างช้า ๆ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๖’

หลังจากอ่านจบก็มีหลากหลายความรู้สึกประดังประเดเข้ามาจนรับไม่ทัน มันกะทันหันเกินไป

แม่ของเธอถูกใส่ร้ายว่าพยายามฆ่าคนตายจึงจำเป็นต้องออกจากบ้าน เธอคิดมาตลอดว่าแม่กับพ่อแค่ไปกันไม่รอดจึงแยกทาง แต่นี่คือการบีบให้ออกไปต่างหาก และแม้ว่าจะเป็นเพียงตัวอักษรแต่ก็ปักใจเชื่อว่ามันคือความจริง ย่าคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

ทำไมนะ ทำไมหล่อนไม่ตายไปจริง ๆ เลย ทำไมแม่ต้องมารับผิดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำ เธอโกรธจนไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้ และรู้สึกประหลาดใจกับความคิดของแม่ที่มันช่างน่าขนลุก การมีอยู่ของแม่และเธอจะเป็นสิ่งที่บาดใจเธอไปตลอด ซึ่งมันจริง ย่าไม่เคยมีความสุขจริง ๆ เพราะรู้ว่าบ้านนี้ยังมีลูกสาวของผู้หญิงที่ตนเกลียดอาศัยอยู่

แม่เธอก็ใช่เล่นเหมือนกัน

ประโยคของแม่ช่างตราตรึงใจราวกับเป็นคำสั่ง ว่าเธอที่อยู่ในฐานะลูกควรทำอะไรสักอย่างกับคนที่ทำลายชีวิตแม่ของตน แต่เธอไม่อยากเป็นคนอย่างที่ตัวเองเคยเกลียด แม่ในความทรงจำเป็นคนใจดี แม่ไม่ต่างอะไรกับนางฟ้าเลย แต่ย่ากับแม่ใหญ่นั้นเป็นพวกใจร้าย ชอบทำหน้าตาถมึงทึง มันดูน่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้ พวกท่านเป็นผู้ใหญ่ใจร้ายที่เธอเกลียด เธอไม่อยากเป็นแบบนั้น แต่จิตใจอีกด้านหนึ่งก็ร้องตะโกนว่าย่าทำร้ายจิตใจของแม่

ราวกับมีสงครามขนาดย่อมเกิดอยู่กลางใจ เอาเลย สู้กันให้เต็มที่ เธอคนนี้ขอพักการอ่านก่อนก็แล้วกัน รู้สึกว่ามันหนักมากจริง ๆ และพอคิดแบบนี้ก็มีอีกความคิดผุดขึ้นมา เธอเป็นแค่คนอ่านยังรู้สึกแบบนี้ แล้วแม่ที่เจอเหตุการณ์แบบนั้นจริง ๆ จะรู้สึกแตกสลายขนาดไหน

ตอนนั้นเองที่มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น มันไม่ต่างอะไรกับเสียงระฆังที่ปลุกให้มัทรีตื่นจากภวังค์เลย ต้องขอบคุณเจ้าของเสียงเรียกเข้านั้นจริง ๆ

มือบางเอื้อมไปหยิบมือถือมาดูว่าปลายสายคือใคร เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางคิดในใจว่า ‘เขาอีกแล้ว’ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรับสายอยู่ดี

“ว่า”

(อยู่บ้านปะ)

“อยู่ ทำไม”

(ออกมาข้างนอกหน่อย) จบประโยคนั้น สายก็ถูกตัดไปทันที

เธอส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วเดินออกไปด้านนอก เมื่อไปถึงรั้วบริเวณหน้าบ้านก็พบเข้ากับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของสายเมื่อสักครู่

“นึกว่าจะไม่ลงมา”

“ก็ไม่อยากมาหรอก”

“โห่ เหมยก็”

เธอแค่นหัวเราะอย่างนึกขบขันกับท่าทีของอีกฝ่าย “แล้วมาทำไม รีบ ๆ พูดมาได้แล้ว”

“จะไม่ชวนเข้าไปนั่งในบ้านหน่อยเหรอ”

“อย่าเยอะ ขอร้อง”

“ล้อเล่น แค่จะมาชวนไปหาอะไรกิน”

“ไม่ได้ วันนี้ต้องเฝ้าบ้าน ไว้วันอื่นแล้วกัน” เธอก็แค่ผลัดไปเท่านั้นเพื่อให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะชวนออกไปข้างนอก “ไปล่ะ”

“เดี๋ยว” ในจังหวะที่สาวน้อยกำลังหมุนตัวเพื่อจะเดินเข้าบ้าน เขาก็รั้งไว้ด้วยเสียงเรียก เป็นอันว่าเธอจำต้องหันกลับไปมองพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ให้เราอยู่เป็นเพื่อนได้ไหม”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel