ยามฟ้าหม่น (2)
เมื่อคืนเธอต้องตื่นกลางดึกเพราะลูกน้อยถึงสองรอบ รอบแรกเป็นเพราะหิวนม ส่วนรอบที่สองคงเป็นเพราะฝันร้าย คนเป็นแม่อย่างจึงต้องทำหน้าที่กล่อมให้หลับ ส่วนคนเป็นพ่อที่ขอมานอนด้วยไม่รู้สึกตัวเลยสักครั้ง หากว่ายอมให้เขาพาลูกไปนอนด้วย การนอนของเธอคงทุลักทุเลกว่านี้ที่ต้องไปห้องเขาทุกครั้งที่ลูกร้อง โดยที่พ่อเขาไม่รู้สึกตัวสักนิด
เมื่อถึงเวลามื้อเช้าก็เดินไปนั่งยังที่ประจำ แม่สามีมองหน้าตาขวาง แต่เพียงครู่เดียวก็เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่มันคงไม่มีเหตุผล ปกติก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเธอดีอยู่แล้ว หากวันดีคืนดีจะแย่กว่านี้ก็ไม่เห็นว่าจะน่าแปลกใจตรงไหน
หลังจากทานข้าวเสร็จผู้ชายทั้งสองในบ้านหลังนี้ก็พากันเดินออกไปด้านนอก เพราะต้องไปดูแลร้านทอง ส่วนเธอก็เดินไปยังห้องโถงเพื่อรับลูกไปเดินเล่นที่สวนหย่อมข้างบ้าน แสงแดดอ่อน ๆ เหมาะกับการเดินออกไปสูดอากาศ หากเลี้ยงแต่ในบ้านก็กลัวว่าลูกจะไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ถ้าให้อยู่นอกบ้านนาน ๆ ก็เกรงว่าจะป่วย
การเลี้ยงลูกนั้นต้องรู้จักความพอดี ไม่ใช่แค่กับเรื่องนี้แต่เป็นกับทุกเรื่อง
“เมื่อคืนตาเดชไปนอนห้องแกเหรอ” ทว่าในขณะที่ตั้งใจจะเดินออกนอกบ้าน แม่ของสามีก็เดินมาดักหน้าก่อนจะถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจ เธอจึงคิดได้ว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุที่หล่อนมองกันตาขวาง แต่ก็เลือกที่จะตอบความจริงว่าเขาแค่ต้องการจะนอนกับลูกเท่านั้น “อย่าผยองให้มันมาก แล้วต่อไปก็ไม่ต้องขอให้เขาไป”
“หนูไม่ได้ขอนะคะ พี่เขาแค่อยากนอนกับลูก อีกอย่างหนูก็นอนที่พื้นด้วย ไม่ได้นอนด้วยกันอย่างที่แม่เข้าใจหรอกค่ะ”
“อืม ก็เขาไม่ได้รักแกนี่ รู้อย่างนี้แล้วจะทนอยู่ไปเพื่ออะไร”
เธอไม่ตอบคำถามของคู่สนทนา ก่อนจะก้มหัวให้เพื่อสื่อว่าต้องการลากันตรงนี้ จากนั้นก็เบี่ยงตัวออกไปอีกทางแล้วไปยังสวนหย่อมอย่างที่ตั้งใจไว้
เดชะบุญที่หล่อนไม่ได้รั้งไว้ เพราะหากเป็นอย่างนั้นบทสนทนาระหว่างทั้งสองก็ไม่มีอะไรที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ สู้ไม่พูดคุยกันจะดีกว่า แม้ว่าบางทีจะไม่สามารถเลี่ยงได้ เพราะฉะนั้นเธอจึงพยายามตัดช่องน้อยแต่พอตัวตลอด ให้อีกฝ่ายมองเป็นอากาศธาตุก็ยังดีกว่าพ่นคำด่าว่าร้ายให้เจ็บใจ เพราะในฐานะที่อยู่ ณ ตอนนี้คงไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ ถ้ามีปัญหาขึ้นมาจริง ๆ ก็คงไม่มีใครคิดจะเข้าข้าง ดังนั้นแล้วการอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้ว่าในบางทีจะรู้สึกไม่สบอารมณ์กับคนในบ้านนี้ก็ตามที แต่มันคงดีถ้าจะไม่มีปากมีเสียงกับใคร
แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านมากระทบตัวแม้ว่าจะอยู่ใต้ต้นอินทนิลที่ออกดอกสีชมพูเข้มค่อนไปทางม่วง ดูแล้วสบายตาได้ไม่ยาก ข้างกันนั้นเป็นต้นจันทน์กะพ้อที่ปัจจุบันยังไม่ออกดอก ทว่าเมื่อตอนปลายปีมีโอกาสได้เห็นตอนที่มันผลิดอกออกผล มันทำให้เธออดคิดถึงบ้านและพ่อแม่ของตนไม่ได้ แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะหวนคืนบ้านเกิด
บ้านหลังนี้เป็นบ้านในฝันของเธอเลยก็ว่าได้ ทั้งสนามหญ้า ทั้งแมกไม้นานาพรรณ มันทำให้เธอรู้สึกลุ่มหลงมากกว่าเดิม ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถถมช่องว่างที่อยู่ในใจของได้ทั้งหมด ต่อให้สนามหญ้ามีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ บ้านหลังใหญ่กว่านี้หรือมีต้นไม้มากกว่าเดิม แต่มันจะมีค่าอะไรในเมื่อมันไม่ใช่ที่ของเธอ
ทุก ๆ อย่างหล่อหลอมให้เธฮคิดอย่างนั้นจริง ๆ เหมือนคำกล่าวที่ว่าคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก แต่ตัวเธอน่ะ มันไม่มีที่ให้ไปนอกจากที่นี่แล้ว
ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะเลือกไปหรือเลือกอยู่ ไม่ได้เป็นชีวิตที่มีตัวเลือกเหมือนคนอื่นเขาเลย
เพราะเมื่อวานฝนตก วันนี้ก็เลยดูชุ่มชื่นกว่าปกติ เพราะเหตุนั้นเธอจึงอยู่ด้านนอกได้ไม่นานนักเนื่องจากกลัวว่าลูกจะป่วย ประมาณสิบนาทีให้หลังก็เดินเข้าไปในตัวบ้านซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แม่สามีเดินออกมาพอดี เธอก้มหัวให้คนอายุมากกว่าเป็นเชิงทำความเคารพ ก่อนจะรอให้อีกฝ่ายเดินผ่านไป ก็คงไปพบปะกับเหล่าสมาคมแม่บ้านอย่างทุกวัน
หล่อนไม่เคยเชิญเธอ ซึ่งคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เธอไม่ชอบสังคมแบบนั้น และดูเหมือนสังคมนั้นก็จะไม่ชอบเธอด้วย
ในคืนนั้นก็เป็นอีกหนึ่งคืนที่สามีเข้ามานอนที่ห้องโดยที่เธอต้องระเห็จไปนอนที่พื้นเหมือนอย่างเคย และแม้ว่าลูกจะตื่นในกลางดึก ผู้เป็นพ่อก็ไม่เคยรู้สึกตัวเลยสักครั้ง
เป็นอย่างนี้เกือบหนึ่งเดือน...
ระหว่างนั้นก็เหมือนว่าไฟจะสุมอกของแม่สามีมากขึ้น ปกติแล้วหล่อนจะไม่ค่อยสนใจเธอแม้ว่าจะเป็นหนามแทงใจก็ตาม แต่เพราะลูกชายไม่ได้แยแสอะไรในตัวภรรยาคนนี้มากนัก ทว่าช่วงที่ผ่านมานี้เขามักจะเข้ามานอนกับลูก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันก็สามารถเป็นเชื้อไฟให้คนอย่างหล่อนได้ ไม่รู้ว่าจะจินตนาการไปถึงไหน และเพราะความไม่รู้เลยต้องหาที่ลง ซึ่งมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นตัวเธอเอง ทั้งสายตาที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม บางทีก็มีคำว่าร้ายออกมาบ้าง
‘ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้า’ หล่อนคงคิดว่าเธอจะเจ็บ คงลืมไปว่าขนาดส้วมเธอก็โดนเปรียบมาแล้ว กับเรื่องแค่นี้เจ็บท้องคลอดลูกยังเจ็บกว่า
“ถ้าแกรักตัวเองมากพอก็รับไป” หลังจบประโยคนั้น สายตาที่มองหน้าคู่สนทนาก็เปลี่ยนมามองซองจดหมายที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ด้วยความใคร่รู้จึงเอื้อมมือไปคว้าไว้แล้วเปิดมันออกทันที “ไปจากบ้านหลังนี้ซะ ทั้งแกและลูก เพราะที่นี่มันไม่ใช่ที่ของแก ต่อให้อยู่นานกว่านี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก อันที่จริงฉันไม่อยากใจร้าย แต่แกไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกสะใภ้ของฉันจริง ๆ”
หญิงสาวนิ่งงัน
“การไปของแกมันไม่ได้ดีแค่กับตัวแกนะ รวมถึงลูกของแก ตาเดช และคนอื่น ๆ ในบ้านด้วย”
เธอว่าหล่อนคิดแบบนั้น แต่เมื่อมาพูดต่อหน้าแบบนี้ก็รู้สึกจุกในใจ เธอแค่อยากมีความสุขกับครอบครัว ไม่เห็นจะต้องผลักไสกันแบบนี้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เลือกทำคือการส่งซองคืนกลับไปที่เจ้าของ
เธอรักเขา เธฮพอใจที่ได้อยู่ร่วมกับเขา แม้จะอยู่กันแบบนี้แต่ก็ดีกว่าต้องห่างกันไปมิใช่หรือ ถึงใจจะห่างกันเกินจะเอื้อมถึงก็ตาม ขออย่าให้กายห่างกันไปอีกอย่างเลย
“หนูมีลูกกับพี่เดชแล้ว นั่นก็หลานแท้ ๆ แม่จะทิ้งได้ลงคอเหรอคะ หรือเพราะเป็นหลานสาวเลยไม่พอใจ ต้องเป็นหลานชายใช่ไหมคะถึงจะรัก”
“ไม่ใช่ เพราะฉันไม่อยากได้สายเลือดของแก”
“นั่นเป็นปัญหาของแม่ค่ะ” ว่าจบก็เบี่ยงตัวหลบแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน เพราะรู้ดีว่าต่อให้คุยกันนานกว่านี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ในเมื่อหล่อนคุยด้วยอคติ แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงสัมผัสของฝ่ามือที่คว้ามายังต้นแขนก่อนจะออกแรงกระชากให้หันกลับไป เธอก้มมองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่บนบันไดชั้นล่างอย่างนึกสงสัย เพราะปกติแล้วแม่สามีแทบจะไม่ถูกเนื้อต้องตัวลูกสะใภ้เลย แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธก็พอจะเข้าใจได้ “ช่วยปล่อยมือด้วยค่ะ ถ้ามีอะไรก็ไปคุยกันดี ๆ”
“คุยกันดี ๆ แล้วแกจะออกไหม”
“ไม่ออกค่ะ ถ้าออกแล้วหนูจะไปอยู่ที่ไหน ยังไงหนูก็มีสิทธิ์ในบ้านหลังนี้เหมือนกัน ต่อให้แม่จะไม่ยอมรับ แต่สักวันมันก็ต้องตกเป็นของลูกสาวหนูอยู่ดี และไม่ว่าจะพูดเรื่องนี้อีกกี่ครั้งก็ขอยืนยันคำเดิมว่าหนูและลูกจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น”
ทั้ง ๆ ที่เธอพูดออกไปอย่างชัดเจน ทว่าคนฟังกลับกระตุกยิ้มก่อนจะปล่อยมือออกจากเรียวแขน จากนั้นหล่อนก็ปล่อยให้ตัวเองตกลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก แม้จะเป็นบันไดเพียงหกขั้นแต่ก็สร้างความตกใจให้เธอได้ไม่น้อย เมื่อตั้งสติได้จึงก้าวลงไปที่พื้นเพื่อที่จะช่วยอีกฝ่าย แต่เสียงที่ดังขึ้นกลับเสียดใจจนร่างบางได้แต่ชะงักอยู่บนบันไดขั้นที่สาม ทั้ง ๆ ที่อีกนิดก็จะไปถึงตัวแล้วแต่ก็ก้าวเดินต่อไม่ได้
“โอ๊ย! มันผลักฉันตกบันได ใครก็ได้ช่วยด้วย” ทันใดนั้นแม่บ้านอีกสองคนก็วิ่งออกมา ทั้งคู่มองมาที่เธอด้วยความตกอกตกใจ ก่อนจะหันไปทางคนเจ็บ แล้วแม่บ้านคนหนึ่งก็รีบวิ่งไปทางโทรศัพท์บ้านที่อยู่บริเวณห้องโถง ส่วนแม่บ้านอีกคนก็ช่วยแม่สามี ในที่นี้คงมีแต่เธอที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนเฉย ๆ
มันไม่สำคัญเลยว่าหล่อนตกบันไดกี่ขั้น อาการเป็นอย่างไร แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือเธอไม่ได้ทำ จึงพร่ำไปว่าตนไม่ได้ทำ ไม่รู้ว่าพูดไปกี่ครั้งแต่ก็เหมือนว่าจะไม่ได้รับความสนใจจากคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่นานนักรถพยาบาลก็มา พวกเขาทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนจะพาคนเจ็บไป โดยที่อีกฝ่ายยังออกปากด้วยว่าให้เธอไปด้วย เมื่อเลี่ยงไม่ได้จึงต้องหันไปฝากลูกที่ยังหลับอยู่ในห้องไว้กับแม่บ้าน
“ติดต่อตาเดชให้ฉันด้วยนะ” คำพูดของหล่อนที่พูดกับแม่บ้านทำให้มือของเธอสั่นจนไม่สามารถควบคุมได้ รู้สึกถึงเหงื่อที่ผุดออกมาพร้อมกับใจที่เต้นผิดจังหวะ ขาก็ทำหน้าที่ก้าวเดินตามไปเรื่อย ๆ จนขึ้นมานั่งอยู่ในรถ ระหว่างทางนั้นเธอไม่ได้หันไปมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่สามีเลย มันเอาแต่ก้มหน้ามองมือของตนที่ประสานเข้าหากัน จนได้ยินเสียงของเจ้าหน้าที่พูดขึ้นมาว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะไม่เป็นอะไรมาก
เขาคงคิดว่าเธอเป็นห่วงคนเจ็บ เปล่าเลย จะไปห่วงคนแบบนั้นทำไม คนคนนี้ทิ้งตัวลงไปเพื่อใส่ร้ายเธอชัด ๆ
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็พาคนเจ็บไปยังห้องฉุกเฉิน เธอจึงนั่งรออยู่ด้านนอกพลางคิดว่าตนต้องพูดอะไรกับคนอื่นถึงเหตุการณ์นี้ หล่อนไม่มีทางยอมรับแน่ ๆ ว่าจงใจตกลงไปเอง ส่วนคำพูดของเธอก็คงไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้ใครปักใจเชื่อเช่นกัน หลักฐานก็ไม่มี แล้วจะทำอย่างไรดีให้ตัวเองพ้นผิด
ให้หลังประมาณยี่สิบนาทีก็เห็นว่าคนที่คุ้นตาเดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ เขาถามถึงแม่ของตัวเองก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงไม่ใกล้ไม่ไกล
“ทำไมถึงทำแบบนี้” คำถามนั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าแม่บ้านคงบอกอะไรไปบ้างแล้ว น้ำเสียงที่ฟังแล้วไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้นั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว แม้แต่จะพูดความจริงก็ยังไม่กล้า เลยได้แต่เม้มปากอยู่อย่างนั้น “ฉันถามว่าทำไม!”
“...”
“ป้าแจ่มบอกว่าได้ยินเสียงเธอกับม้าทะเลาะกันก่อนที่ม้าจะตกบันได ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น แค่ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้เหรอ มันจำเป็นต้องฆ่าต้องแกงกันเพราะเรื่องแค่นี้จริง ๆ เหรอสา มากไปหรือเปล่า แล้วถ้าม้าฉันเป็นอะไรไป จำไว้ว่าเธอได้เข้าไปนอนในคุกแน่”
ใจของเธอตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ก่อนจะได้ตอบคำถามอะไรอีกฝ่าย ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกเสียก่อน เธอไม่ได้ถลาไปหาคุณหมอเหมือนที่เขาทำ แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิม
หลังจากเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินไปยังห้องพักฟื้น เธอไม่รู้เลยว่าการตกบันไดหกขั้นจะต้องถึงกับนอนโรงพยาบาล หรือว่าที่จริงแล้วหล่อนจะเจ็บ แต่ถ้ารู้ว่าร่างกายตัวเองจะได้รับความเสียหายก็ไม่น่าทำแบบนั้นไม่ใช่หรือ เพียงเพราะจะทำให้เธอเป็นตัวร้ายในสายตาคนอื่นถึงกับต้องยอมแลกขนาดนี้เชียว
จิตใจของคนเรานี่มันยากแท้หยั่งถึงจริง ๆ
ภายในห้องพักนั้นมีแต่ความเงียบ จนกระทั่งประตูถูกเปิดออกเพราะมีคนมาใหม่ นั่นคือพ่อสามีที่เดินหน้าตั้งมาหาภรรยาของตนที่นอนอยู่บนเตียง ทั้งคู่พูดคุยถามไถ่กันตามประสาคนรัก และเธอไม่ได้สนใจมันนักเพราะเสียงของเขาดังขึ้นพอดี
“เธอยังไม่ตอบคำถามของฉันเลยนะ ทำไมต้องผลักม้าด้วย” หลังจบประโยคคำถามของเขา ทุกเสียงในห้องก็เงียบไป พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นก่อนมันจะมาหยุดตรงหน้าเธอพอดี เลยได้แต่เงยหน้าขึ้นมองอย่างช้า ๆ จนประสานสายตากับเขาในที่สุด “เพราะม้าไม่ชอบเธอใช่ไหม เธอเลยโกรธ ก็รู้เหตุผลอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าเพราะอะไร ทำไมไม่โทษตัวเองบ้าง แล้วกับเรื่องนั้นถึงกับต้องทำร้ายกันขนาดนี้ วันนี้แค่ผลักตกบันได วันหน้าก็คงฆ่ากันให้ตายไปข้าง ยังไงก็เถอะ เธอคงอยู่ที่บ้านไม่ได้แล้วล่ะ เพราะฉันไม่ไว้ใจคนที่มีความคิดแบบนี้สักนิด”
“แต่สาไม่ได้ทำ” แม้ว่าจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ดูเหมือนไม่มีใครเชื่อ “สาไม่ได้ผลักจริง ๆ”
“แกจะบอกว่าฉันโกหก?” นั่นเป็นเสียงของคนเจ็บ
“แม่ก็รู้ว่าความจริงคืออะไร”
“คือแกผลักฉันไง แล้วฉันจะแจ้งความด้วย ข้อหาพยายามฆ่า”
เธอได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่ได้ทำแบบนั้นจริง ๆ และไม่ยอมติดคุกฟรี ๆ โดยที่ตนไม่ได้ผิด ไม่ใช่แค่ติดคุก แต่เธอบริสุทธิ์ แค่การโดนกล่าวหาว่าตัวเองพยายามจะฆ่าคนอื่นนั่นก็เกินจะรับไหวแล้ว มันไม่ใช่แค่ตัวเธอ แต่ผลกระทบจะตกไปถึงลูก
ลูกสาวจะถูกตราหน้าทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด และเธอไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่นอน แต่ก็รู้ว่าคำพูดของตัวเองไม่ได้มีน้ำหนักมากขนาดนั้น ถ้าเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายเธอคงมิวายต้องเข้าไปอยู่ในซังเตเป็นแน่แท้
“แต่ยังไงแกก็เป็นลูกสะใภ้ ถ้าปล่อยให้ข่าวรั่วออกไปว่าลูกสะใภ้บ้านนี้ผลักแม่ผัวตกบันไดก็คงจะไม่เป็นผลดีกับใคร แต่มีข้อแม้คือแกกับลูกต้องออกไปอยู่ที่อื่น”
“ลูก? หมายถึงลูกของผมต้องไปด้วยเหรอ ผมว่ามันจะไปกันใหญ่แล้วนะม้า” พ่อลูกอ่อนค้านหัวชนฝา “ก็ให้สาไปคนเดียวสิ ลูกผมไม่ได้ผิดอะไรทำไมจะต้องออกจากบ้านด้วย ยังไงผมก็ไม่ยอม ลูกผมผมจะเลี้ยงเอง”
พูดมาได้อย่างไรกัน ที่เธอยังมีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้มันก็อุทิศเพื่อลูกทั้งนั้น หากไม่มีลูกแล้วเธอจะอยู่อย่างไร สู้ให้ตายไปไม่ดีกว่าหรือ
เธอรู้ว่าเขารักลูกแต่เธอก็รักไม่ต่างกัน การจะพรากลูกพรากแม่นั้นมันบ้าบอที่สุด ใครจะไปรับเรื่องนี้ได้กัน ไม่ว่าตัวเธอจะต้องระเห็จไปอยู่ที่แห่งหนใดก็ตาม ข้างกายจะต้องมีลูกสาวที่รักสุดหัวใจไปด้วย เธอจะอยู่กับลูกตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ถ้ามีลมหายใจอยู่ ไม่ว่าใครก็พรากลูกไปไม่ได้
“ไม่ได้! ต้องไปให้หมด ม้าไม่อยากเลี้ยงลูกของคนที่จะฆ่าตัวเองหรอก”
หล่อนไม่ยอมให้สายเลือดที่เกลียดชังได้เติบโตในบ้านของตนเองเด็ดขาด
ก่อนหันไปเค้นเอากันลูกสะใภ้แสนชัง “แล้วแกล่ะ คิดได้หรือยังว่าจะออกจากบ้านหรือเข้าคุก”
หลังจบประโยคนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตรงไปยังเตียงคนป่วย เพราะชีวิตยังมีคนที่ต้องดูแลจึงไม่สามารถพาตัวเองเข้ากระบวนการทางกฎหมายได้ เนื่องจากมีโอกาสสูงที่เธอจะกลายเป็นแพะ หากเป็นแบบนั้นเธอคงได้ออกมาฆ่าหล่อนจริง ๆ แน่ แต่เธอจะฆ่าช้า ๆ
ในวันที่หล่อนมีความสุขเพราะเขี่ยเธอและลูกทิ้งได้ ในวันที่ได้ลูกสะใภ้ที่ปรารถนา หรือจะเป็นวันที่หล่อนคิดว่าบั้นปลายชีวิตช่างมีแต่เรื่องน่ายินดี ในวันนั้นหล่อนจะต้องทรมานที่ทำกับเธอและลูกแบบนี้
เมื่อไปถึงก็กระซิบให้ได้ยินแค่สองคนก่อนจะผละออกมา เสียงกรี๊ดดังไปทั่วบริเวณแต่เธอก็ไม่ได้เหลียวหลังไปมอง เลือกที่จะเดินออกไปโดยไม่ลืมก้มหัวเพื่อทำความเคารพพ่อสามีที่ยังไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรเลยตั้งแต่มา
เธอคิดว่าเขาอาจจะไม่เชื่อภรรยาตัวเองหรอก แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วในเมื่อไม่มีใครเป็นผู้เห็นเหตุการณ์และสามารถเป็นพยานให้เธอได้ ทว่าระหว่างเดินออกมาก็รู้สึกถึงแรงจับที่แขน ไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร ก่อนที่อีกฝ่ายจะพาเธอไปยังลานจอดรถ
บรรยากาศในห้องโดยสารเต็มไปด้วยความเงียบงันที่แฝงความอึดอัดมาทุกอณู พวกเราไม่ได้พูดอะไรสักคำจนกระทั่งมาถึงบ้าน แม้จะเห็นว่าลูกสาวอยู่ในอ้อมอกของแม่บ้าน แต่เขาก็เดินผ่านไปยังชั้นบนพร้อมกับมือที่กำรอบแขนของเธอแล้วออกแรงดึงเบา ๆ ตลอดทาง
จุดหมายปลายทางคือห้องนอนของเขาซึ่งเป็นห้องที่หญิงสาวไม่เคยย่างกรายมาเลยเพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เมื่อมาถึงเขาก็ปล่อยมือออกพลางเดินไปยังโต๊ะทำงานของตน เธอไม่รู้ว่าควรอยู่ตรงไหนเลยได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม จนในที่สุดเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับเงินสดหนึ่งก้อน
“ยังไม่สายถ้าจะเริ่มต้นใหม่ รับเงินนี้ไว้แล้วออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ”
เธอรักเขา ที่ชีวิตมันมาถึงจุดนี้เพราะเธอรักเขา
แต่เพราะความรักนั้นมันไม่ถูกตอบสนอง เธอถึงต้องมีชะตาแบบนี้ คือโดนไล่ออกจากบ้านจากคนสองคนในวันเดียวกัน และแม้ว่าจะไม่มีที่ไปแต่ก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้เช่นกัน แต่ถ้ามีเงินก็คงไปตั้งตัวได้ใหม่อย่างที่เขาว่า สุดท้ายแล้วจึงได้แต่ยื่นมือไปรับไว้ มันเหมือนว่าเธอได้ทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองไปแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าถ้าไม่เคยจนจะไม่รู้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่ควรเลือก
ศักดิ์ศรีมันก็คงจะกินได้ แต่ไม่ใช่สำหรับคนอย่างเธอ
“สาจะไปจากที่นี่แล้วจะไม่กลับมาเหยียบอีกเลย แต่พี่รู้ใช่ไหมว่าสาไม่ไปคนเดียวแน่ ๆ”
“ไม่ได้ เธอจะพาลูกฉันไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ฉันไม่ไว้ใจให้คนอย่างเธอเลี้ยงลูกหรอก เธออาจจะฆ่าลูกก็ได้”
“คนเดียวที่สาอยากฆ่าคือแม่ของพี่ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงว่าสาจะทำอะไรลูก” เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด แต่นั่นมันก็เป็นความจริงจากปากเธอ “เขาไม่ใช่ลูกของพี่คนเดียว แล้วพี่ก็คงจะมีครอบครัวใหม่ อืม หมายถึงคนเก่าที่จะมาเป็นคนใหม่น่ะ ถึงตอนนั้นพี่ก็มีลูก แล้วสาจะมั่นใจได้ไงว่าพี่จะรักลูกของเราเท่าเดิม ปัดมันเกลียดสาจะตาย มันจะรักลูกของสาได้ไง พี่ก็เลิกคิดถึงแต่ตัวเองได้แล้ว เพราะไม่มีใครรักเหมยได้เท่าสา รวมถึงพี่ด้วย”
“รู้ได้ไงว่าใครจะรักลูกได้มากกว่ากัน อีกอย่างเธอเองก็ต้องแต่งงานใหม่อยู่ดี ถึงวันนั้นพ่อเลี้ยงมันจะดีกับเหมยแน่เหรอ เธอนั่นแหละที่ต้องเลิกเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ฉัน”
“ไม่หรอก พี่รู้อยู่แล้วว่าสาไม่ทำแบบนั้น” เป็นเวลาพักใหญ่ที่ทั้งคู่สบตากันโดยไม่มีคำพูดใด ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายพูดต่อ “ให้ลูกไปกับสาเถอะนะ ขอร้อง แล้วสาจะไม่มาวุ่นวายกับพี่อีกเลย แต่ถ้าไม่มีลูกสาก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปยังไง”
เขายกมือมาเสยผมก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไปที่ระเบียงราวกับต้องการเวลาทบทวนเรื่องต่าง ๆ เพียงลำพัง เธอมองภาพนั้นด้วยใจที่วูบไหว ไม่อยากจากกันเลยสักนิด เธอก็แค่อยากอยู่กับครอบครัวของตัวเองเท่านั้น เธอรู้ว่าเขารักลูกมาก แต่เธอก็รักไม่ต่างกัน
ในความเป็นจริงนั้นเธอรักเขามากแต่ก็ไม่มีเขาได้ ในขณะที่ไม่สามารถคิดภาพตัวเองไม่ได้อยู่กับลูกได้เลย
ไม่นานนักเจ้าของห้องก็เดินกลับมาด้วยตาที่แดงก่ำ เธอรู้สึกเหมือนทุกคนต่างก็แตกสลายในแบบของตัวเอง แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญหน้า
“มีอะไรเกี่ยวกับลูกก็ติดต่อมาได้ หลังจากจัดการที่อยู่เรียบร้อยแล้วก็ติดต่อมาด้วย ฉันจะแวะไปหาลูกเท่าที่จะทำได้ แล้วก็ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”
“ถ้าทำให้ได้ก็จะทำ”
“อย่าสอนให้ลูกเกลียดพ่อตัวเอง”
เธอพยักหน้ารับก่อนจะยื่นมือไปปาดน้ำตาของตัวเองที่ไม่สามารถห้ามได้ เพราะมันดันไหลออกมาไม่ขาดสาย ชีวิตคนเรามันก็เหมือนดวงตะวันที่ปรากฏตัวในยามเช้าแล้วลาลับฟ้าในยามเย็น ทุกคนต่างก็พบเจอเพื่อจากลาด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญคือความทรงจำในช่วงที่อยู่ด้วยกันต่างหาก
“ก่อนจะไปขอกอดพี่ได้ไหม”
เขาไม่ตอบอะไรกลับมา เธอจึงถือวิสาสะพุ่งตัวเข้าไปกอดอีกฝ่ายก่อนจะร้องออกมาเหมือนจะขาดใจ ทุกความรู้สึกมันประดังประเดเข้ามาจนเจ็บไปทั้งหัวใจ ขนาดว่าเรามีปากเสียงกันเธอก็ยังเลิกรักคนคนนี้ไม่ได้ แม้ว่าจะต้องไกลกันแต่ก็ถอนหัวใจออกจากเขาไม่ได้อยู่ดี
“ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ที่เคยทำไม่ดีกับพี่ไว้ ขอโทษกับทุกเรื่อง ขอโทษปัดที่ทำให้เสียใจ ขอโทษที่เห็นแก่ตัว แต่ก่อนจะไปก็อยากให้รู้ว่าสาทำเพราะรักพี่จริง ๆ อีกเรื่องที่อยากบอกก็คือสาไม่ได้ผลักแม่พี่”
“...”
“...”
“ไปเถอะ อย่าลืมติดต่อมาด้วยล่ะ”