บท
ตั้งค่า

ฟ้าวันใหม่ (2)

เมื่อเวลาเลิกเรียนมาถึง เหล่าเด็กน้อยก็พากันเดินออกมาจากห้องเรียน

เสียงจอแจดังไปทั่งบริเวณทั้งจากลูกเด็กเล็กแดงและพวกผู้ปกครองที่จับกลุ่มคุยกัน บ้างก็มองไปยังลูกหลาน บ้างก็มองมาทางนี้ เขาละสายตาจากผู้คนรอบข้างเมื่อเห็นว่าลูกสาวเดินออกมาพร้อมเพื่อนของเธอ และเมื่อสบตากัน อีกฝ่ายก็เอียงคอมองอย่างนึกสงสัย คงเพราะนี่คือครั้งแรกที่คนเป็นพ่อได้มีโอกาสมารับลูกที่โรงเรียน

“แล้วแม่จ๋าล่ะ” คำถามแรกถูกยิงมาหาก่อนที่จะยกมือไหว้เสียอีก แต่ครู่เดียวเธอก็ทำความเคารพอย่างที่ควรจะเป็น

ร่างสูงย่อตัวลงไปพลางอุ้มลูกสาวไว้ในอ้อมอก แล้วจึงเดินไปที่รถโดยที่ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ในที่สุดเธอก็โพล่งประโยคเดิมขึ้นอีกครั้ง แต่เขาก็ตอบกลับไปด้วยความเงียบไม่ต่างจากครั้งแรก

ระหว่างทางก็มีเสียงพูดเจื้อยแจ้วของเด็กน้อย ผู้เป็นพ่อเองก็เออออไปตามน้ำแม้ว่าในใจจะยังรู้สึกหน่วง ๆ เมื่อมาถึงที่หมาย เด็กตัวเล็กก็รีบแจ้นเข้าไปในบ้านพร้อมกับตะโกนเรียกแม่จ๋าไปตลอดทาง จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับมีเข็มนับพันทิ่มมาที่กลางอก

ทั้ง ๆ ที่น้ำตาไม่ไหลออกมาสักหยดแต่เหมือนว่าข้างในนั้นมันจะท่วมไปแล้วด้วยซ้ำ เสียงของลูกยังดังขึ้นเป็นระยะ ขายาวสาวเท้าเดินเข้าไปด้านในด้วยใจที่หนักอึ้ง เบื้องหน้าคือเด็กตัวเล็กที่นั่งอยู่บริเวณหน้าโทรทัศน์ที่ตอนนี้มีการ์ตูนเรื่องโปรดฉายอยู่ เพราะมักจะมาหาในวันหยุดเลยไม่รู้ว่าชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปของลูกเป็นอย่างไร แต่นี่คงเป็นหนึ่งในนั้น

“เหมย ลูกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป”

“เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนได้ แม่ไม่ว่า”

ไม่รู้ว่าสาให้ท้ายลูกหรือว่ารั้นเพราะเป็นนิสัยของเจ้าตัวเล็กเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน สำหรับเขาแล้ว เธอทำหน้าที่แม่ได้ดีคนหนึ่งเลย

“รู้ว่าแม่ไม่ว่า แต่เรามีที่ที่ต้องไปนะ” ลูกสาวละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วใส่ผู้เป็นพ่อ “ไปหาแม่ จะไปไหม”

เด็กน้อยยิ้มร่าก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปที่ห้องนอน ไม่นานนักก็ออกมาในชุดลำลอง ทั้งสองจึงพากันไปที่รถอีกครั้งโดยที่เธอไม่เอ่ยถามสักนิดว่ากำลังจะไปที่ไหน เด็กน้อยรู้เพียงกำลังจะได้ไปหาแม่เท่านั้น

ผ่านไปไม่กี่นาทีก็ถึงที่หมาย เด็กน้อยชะเง้อหน้ามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเบนสายตามาทางที่นั่งคนขับ เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปแต่เลือกที่จะจอดรถแล้วอุ้มลูกไปยังสถานที่เบื้องหน้า ทันทีที่ไปถึงก็พบเข้ากับบิดาของตัวเองนั่งรออยู่ก่อนแล้ว อันที่จริงทั้งคู่ก็มาด้วยกัน เพียงแต่เขาต้องปลีกตัวออกไปรับลูกสาวก็เท่านั้น และเมื่อมาถึง บิดาก็จ้ำอ้าวมาที่เด็กตัวเล็กอย่างไม่รอช้า

เพราะนับจากวันที่ลูกสะใภ้ออกมาจากบ้านซึ่งก็ผ่านมาประมาณหกปีแล้ว ระหว่างนั้นเขาไม่ได้เจอกับหลานอีกเลย ครั้งสุดท้ายที่เห็นก็ยังเป็นแค่เด็กทารก นั่นคงทำให้เธอรู้สึกเกร็งเพราะไม่คุ้นเคย สุดท้ายก็เดินมาหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นพ่อ การกระทำนั้นสามารถเรียกรอยยิ้มบางๆ จากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

“นี่ปู่เอง เป็นพ่อของพ่อหนู แล้วก็เป็นปู่ของหนู” ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอก็ยังคงจับชายเสื้อของเขาไว้แน่นโดยไม่มีวี่แววว่าจะปล่อย “ไม่ต้องกลัวนะ ไหนมาให้ปู่กอดที”

“ไปเถอะ ปู่เขาใจดี” หลังจากจบประโยคของเขา เธอก็ค่อย ๆ คลายมือออกแล้วเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้า

ก่อนที่ผู้เป็นปู่จะโอบกอดพร้อมกับลูบหลังไปมาอย่างอ่อนโยน สายตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจนั้นทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี สักพักก็พากันเดินเข้าไปในศาลาที่ตอนนี้มีผู้คนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อาจจะเพราะอดีตภรรยาเป็นคนอัธยาศัยดี ในเวลาแบบนี้จึงมีชาวบ้านมาช่วยงานอย่างไม่ขาดสาย

“แล้วแม่จ๋าอยู่ไหน ไม่เห็นมีเลย” ร่างใหญ่พ่นลมหายใจออกมาราวกับว่าเป็นการตั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะจูงมือลูกไปนั่งยังหน้าโลงศพ “นั่นไง นั่นแม่จ๋า”

“ใช่ นั่นรูปแม่จ๋าของเหมยเอง อะ ไหว้สิ” ว่าพลางยืนธูปที่ถูกจุดไปให้จำนวนหนึ่งดอก มือเล็กๆ ยื่นมารับไว้อย่างว่าง่ายแม้ว่าสายตาจะเต็มไปด้วยความฉงน จากนั้นก็ไหว้ศพตามที่เขาทำให้ดู แต่เหมือนว่าเธอจะยังไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างแม้ว่าจะปักธูปลงไปในกระถางแล้วก็ตาม

“ไม่เห็นมีแม่เลย” ปากเธอพูด ส่วนสายตาก็มองไปยังรูปภาพสลับกับผู้เป็นพ่อ “พ่อโกหกหนู”

“เปล่า แต่แม่เขาไปในที่ไกล ๆ น่ะ”

“ไปในที่ไกล ๆ คืออะไร” เด็กน้อยทวนคำพูดอย่างไม่เข้าใจ “แล้วทำไมไม่พาหนูไปด้วย”

“มันยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้แม่จ๋าไปรอพวกเราอยู่ที่สะพานสายรุ้ง ที่นั่นแม่จ๋าจะมีความสุขมาก ๆ เพราะแม่จ๋าของหนูเป็นนางฟ้า มีปีก แล้วก็ใส่ชุดสีขาว แล้ววันหนึ่งพวกเราก็จะได้ไปเจอแม่จ๋าที่นั่น แต่ไม่ใช่วันนี้”

“อ๋อ” ใบหน้าจิ้มลิ้มพยักขึ้นลงอย่างว่าง่าย ทีแรกก็คิดว่าเรื่องคงจบ แต่แล้วเธอก็วกกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง “แล้วตอนนี้แม่จ๋าอยู่ไหน หนูอยากอยู่กับแม่จ๋า อยากอยู่กับนางฟ้า อยากมีปีกด้วย”

ความไร้เดียงสาของเด็กทำให้เขาหนักใจไม่น้อยเนื่องจากไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร จะให้บอกไปตรง ๆ ก็กลัวว่าลูกจะเสียใจ แต่พอโกหกไปก็ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจแล้วเอาแต่เรียกหามารดาของตน ในที่สุดก็มีบุคคลที่สามอย่างบิดาเข้ามาช่วยคุยโดยโน้มน้าวว่าแม่ของเธอต้องไปทำงานที่อื่นและจะกลับมาหาในวันที่เด็กน้อยโตแล้ว ตอนนี้ก็มีแค่รูปที่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น

ถึงกระนั้นก็เถอะ ด้วยความเป็นเด็กก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไร และเมื่อไม่เห็นแม่ของตนเป็นเวลานานก็ร้องออกมาจนได้ ยายคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่ายายอุ่นก็เข้ามาอุ้มพร้อมกับปลอบประโลมเด็กน้อย จนเสียงร้องไห้หายไปและหลงเหลือไว้เพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น

ไม่นานนักเธอก็ผล็อยหลับไปทั้งยังอยู่ในอ้อมกอดของยายอุ่น แม้ว่าเขาจะเสนอตัวเป็นคนพาลูกไปนอนแต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธแล้วบอกว่าตนจะจัดการเรื่องของเด็กน้อยเองเพราะอย่างไรเสียเธอก็เหมือนหลานแท้ ๆ

เขาไม่ขัดอะไรเพราะเห็นว่าหล่อนสามารถดูแลได้ จึงปลีกตัวออกมาดูแลความเรียบร้อยของงานก่อนที่บรรดาแขกเหรื่อจะเดินทางมาถึง อันที่จริงเขาอยากให้พ่อแม่ของอดีตภรรยามาด้วยแต่ก็ไม่รู้ว่าจะติดต่ออย่างไร มิหนำซ้ำยังไม่รู้จักบ้านเกิดของเธออีกด้วย ความสัมพันธ์ของสองเรานั้นมองเผิน ๆ อาจจะดูเหมือนรู้จักกันดี แต่จริง ๆ แล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น แม้จะมีลูกด้วยกันแต่ก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเลย ไม่สิ เพราะการมีลูกด้วยกันมันเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด สำหรับเธอมันคือความรัก แต่สำหรับเขามันคือความรับผิดชอบ

เวลาเดินผ่านไปเรื่อย ๆ จนถึงวันฌาปนกิจ ลูกสาวยังใช้ชีวิตเพื่อรอให้แม่กลับมารับ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็รู้สึกได้ว่าสายตาของลูกนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจ บางทีก็ร้องไห้ออกมาเฉย ๆ พร้อมพูดว่าอยากเจอแม่ ยังดีที่มียายอุ่นคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรับมือกับความไร้เดียงสาของลูกสาวได้อย่างไร แต่ต่อไปนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเขาเองแล้วเพราะต้องพาลูกไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน ส่วนบ้านหลังนี้ก็คงจะต้องขายแล้วยกเงินให้เป็นของทายาทคนนี้ไป

ต่อไปนี้ชีวิตเขาคงวุ่นวายไม่น้อย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ลูกสาวอย่างเดียวว่าจะปรับตัวเข้ากับที่ใหม่ได้หรือไม่ ยังมีแม่หรือผู้เป็นย่าที่ไม่มีความเอ็นดูเธออยู่เลยสักนิด ภรรยาคนปัจจุบันเองก็เพิ่งคลอดลูกได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ

แต่ชีวิตก็เดินมาถึงจุดนี้แล้ว อย่างไรลูกสาวคนโตก็ต้องไปอยู่ที่นั่นอยู่ดี

“ไปอยู่กับพ่อนะ” เขาพูดพลางอุ้มเธอไว้ ท่าทีของลูกสาวไม่ได้ต่อต้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะพูดคุยอะไร ทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น นั่นยิ่งทำให้รู้สึกเสียดในอกเพราะสงสารลูกจับใจ หากรู้ว่าแม่ของตนไม่มีชีวิตอยู่บนโลกและต่อไปนี้จะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกจะเสียใจขนาดไหนกัน

ขอให้วันที่ได้รับรู้เรื่องนี้จะเป็นวันที่เด็กน้อยเข้มแข็งพอจะทำใจได้แล้วด้วยเถิด

เขามองไปที่โลงศพก่อนที่มันจะถูกดันเข้าเตาเผาด้วยใจที่ปวดร้าว ครั้งหนึ่งตัวเองเคยทำให้เธอคนนี้เสียใจ และเขารู้สึกผิดกับเธอเป็นอย่างมาก มากเสียจนไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้

ขอสัญญาว่าในฐานะพ่อจะขอปกป้องลูกจากความเสียใจทั้งปวง

ไม่ต้องห่วงนะ จะไม่ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel