บท
ตั้งค่า

แม่แพะกับลูกแกะ (2)

ในบ้านที่มีคนอยู่เพียงสามคนนั้น หนึ่งในสามก็ทำหน้าที่ของตนอยู่ในครัว ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั่งดูภาพยนตร์อยู่ที่โซฟา สายตาทั้งสองคู่เอาแต่จ้องมองไปยังหน้าจอโทรทัศน์โดยไม่วอกแวกไปไหน จนกระทั่งแม่บ้านนำของว่างมาเสิร์ฟถึงจะได้ฤกษ์ละสายตาสักที

ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงก็จบลงในที่สุด ทั้งเธอและอิทธิกรต่างก็บิดขี้เกียจไปมาพลางพูดคุยถึงหนังเรื่องที่เพิ่งดูจบไปเมื่อสักครู่

“เดาทางไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะจบยังไง คนเขียนบทเก่งจริง ๆ”

“นั่นสิ” เธอตอบเขาแค่นั้น ก่อนจะคิดถึงเรื่องบางอย่างได้จึงถามออกไป “เมื่อปีที่แล้วแกแสดงละครของระดับชั้นด้วยใช่ไหม”

“อือ ทำไมเหรอ แต่พวกเพื่อน ๆ ก็ขอให้เหมยไปเป็นนางเอกนี่ น่าเสียดายที่ไม่เล่น”

“ช่างเรื่องของเราเถอะ แค่จะบอกว่าแกก็ทำได้ดีนี่ ถ้าเรียนจบแล้วไปต่อคณะเกี่ยวกับด้านนี้ก็น่าจะรุ่ง แต่วิทย์กับเลขก็เก่ง คงมีตัวเลือกเยอะน่าดู”

“ขอบใจที่ชม แต่ไม่คิดจะเรียนสายนั้นหรอก แค่เห็นว่าน่าสนุกดีเลยไปช่วยงานน่ะ ไม่ได้ถนัดขนาดนั้น อีกอย่างก็ตั้งใจจะเรียนเกี่ยวกับเคมีด้วย” เธอพยักหน้ารับแล้วหันมาสนใจของว่างตรงหน้า “แล้วเหมยอยากเรียนอะไรเหรอ”

“ไม่รู้ ยังไม่ได้คิดเลย”

ในตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาจอดในโรงรถ เธอรู้ได้ทันทีว่าเป็นพวกแม่ใหญ่ เพราะเวลานี้พ่อและปู่ยังไม่กลับ และจะให้อิทธิกรเดินออกไปตอนนี้ก็ไม่ทันการแล้ว อย่างไรเสียพวกท่านก็ต้องเห็นว่าเธอพาเพื่อนมาที่บ้าน แถมเพื่อนคนนั้นยังเป็นผู้ชายอีกด้วย

รอบนี้ไม่รู้ว่าจะทำตัวลื่นเป็นปลาไหลได้อย่างไรเลยถ้าท่านฟ้องพ่อขึ้นมา เธอตกที่นั่งลำบากเข้าให้แล้ว

ที่จริงมันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรเพราะแค่มานั่งดูหนังด้วยกันเท่านั้น มิหนำซ้ำยังไม่ได้อยู่กันสองต่อสองด้วย แม่บ้านก็อยู่ แต่ขึ้นชื่อว่าแม่ใหญ่ท่านกัดไม่ปล่อยหรอก

“แอล ต่อไปนี้อยู่เงียบ ๆ นะ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เขามองมาที่เธอพร้อมกับคิ้วสองข้างที่เลิกขึ้นเพื่อบอกว่าตนยังคงสงสัยกับคำพูดนั้น แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรแม่ใหญ่กับย่าก็เดินเข้ามา ตามด้วยน้อง ๆ อีกสองคนที่ปรี่มาทางโซฟาอย่างรีบร้อน น้องชายเห็นอิทธิกรก็ยกมือทำความเคารพเพราะพอจะรู้จักกันมาบ้าง หลังจากเคยไปดูหนังด้วยกันหนึ่งครั้งถ้วน

“มันจะเกินไปหน่อยแล้วมั้ง พอไม่มีคนอยู่ก็ชวนผู้ชายมาบ้าน เลือดแม่แกมันคงข้นมากสินะ” พอแม่ใหญ่พูดอย่างนั้น อิทธิกรก็ตั้งท่าจะอธิบาย เพียงแต่เธอเอื้อมมือไปตบหน้าขาเบา ๆ เพื่อสื่อว่าให้หยุด ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรสถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น รวมถึงคำพูดของเธอด้วย ท่านไม่ได้ตั้งใจจะรับฟังตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พูดไปก็ไม่พ้นเปลืองน้ำลาย “ถ้ากล้าทำถึงขนาดนี้ทำไมไม่หอบผ้าไปอยู่ด้วยกันเลยล่ะ”

“ฉันขอเตือนไว้เลยนะว่าอย่ามาทำบัดสีบัดเถลิงในบ้านนี้ เห็นว่าปู่กับพ่อคอยให้ท้ายแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ แต่ถึงขั้นนี้พ่อแกก็ไม่เอาไว้หรอกนะ” ผู้เป็นย่าเชิดคางขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองลอดต่ำผ่านจมูกด้วยท่าทีหยามเกียรติกันอยู่เนือง ๆ หากคนนอกมาเห็นก็คงไม่อยากจะเชื่อสายตาว่านี่คือสิ่งที่ย่าปฏิบัติกับหลาน “เชื้อไม่ทิ้งแถว”

ท่านพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนโดยที่แม่ใหญ่ก็ตามไปติด ๆ มัทรีรู้ได้ทันทีว่าหัวข้อการสนทนาของพวกท่านเป็นอะไร แต่ก็ได้หาสนใจไม่ อยากพูดอะไรก็เชิญ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทั้งสองถนัดอยู่แล้ว

และเมื่ออยู่กันแค่เด็ก ๆ เธอก็หันไปทางเพื่อนที่ตกเป็นประเด็นโดยใช่เหตุ แล้วเปิดปากพูดประโยคแรกตั้งแต่พวกแม่ใหญ่กลับมา

“เดี๋ยวเราเดินไปส่ง ที่ติวสอบวันนี้ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจจะติดต่อไปนะ แล้วก็ขอบคุณมากที่ช่วย”

“...เค ๆ”

หลังจากนั้นสาวเจ้าก็เดินออกไปนอกบ้านพร้อมกับเขา ระหว่างทั้งคู่ไร้เสียงใด คงเพราะเขายังสับสนจากสิ่งที่เพิ่งพบเจอเมื่อสักครู่ ที่แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างนายิกายังไม่ล่วงรู้ถึงขนาดนี้ หล่อนรู้แค่ว่าแม่ใหญ่เป็นแม่เลี้ยงของเธอ เธอ ภาสกรและกุลจิราเป็นพี่น้องต่างมารดา ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ นั้นมัทรีไม่ค่อยได้แพร่งพายออกไป จนเมื่อเดินมาถึงรั้วบ้านก็เป็นอิทธิกรที่เอ่ยขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“เพราะเราใช่ไหม ขอโทษนะ ถ้าไม่ขอเข้าไปตั้งแต่แรกเหมยก็ไม่ต้องโดนด่าแบบนี้”

“ช่างเถอะ ยังไงก็โดนอยู่ดี ไม่เรื่องนี้ก็มีสักเรื่องที่เขาจะสรรหามาด่านั่นแหละ”

“แต่ว่า-”

“น่า ไม่ต้องคิดมากแล้วก็ไม่ต้องโทษตัวเองด้วย ส่งแค่นี้นะ”

หลังจากกลับเข้ามาในบ้านก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง รอจนกระทั่งถึงเวลามื้อเย็นถึงได้เดินลงมาชั้นล่าง ระหว่างนั้นก็พยายามแสร้งว่าเสียใจก่อนจะตรงไปนั่งที่ประจำ บิดาพอจะสังเกตเห็นจึงเอ่ยถามขึ้นมา เด็กสาวเลือกที่จะส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วตักข้าวเข้าปาก แต่พ่อก็ไม่ยอมปล่อยผ่านไปอย่างที่เธอคาดไว้เลย

“แม่ใหญ่กับย่าด่าหนู”

“ด่า? ด่าอะไร” ชายวัยกลางคนหันไปเอาเรื่องกับผู้เป็นแม่และภรรยา “นี่เอาอีกแล้วใช่ไหม ทำไมแค่อยู่ใครอยู่มันถึงทำไม่ได้ โตแล้วแท้ ๆ ยังไปหาเรื่องเด็กมันอีก ยังไงเหมยมันลูกแท้ ๆ ของพี่นะปัด ไว้หน้ากันบ้าง ม้าก็เหมือนกัน จะอะไรกับเหมยนักหนา”

“นี่แกกล้าพูดอย่างนี้กับม้าเหรอ”

“ถ้าไม่อยากให้ผมพูดก็อย่ามายุ่งกับลูกผม ไม่รักไม่เอ็นดูก็ไม่เห็นจะต้องด่าอะไรกันเลย”

“น่า ๆ ใจเย็น ๆ กันก่อน” ชายชราที่เห็นว่าเรื่องราวชักจะบานปลายจึงเป็นฝ่ายปราม แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจจะฟัง

ประมุขหญิงของบ้านเลือดขึ้นหน้าไม่ต่างกัน “แล้วแกรู้ไหมว่าทำไมม้าถึงด่ามัน”

“ทำไม”

“ก็มันพาผู้ชายเข้าบ้าน” สิ้นประโยคนั้น ทุกสิ่งในบริเวณนี้ก็หยุดนิ่งไป ผู้เป็นบิดาเบือนหน้ามาทางบุตรสาวคนโตแล้วมองด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง “พอไม่มีใครอยู่บ้านก็ออกลาย นัดผู้ชายให้มาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ไม่ให้ด่าแล้วจะให้ทำยังไง ชมเชยที่ทำตัวแบบนี้งั้นรึ”

“ปัดเองก็พูดเพราะเป็นห่วง เหมยยังเด็กแต่กลับทำตัวแบบนี้ อนาคตจะขนาดไหน ถ้าไม่ปรามตั้งแต่เด็ก ๆ โตไปจะดัดนิสัยยังไง แต่เหมยมันไม่เข้าใจที่ผู้ใหญ่เขาหวังดีหรอก พอเตือนก็หาว่าด่า หรือว่าลูกหลานบ้านนี้มันสั่งสอนกันไม่ได้อีกแล้ว ต้องเลี้ยงแบบตามใจ อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเหรอพี่เดช อีกเดี๋ยวก็คงป่องให้เป็นขี้ปากชาวบ้านเขาน่ะสิ ปัดรับไม่ได้หรอกนะ”

มัทรีหัวเราะร่าอยู่ในใจ โลกเขาเดินไปถึงไหนแล้วก็ยังติดอยู่กับความคิดเก่า ๆ หากว่าเธอจะนอนกับใครจริง ๆ ก็ไม่ลืมที่จะป้องกันหรอก ไม่ใช่แค่พวกผู้ใหญ่ที่ห่วงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของตัวเอง เด็กอย่างเธฮก็มีอนาคตที่ต้องแบกรับไว้เหมือนกัน

เธอไม่คิดจะมีลูกในอายุแค่นี้หรอกนะ ให้ตายสิ พวกเขาทำเหมือนว่าเธอไม่มีความคิดอย่างนั้นแหละ

“อยากฟังความจริงจากหนูไหม ถ้าไม่ หนูก็จะไม่พูดให้เสียเวลาแล้ว”

“แกจะโกหกอะไรอีกล่ะ” แม่ใหญ่โพล่งขึ้นซึ่งพ่อก็รีบยกมือเป็นเชิงห้าม อีกฝ่ายจึงสงบปากสงบคำลงไป

“เดือนหน้าที่โรงเรียนก็จะสอบปลายภาคแล้ว ใช่ไหมเฟย” ไม่ลืมหันไปหาแนวร่วม “ที่นี้หนูไม่ค่อยเข้าใจเคมีและตอนมิดเทอมก็ทำเกรดได้ไม่ค่อยดี กลัวว่าปลายภาคมันจะซ้ำรอยเลยรวมกลุ่มติวกับเพื่อน ๆ ในห้อง ปกติก็จะออกไปเจอกันที่อื่นอยู่แล้วพ่อเลยไม่รู้ แต่วันนี้ที่บ้านไม่มีใครอยู่หนูเลยไม่อยากออกไปไหน เพื่อน ๆ คนอื่นก็ติวกันอยู่ มีแค่แอล เอ่อ คนที่มานั่นแหละ พอดีเขามาได้ก็เลยอาสามาช่วย อีกอย่างแอลก็เป็นท็อปห้าของห้องด้วย การให้เขาช่วยมันเป็นผลดีกับหนู หรือพ่อไม่คิดอย่างนั้น”

บิดาเพียงแต่เงียบเพื่อให้ลูกสาวได้พูดต่อ

“แล้วพอแม่ใหญ่กับย่ามาเห็นก็หาว่าหนูนัดผู้ชายมาทำบัดสีบัดเถลิงที่บ้าน ถ้าการติวหนังสือมันเป็นเรื่องแย่นัก สอบครั้งนี้หนูจะตกให้หมดเลยก็ได้ ไม่พยายามจะเรียนมันแล้ว ขยันไปก็โดนด่า”

น้ำตาไหลออกมาเหมือนว่าตนเป็นนักแสดงแถวหน้าที่สามารถสั่งได้อย่างทันท่วงที ริมฝีปากถูกเม้มเพื่อสื่อว่ารู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะสะอื้นปานจะขาดใจ ชั่วขณะหนึ่งก็คิดว่ามันมากเกินไปหรือเปล่า แต่ถอยไม่ได้เสียแล้ว จากนั้นก็ยกมือมาปาดน้ำตา แต่ยิ่งปาดก็ยิ่งไหลราวกับเขื่อนแตก

ที่บอกว่าอิทธิกรน่าจะเรียนเกี่ยวกับการแสดง บางทีคนนั้นควรจะเป็นเธอมากกว่า

“ผมเป็นพยานได้” จู่ ๆ ภาสกรก็พูดขึ้น เรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมองได้เป็นอย่างดี “พี่แอลกับเจ๊ติวหนังสือกันจริง ๆ และพี่แอลก็ไว้ใจได้ ผมพอจะรู้จักอยู่บ้าง พวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน”

ใช่ อย่างนั้นแหละน้องชาย ทำดีแล้ว

“หนูก็ได้ยินตอนที่เจ๊พูดเรื่องติวหนังสือนะ”

อืม...การมีน้องดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริง ๆ

“โอเค ๆ” พ่อลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาที่เธอก่อนจะโอบกอดอย่างอบอุ่น “ไม่เป็นไรแล้วนะ พ่ออยู่นี่แล้ว เอาล่ะ กับข้าววันนี้ก็กร่อยเต็มที พ่อพาไปกินข้างนอกดีไหม ป๊าจะไปด้วยกันเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอก แกพาลูก ๆ ไปเถอะ”

ตอนที่เดินจากมานั้นเธออยากหันไปยิ้มเยาะพวกท่านจริง ๆ ทว่าการทำแบบนั้นมันไม่ได้ประโยชน์อะไร ดีไม่ดีจะมีคนเห็นเข้าเดี๋ยวก็ความแตกพอดีว่าใจเธอไม่ได้ใสสะอาดอย่างที่สร้างภาพไว้ เอาเป็นว่าแค่ได้ยิ้มอยู่ในใจก็สุขเกินพอแล้ว และไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าทั้งสองคงกำลังแช่งชักหักกระดูกเธออยู่ในใจ

นี่ใช่ไหมคำที่แม่บอกไว้ว่าให้ย่าอยู่ดูเธอเติบโต แม้ว่าแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยแต่แม่ก็เป็นส่วนหนึ่งให้ย่ารู้สึกอย่างนั้น

เพราะท่านให้กำเนิดคนอย่างเธอมาไงล่ะ

ในเมื่อย่าบีบให้แม่ต้องเป็นแพะรับบาป เธอก็จะเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่คอยปั่นหัวให้ท่านอยู่ไม่สุข

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel