ฟ้าวันใหม่ (1)
“แม่จ๋า!”
เสียงเรียกของเด็กสาวอายุหกขวบดังไปทั่วบริเวณ ทว่ามันก็ไม่ได้เป็นการรบกวนผู้อื่นเพราะดูเหมือน ณ สถานที่แห่งนี้ไม่ว่าใคร ๆ ก็เอาแต่ตะโกนเรียกหาผู้ปกครองของตัวเอง
เธอที่เห็นว่าลูกของตนวิ่งมาทางนี้พร้อมกับอ้าแขนออกจึงได้แต่ย่อตัวพลางอ้าแขนรับร่างเล็ก ๆ ที่จะมาถึงตัวในไม่ช้า ก่อนจะโอบกอดเด็กน้อยด้วยความรัก ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงครูประจำชั้นคอยปรามเด็ก ๆ ว่าให้เดินช้า ๆ แทนการวิ่ง ไม่อย่างนั้นจะเกิดอุบัติเหตุได้ แต่คงไม่มีใครสนใจจะฟัง
เธอได้แต่คิดในใจว่าเด็กหนอเด็ก จากนั้นก็จูงมือลูกสาวไปทางรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ด้านหน้าโรงเรียน
มีเสียงทักทายตามประสาคนรู้จักมาตลอดทางเดิน เพราะตั้งแต่วันนั้นก็เป็นเวลาเกือบหกปีเห็นจะได้ที่สองแม่ลูกมาลงหลักปักฐานที่นี่ ไหนยังต้องหาเลี้ยงชีพเลยใช้เงินทุนที่มีในการเปิดร้านข้าวมันไก่ไว้เพื่อเป็นอาชีพหลัก เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้จักมักจี่กับผู้คนในละแวกนี้เป็นอย่างดี ด้วยส่วนมากก็เป็นทั้งลูกค้าและเพื่อนบ้าน
ในส่วนของเงินทุนนั้นเธอมีอยู่มากทีเดียว เพราะนอกจากจะได้ที่สามีเก่ามาแล้ว ในวันที่แม่สามีมาโน้มน้าวให้ออกจากบ้านเพื่อแลกกับเงินก้อนหนึ่ง วันนั้นแม้ว่าจะส่งกลับไปแล้วแถมอีกฝ่ายยังรับไว้ แต่ตอนที่เธอตกบันไดด้วยมารยาของตัวเองนั้น ซองสีขาวที่บรรจุเช็คได้ตกไปอยู่ที่พื้น เธอเก็บไว้เพราะหวังว่าจะได้ส่งคืนเจ้าของ แต่กลายเป็นว่าต้องออกจากบ้านในที่สุด
สุดท้ายจึงเลือกที่จะเก็บมันไว้เอง เพราะการที่ต้องออกมาอยู่กับลูกสองคนนั้นมันมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยทีเดียว และเงินจำนวนนั้นที่ได้จากคนทั้งสองก็สามารถทำให้ชีวิตการเป็นอยู่ของเธอและลูกสุขสบายได้ในระดับหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องทำงานต่อไปเพราะลูกก็โตขึ้นทุกวัน
“แม่จ๋า” ประโยคเดิมของลูกทำให้เธอละสายตาจากผู้ปกครองของเด็กคนอื่นที่เดินผ่านไปแล้วต่างก็ทักทายกันตามมารยาท เดิมทีเธอคิดว่าลูกอาจจะถามถึงเรื่องมื้อเย็นหรืออะไรก็ตามที่เป็นชีวิตประจำวันของสองเรา แต่เปล่าเลย “พ่อกับน้องเฟยจะมาวันไหนเหรอ”
พ่อก็คือสามีเก่าของเธอ ส่วนน้องเฟยนั้นไม่ใช่น้องแท้ ๆ ของเด็กสาว แต่เป็นน้องชายต่างมารดา
เพราะให้หลังประมาณครึ่งปีเขาก็แต่งงานใหม่ อันที่จริงเธอก็เสียใจไม่น้อยแต่ชีวิตต้องเดินหน้าต่อ ก็เลยเดินไปทั้ง ๆ ที่ใจแหลกสลายไปแบบนั้น อีกอย่างก็ชักจะเหนื่อยกับการต้องเป็นภรรยาที่ไม่ถูกรักและลูกสะใภ้ที่ไม่มีใครต้อนรับแล้ว อยู่แบบนี้ก็ดี มันดีที่สุดที่ชีวิตนี้จะได้รับ
เธอได้เป็นตัวเองและได้เป็นแม่ของเหมย ชื่อนี้ได้มาจากการที่พ่อสามีชอบเรียกแบบนี้ กระทั่งชื่อของหลานชายยังเป็นคนตั้งเองเลย และแม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นั่นและรับรู้ความเป็นไปของคนในบ้าน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าหลานชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่แม่สามีรักและหวงมากทีเดียว เพราะทุกครั้งที่เขามาหาลูกและพาลูกชายมาด้วยนั้น หล่อนมักจะโทร. จิกเป็นไก่ให้รีบกลับ รวมถึงภรรยาคนใหม่ด้วย
คงกลัวถ่านไฟเก่าปะทุกระมัง เอาน่า อย่ากังวลไปเลย เรื่องแบบนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าว่างพวกเขาก็มาเองแหละ ทำไม คิดถึงเหรอ” เด็กตัวน้อยแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
เธอ...เธอก็คิดถึงเหมือนกัน
ซึ่งเป็นจังหวะที่ทั้งสองเดินมาถึงรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้พอดี เธอจึงไม่ต่อบทสนทนาอะไร ให้มันตัดจบไปดื้อ ๆ แบบนั้นก่อนจะขี่รถออกไปจากบริเวณนี้เพื่อที่จะตรงกลับบ้าน
ตัวบ้านนั้นอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่มาก บวกกับเป็นเขตชุมชนจึงไม่ให้ความรู้สึกเปลี่ยว ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่นิยมออกนอกบ้านตอนกลางคืนถ้าไม่จำเป็น เท่าที่จำได้ก็มีไม่กี่ครั้ง แต่มีครั้งหนึ่งที่จำได้ดีคือจู่ ๆ ลูกก็ปวดท้อง ไม่ว่าจะโอ๋อย่างไรก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดร้อง มีแต่หนักขึ้นจนในที่สุดก็ต้องพาไปโรงพยาบาลตอนกลางดึก
ในคืนนั้นเธอติดต่อเขาไปหลังจากพาลูกมาส่งถึงมือหมอ เช้ามืดวันนั้นเขาก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เธอในตอนนั้นทั้งกลัวว่าอาการของลูกจะหนักและกลัวว่าจะถูกตำหนิที่ดูแลไม่ดีพอ ทว่าก็ไม่มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นเลย อาการของลูกก็ไม่รุนแรง เขาเองก็ไม่ได้ว่าร้ายอะไร แต่ก็คงจะมีความไม่พอใจปนอยู่เล็กน้อย เขาอาจจะคิดว่าถ้าตัวเองเป็นคนเลี้ยงอาจจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรมา เธอจึงไม่เปิดประเด็นที่จะพาไปสู่จุดที่จะเป็นปัญหาระหว่างกัน
เมื่อมาถึงบ้านก็พากันเดินเข้าไปด้านในอย่างไม่รอช้า เธอตรงไปยังห้องครัวพร้อมกับเตือนลูกว่าอย่าลืมเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นว่าเจ้าเด็กตัวเล็กเดินไปทิ้งตัวลงบนพื้นแล้วคว้าแผ่นซีดีมาเปิดการ์ตูนซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ลูกสาวชื่นชอบมาก เพราะชอบดูการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจจึงขอให้เธอสอนถึงการใช้งานว่าควรใส่แผ่นอย่างไรและต้องกดตัวไหน เพื่อที่ตอนไหนเธอไม่ว่างทำให้ เด็กตัวเล็กจะได้ทำเอง
คนเป็นแม่คิดว่าอีกเดี๋ยวลูกคงทำตามที่บอก เลยไม่อยากจะจ้ำจี้จำไชจึงเลือกที่จะเงียบแล้วปล่อยให้ลูกได้ทำตามใจไปก่อน ส่วนตัวเองก็มาทำหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
เธอใช้เวลาสักพักใหญ่ ๆ ในการทำอาหาร หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตักแยกไว้หนึ่งชุดเพื่อที่จะนำไปให้คุณยายที่อาศัยอยู่บ้านใกล้ ๆ กัน หล่อนไม่ได้มีฐานะยากจนแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นคนที่เธอนับถือเหมือนผู้ใหญ่และทำแบบนี้มาตั้งแต่ช่วงย้ายมาอยู่
เพราะไม่ได้เลือกที่จะกลับบ้านของตัวเอง การมาอยู่ที่นี่ในตอนนั้นแม้ว่าจะมีเงินติดตัวมาแต่มันก็ไม่ง่ายเลย แต่เพราะได้เพื่อนบ้านที่น่ารักคอยช่วยเหลือ เนื่องด้วยเป็นท้องแรกและเธอไม่ใช่คนที่มีความรู้มากนักเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตร ก็ได้คุณยายนี่แหละที่คอยช่วยและดูแลลูกสาวมาตั้งแต่ยังเป็นแค่เด็กทารกวัยไม่กี่เดือน หล่อนเอ็นดูลูกของเธอเหมือนหลานแท้ ๆ และทั้งสองคนแม่ลูกก็นับถืออีกฝ่ายเหมือนคนในครอบครัวเช่นกัน
“ทำไมหนูยังไม่เปลี่ยนชุดอีก แม่ว่าจะไม่บ่นแล้วนะ”
เธอเคยอยู่ในฐานะลูกมาก่อนและรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ นั่นคือการโดนบ่นหรือโดนวานให้ทำสิ่งต่าง ๆ มากมายในเวลาที่ไม่อยากทำ เพราะเหตุนั้นเลยไม่อยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ให้ตายเถอะ แม่ลูกสาวคนนี้มันรั้นเสียจริง ขนาดพูดออกไปแบบนั้นแล้วก็ยังตอบมาว่าเดี๋ยวก่อน
“งั้นเดี๋ยวแม่เอากับข้าวไปให้ยายอุ่นก่อน กลับมาต้องเห็นว่าลูกเปลี่ยนชุดแล้วนะ” หลังจากอีกฝ่ายรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ เธอก็ไม่พูดอะไรต่อและเลือกที่จะเดินออกจากบ้านเพื่อไปยังบ้านหลังข้าง ๆ
เมื่อไปถึงก็ทักทายอย่างสนิทสนม คงเพราะผู้คนแถวนี้มักจะพูดคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ทำให้เธอเองก็ติดลมเช่นกัน นอกจากเจ้าของบ้านกับคุณแม่ลูกหนึ่งแล้วยังมีคนอื่นมาหาคุณยายอีก ซึ่งก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในละแวกนี้ที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว
“นี่ ทำไมไม่ขายข้าวหมูแดงด้วยล่ะ มันเป็นของคู่กันนะ ยายล่ะอยากกินฝีมือเรา” เป็นยายนวลที่พูดออกมาแบบนั้น ซึ่งเธอก็ตอบออกไปด้วยความสัตย์จริงว่าหากขายหลายอย่างก็เกรงว่างานจะรัดตัวเกินไป อีกฝ่ายหัวเราะออกมาน้อย ๆ ก่อนจะพูดต่อ “แล้วนี่พ่อเขาจะมาอีกทีวันไหนล่ะ”
หล่อนหมายถึงพ่อของลูกที่ไม่ได้ติดต่อกันเลยหากไม่มีเรื่องสำคัญจริง ๆ ทุกครั้งที่เขาจะมาก็ไม่เคยบอกกล่าวอะไร เป็นเหตุให้เธอตอบคำถามของคนอื่นไม่ได้เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ครั้นจะติดต่อไปเพื่อถามไถ่ก็ดูว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ควร เดี๋ยวบ้านนั้นก็หาว่าเธอทอดสะพานให้คนของเขาอีก
“เรื่องนั้นสาก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวว่างก็คงจะมาเอง” เธอตอบไปแบบนั้นก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่รถเก๋งที่จอดอยู่หน้าบ้านนั่นของกี้เหรอ”
“อื้อ เพิ่งมาถึงเมื่อบ่ายนี่เอง” หลังจากนั้นยายนวลก็สาธยายความดีความงามของหลานชายให้เธอและยายอุ่นฟัง ทั้งคู่ก็ตั้งใจฟังโดยไม่ขัดอะไร เธอเข้าใจว่าคนแก่ ๆ นั้นไม่มีเรื่องไหนดีกว่าการยกเรื่องของลูกหลานมาพูดในวงสนทนา ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่แต่ก็ไม่มีใครแทรกขึ้น และเมื่อเห็นว่าชักจะกินเวลามากพอสมควรเธอจึงขอตัวกลับบ้านโดยอ้างว่าลูกสาวอยู่คนเดียว กลัวจะเล่นซนจนเกิดเรื่องไม่ดี
เสียงการ์ตูนดังเข้าโสตประสาทตั้งแต่เดินมาถึงประตูหน้าบ้าน เมื่อมองเข้าไปก็เห็นว่าเด็กสาวตัวเล็กยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แถมชุดที่ใส่ก็ยังเป็นชุดนักเรียนอีกด้วย เลยได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเอือมระอา ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปด้านใน ทันทีที่เห็นเธอ เด็กตัวเล็กก็ได้แต่เบิกตาโตพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะร่า คนเป็นแม่ที่เดิมทีทำหน้าบึ้งหน่อย ๆ ก็เป็นอันหลุดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
น่ารักขนาดนี้ คงโกรธไม่ลง
“ดื้อได้ใครเนี่ย” เธอพูดขึ้นหลังจากที่เดินไปหยิบเสื้อผ้าแล้วกลับมาที่เดิม จากนั้นก็จัดการแต่งตัวให้ลูกสาว เพราะหากรอให้เจ้าตัวเล็กทำเองก็คงไม่ได้การ
เรื่องดื้อรั้นมันก็ทำให้ตัวเธอเหนื่อยอยู่ไม่น้อย แต่ในความเหนื่อยมันยังเจือปนอีกหลายความรู้สึก ทั้งรัก ทั้งเอ็นดู และเธอรู้สึกว่าการมีอยู่ของเด็กคนนี้นั้นได้เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ได้เรียนรู้ที่จะดูแลคนอื่นนอกจากตัวเอง ได้สัมผัสความเป็นแม่ที่คงไม่เข้าใจดีเท่านี้ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง
ให้หลังประมาณสามวันก็เห็นว่าสามีเก่าได้ขับรถมาจอดบริเวณหน้าบ้าน เพราะเป็นช่วงเที่ยงจึงมีลูกค้ามากพอสมควร เธอเลยได้แต่หันไปยิ้มทักทายให้เด็กตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมอกของอีกฝ่าย ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปในบ้านพร้อมกับเสียงของลูกสาวที่ดังขึ้นด้วยความดีอกดีใจ
ไม่นานนักของก็หมด เมื่อถึงเวลาปิดร้านก็จัดการอย่างที่ทำมาทุกวัน พอทุกอย่างเรียบร้อยก็เข้าไปสมทบกับคนอื่น ๆ ที่ ณ ตอนนี้ก็ดูจะมีความสุขกันดีอย่างทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน
เขามักจะพูดว่าลูกสาวโตขึ้นทุกครั้งที่ตนมาหา มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว หากไม่ได้เห็นกันบ่อย ๆ ก็จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายแปลกตาไป อย่างเธอยังรู้สึกว่าเขาดูโตกว่าตอนที่อยู่ด้วยกัน รวมถึงลูกชายของเขาด้วยที่นับวันก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อย ๆ
“ช่วงนี้อาจจะไม่ได้มาหาบ่อย ๆ แล้วนะ” จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองง่วนอยู่กับการเล่นของเล่น เธอจึงหันไปเลิกคิ้วเป็นคำถาม ไม่รู้ทำไมยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งรู้สึกว่าห่างไกลจากเขาขึ้นเรื่อย ๆ “ปัดเขาท้องน่ะ”
“เหรอ”
คู่สนทนาพยักหน้ารับ “คนท้องก็ไม่ควรคิดมากใช่ไหมล่ะ”
“กี่เดือนแล้ว” เธอเลือกที่จะตอบด้วยคำถามเพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าภรรยาใหม่นั้นไม่ค่อยสบายใจที่เขามาที่นี่ อย่างไรเสียระหว่างเธอและเขามันก็ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ดังนั้นให้มันเป็นเพียงความคิดถึงก็คงจะพอ
“จะสามเดือนแล้ว” เธอพยักหน้ารับก่อนที่จะเกิดความเงียบชั่วอึดใจ สุดท้ายก็เป็นเขาที่โพล่งขึ้นมาก่อน “ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทร. ไปได้ตลอด หลังคลอดก็คงจะมาหาลูกได้เหมือนเดิม ช่วงนี้ก็ฝากด้วยนะ”
“ฝากอะไรล่ะ ลูกสาสาก็ต้องดูแลอยู่แล้ว”
“นั่นสิ แล้ว...” เมื่ออีกฝ่ายหยุดพูดไปดื้อ ๆ เธอจึงหันไปเลิกคิ้วใส่ แต่เขาก็แค่ส่ายหน้ากลับมาเท่านั้น
ทั้งสองจึงถูกความเงียบครอบงำ แต่แล้วเธอก็เป็นคนทำลายมันลงด้วยการถามไถ่ทั่ว ๆ ไปอย่างงานเป็นอย่างไรบ้าง พ่อสบายดีหรือเปล่า ซึ่งเป็นคนเดียวในบ้านหลังนั้นที่เธอจะพูดถึง ส่วนคนอื่น ๆ นั้นไม่มีความจำเป็นให้นึกถึงด้วยซ้ำ โดยเฉพาะแม่สามีที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะสำลักความโกรธไปหรือยังที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาที่นี่ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่ดีสักเท่าไรแต่ก็ไม่คิดว่าควรเจอการกระทำอย่างนั้นจากผู้ใหญ่ และต่อให้เวลาผ่านพ้นไปแค่ไหนเธอก็ไม่เคยอภัยให้หล่อนเลย สักวันมันต้องเป็นวันที่ผู้หญิงคนนั้นเจ็บปวดเหมือนที่เธอพบเจอ
เสียงทุ้มดังขึ้น “ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรใช่ไหม”
“หมายถึงสาเหรอ” เธอเอียงคอมองคนพูด เมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้าเป็นคำตอบก็เปิดปากพูดต่อ “ก็มีบ้าง ร่างกายมันไม่ค่อยรักดีน่ะ”
“ดูแลสุขภาพด้วย อย่าโหมงานหนัก”
รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้า “พี่ก็เหมือนกัน”