ฟ้าวันใหม่ (3)
เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณสมกับเป็นเกมเซ็นเตอร์ แต่เธอเริ่มชินแล้วเพราะมา ณ ที่แห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วน และทุกครั้งก็เป็นเพราะน้องชายเป็นคนชวน ส่วนตัวเธอนั้นไม่ได้อยากมาในที่ที่มีคนจำนวนมากแบบนี้นัก หากเลือกได้ก็จะเลือกนอนอยู่ที่บ้านมากกว่า แต่พ่อไม่อนุญาตให้น้องไปไหนมาไหนเพียงลำพัง เธอจึงต้องคอยตามไปด้วยเหมือนเงาตามตัว แต่หมอนั่นไม่ยักจะรำคาญ มิหนำซ้ำยังเป็นตัวตั้งตัวตีให้เธอติดสอยห้อยตามไปด้วย
เมื่อก่อนก็มีแค่น้องชายคนเดียว แต่เดี๋ยวนี้น้องสาวมาด้วยอีกคน และการที่เด็กอายุสิบหกต้องมาดูแลเด็กสิบสี่และสิบขวบในเวลาเดียวกันนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในกรณีที่ทั้งคู่ไม่ดื้อมันก็ยากอยู่แล้ว แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามแบบนั้น
เธอรักน้อง ๆ ของตัวเองนะ แต่ก็ไม่ลบความจริงที่ว่าบางทีทั้งคู่ก็ทำให้เหนื่อยใจ
“หมวย ไม่ไปทางนั้นสิ อยู่แค่ตรงนี้พอ”
“แต่หนูอยากเล่นอันนั้น”
“เดี๋ยวค่อยไปได้ไหม รอให้เฮียเฟยเล่นเสร็จก่อน” พอปฏิเสธไปแบบนั้นเจ้าตัวก็เริ่มเบะปากอย่างเอาแต่ใจ
ถ้าเลือกทำตามใจได้เธอจะทิ้งน้อง ๆ ไว้ที่นี่แล้วกลับบ้านไปนอน แต่คงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับทั้งสองคน หัวเธฮคงหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ การอยู่ในจุดที่เป็นหลานชังมันก็เป็นแบบนี้แหละ อะไร ๆ ก็เธอทั้งนั้น ประโยคนี้ไม่ได้จับฉลากแต่โดนมากับตัวจริง ๆ
“ถ้าร้องจะพากลับบ้านนะ เจ๊จะไปแยกร่างดูพวกเราได้ยังไงไหวอะ คลาดสายตาแป๊บเดียวก็หายแล้ว เดี๋ยวก็หากันให้วุ่นอีก”
เมื่อสองเดือนที่แล้วเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น เพราะเธอประมาทเลินเล่อ คิดว่าแม้ทั้งคู่จะแยกกันเล่นก็คงดูได้ทั่วถึง แต่ก็ดันคลาดกับน้องสาวจนได้ เพราะจู่ ๆ อีกฝ่ายก็เดินตามใครสักคนไปไม่รู้ ใจของพี่คนโตตกลงไปอยู่กับพื้นเพราะกลัวว่าน้องจะหายหรือว่าถูกลักพาตัว เธอคิดถึงในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเลยคือน้องสาวอาจจะโดนลวงไปฆ่า แต่แล้วก็หาเจอจนได้โดยที่ต้องให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์เป็นตัวช่วย และเรื่องนี้ก็เป็นความลับของสามพี่น้อง เพราะถ้าคนที่บ้านรู้เข้าคงจะไม่ดีกับเธอ
สืบเนื่องจากเหตุการณ์นั้น วันนี้เธอจึงไม่ปล่อยให้เด็ก ๆ แยกกันตามใจต้องการ
“แล้วเมื่อไรเฮียจะเล่นเสร็จ”
“แป๊บหนึ่ง” ภาสกรตอบมาอย่างนั้นโดยไม่หันมามอง พี่คนโตก็ยืนรออยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ลืมจับมือน้องสาวไว้แน่น ผ่านไปไม่นานน้องชายก็ลุกออกจากเก้าอี้ ทั้งสามจึงพากันเดินไปยังจุดที่น้องสาวต้องการ
สามพี่น้องใช้เวลาอยู่ในเกมเซ็นเตอร์เกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะเลิกเล่นและเดินไปโซนร้านอาหาร เลือกร้านที่น้อง ๆ อยากเข้าเพราะเธอมันอะไรก็ได้ ขอแค่อิ่มก็พอ และเมื่อเลือกร้านได้ก็เดินเข้าไปนั่งด้านใน เพราะเป็นวันเสาร์จึงมีผู้คนมาใช้บริการที่ห้างสรรพสินค้านี้เป็นจำนวนมาก รวมถึงร้านที่พวกเธอเข้าไปด้วย ทำให้ต้องรออยู่นานสองนานกว่าอาหารจะมาเสิร์ฟ
หลังจากจัดการอาหารที่สั่งมาเรียบร้อยแล้วก็พากันกลับบ้าน ที่จริงน้องชายยังอยากเดินเล่นอีกสักหน่อยแต่เธอเหนื่อยเกินกว่าจะตามใจแล้ว ดังนั้น ณ ตอนนี้ทั้งสามพี่น้องจึงนั่งอยู่บนรถแท็กซี่แทนที่จะเดินเตร็ดเตร่อยู่ในห้าง
ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้านก็พบเข้ากับย่าและแม่ใหญ่นั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องรับแขก เธอตั้งใจจะเบี่ยงตัวเพื่อเดินเข้าห้องแต่ก็มีเสียงเรียกดังขึ้น หากดึงดันจะขึ้นไปบนห้องก็คงเสียมารยาทน่าดู เพราะเหตุนั้นทั้งเธอและน้องอีกสองคนจึงเดินไปนั่งกับพวกผู้ใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้
มันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม้ว่าเธอยังเด็กแต่ก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ และคิดว่าไม่ว่าใครก็คงรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ดีหรือไม่ดี เขาเกลียดหรือรัก นอกจากจะแสดงออกทางการกระทำได้แล้วมันยังแสดงออกทางสายตาได้อีกด้วย
ตอนย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ทั้งแม่ใหญ่และย่ามักจะดุเธอเป็นประจำ เว้นเสียตอนอยู่กับพ่อและปู่ แต่ลับหลังก็จะดุด่าว่ากล่าวจนเธอรู้สึกกลัว แค่ขยับตัวยังกลัวว่าจะผิด แม้ว่าจะไม่มีคำตอบที่ชัดเจนแต่เธอก็พอจะเข้าใจได้เมื่อเติบโตขึ้น เธอได้เข้าใจว่าเพราะย่าไม่ชอบแม่และหลานคนนี้ ทั้งสองคนถึงต้องไปอยู่ที่อื่น และพอแม่ตายก็ต้องกลับมาอยู่ที่นี่
เรื่องที่แม่ตายนั้นเธอก็รู้นานแล้วหลังจากโดนพ่อหลอกว่าแม่ไปรออยู่ที่สะพายสายรุ้งอะไรสักอย่าง ซึ่งมันไม่มีจริง แล้วปู่ก็บอกว่าแม่แค่ไปที่ไกล ๆ และจะกลับมาในสักวัน ความจริงคือไม่มีวันที่แม่จะกลับมาเลยต่างหาก
เธอไม่อยากจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน แต่หลาย ๆ อย่างก็ทำให้รู้สึกแบบนั้น มันเป็นความรู้สึกที่กัดกินหัวใจมาเนิ่นนาน แม้พ่อและปู่จะพยายามมอบความรักให้ก็ตามที แต่ที่นี่น้อง ๆ มีทั้งพ่อ แม่ ปู่และย่า ต่างกับเธอลิบลับ บางทีก็อยากรู้ว่าตาและยายของตัวเองอยู่ที่ไหน เผื่อว่าที่นั่นจะเต็มใจเลี้ยงดูเธอมากกว่านี้ แต่พอถามพ่อถึงที่อยู่ของทั้งสองก็ไม่เคยได้รับคำตอบเลยสักครั้ง
มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเด็กสาวนามว่ามัทรีกัน ทำไมถึงต้องมีญาติแค่ฝ่ายเดียว แถมยังเป็นญาติที่ไม่ค่อยจะเอ็นดูด้วย ทั้ง ๆ ที่เธอก็เป็นลูกหลานพวกท่านเหมือนกัน
“วันนี้ปู่แกให้เงินไปเท่าไร”
“พันห้าค่ะ”
“แล้วเหลือไหม”
“เหลือสองร้อย”
“ฟุ่มเฟือยจริง ๆ ให้ไปเท่าไรก็ไม่ใช่ว่าจะให้ใช้จนหมดสักหน่อยนี่” ยังไม่ทันได้อธิบายว่ามันหมดไปกับอะไร หญิงวัยชราก็โพล่งขึ้นมาก่อน
แม้ว่าจะใช้เงินกันทุกคน แต่คนที่ต้องรับหน้าก็มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น น้อง ๆ ก็กลัวจนตัวลีบ แต่ความเป็นจริงแล้วทั้งสองจะไม่โดนดุอะไรหรอก ต่อให้ไปกันแค่สองคนแล้วใช้เงินไปมากกว่านี้ก็ไม่โดน แต่ถ้ามีเธอไปเอี่ยว ไม่ว่าจะประหยัดขนาดไหนย่าก็หาเรื่องมาดุได้อยู่ดี ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเงินของปู่และปู่ก็บอกไว้ด้วยว่าให้ใช้ได้ตามสบาย ไม่เห็นมีเหตุผลที่เธอจะต้องโดนดุอย่างนี้เลย
“ส่งที่เหลือมา แล้วก็ขึ้นไปอ่านหนังสือได้แล้ว เมื่อเทอมที่แล้วเกรดก็ตก อ้าว ยังไม่ไปอีก”
มือบางส่งเงินที่เหลือให้ย่าก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนและตรงเข้าห้องนอนของตนอย่างไม่รอช้า เธอรู้มาจากพ่อว่าห้องนี้เป็นห้องที่แม่เคยอยู่มาก่อน เพราะมันเคยเป็นที่ของแม่กระมัง มัทรีถึงรู้สึกรักห้องนี้กว่าที่อื่นในบ้าน
เมื่อเข้ามาแล้วก็คว้าหนังสือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำการบ้านมาถือไว้หนึ่งเล่มพลางสาวเท้าไปยังเตียงนอน ก่อนจะล้มตัวลงนอนเพื่ออ่านหนังสือตามที่ย่าได้สั่งไว้ เธอไม่ใช่คนฉลาดแต่เกิด ไม่ได้มีพรสวรรค์ในการจำ ไม่ได้คิดคำนวณเก่ง ไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ทุกคะแนนมาจากความพยายามที่ต้องพยายาม ซึ่งมันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากทีเดียว เมื่อเทียบกับพวกหัวดีแล้วเธอยังห่างชั้นนัก หากคนเหล่านั้นขยันเรียน เธอก็ต้องขยันมากกว่านั้นสักห้าเท่าเพื่อที่จะได้คะแนนเท่า ๆ กัน
แต่เธอก็ไม่ใช่คนโง่...หมายถึงว่าคนอื่นเก่งเกิดมนุษย์มนาไปน่ะ
เรื่องเหล่านี้มันกัดกินความเป็นตัวเอง บางทีเธอแค่อยากพักและมีเวลาให้ตนได้ทำในสิ่งที่ชอบเท่านั้น ไม่ได้สนเลยว่าเกรดจะเพิ่มหรือตก แค่อยากทำเท่าที่ทำได้ แต่ขนาดพ่อและปู่ยังเอาแต่บอกว่าต้องตั้งใจเรียน มัทรีรู้ว่านั่นคือความหวังดี แต่เธอไม่ได้เต็มใจจะรับ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น
แค่นี้ก็ไม่ค่อยจะถูกรักแล้ว ถ้าดื้อกว่านี้คงไม่มีใครไว้หน้าเป็นแน่
ผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เธอรู้สึกตัวเมื่อน้องชายเข้ามาปลุก คงเพราะผล็อยหลับไปตอนอ่านหนังสือ เธอได้แต่หัวเราะให้กับตัวเองที่พออ่านหนังสือก็เหมือนถูกกล่อมให้จมดิ่งไปในห้วงนิทรา
“อากงกับป๊ากลับมาแล้ว เรียกให้เจ๊ลงไปหาด้วย”
“รู้แล้ว ๆ เดี๋ยวตามไป ขอล้างหน้าก่อน”
“งั้นผมไปก่อนแล้วกัน”
ใบหน้าหวานพยักรับเป็นคำตอบให้กับน้องชายก่อนจะลุกออกจากเตียง จากนั้นก็เข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว แล้วจึงออกไปหาพ่อกับปู่ที่รออยู่ด้านล่าง
“มาแล้วเหรอ นี่ ปู่ซื้อผัดไทยร้านโปรดมาให้เราด้วยนะ” เธอยกมือไหว้พร้อมกับเผยยิ้มร่าแล้วเดินไปหาทั้งสอง จากนั้นก็รับกล่องผัดไทยมาถือไว้ น้อง ๆ เองก็ได้คนละกล่อง ทั้งสามจึงพากันไปนั่งกินที่โต๊ะอาหารแล้วพูดคุยกันไปตามประสา
นับว่าเป็นโชคดีของเธอที่น้องทั้งสองไม่ไหลไปกับคำพูดยุแยงของย่าและแม่ใหญ่ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อยากจะอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับครอบครัวนี้แน่ ๆ เพราะอยู่ไปก็ไม่มีความสุข แต่เอาเข้าจริงตอนนี้ชีวิตเธอมันก็ไม่ได้เข้าใกล้คำว่าสุขอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ไม่ได้ทุกข์ใจอะไรมากมาย
ทันใดนั้นก็เห็นว่าปู่เดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับส่งยิ้มให้บรรดาหลาน ๆ
“วันนี้ไปซื้ออะไรกันมาบ้างล่ะ” หลานสาวคนโตส่ายหน้าเป็นคำตอบ “อ้าว ไม่ได้ไปห้างหรอกเหรอ”
“ก็ไปมานั่นแหละ แต่ไม่ได้ซื้ออะไร แค่พาน้องไปเล่นเกมแล้วก็กินข้าว”
“งั้นรึ ไปทั้งทีน่าจะซื้อขนมติดไม้ติดมือมาด้วย”
“ผมก็จะไปซื้อแล้ว แต่เจ๊จะกลับบ้านท่าเดียวเลย” ภาสกรโพล่งขึ้นและสามารถเรียกรอยยิ้มจากปู่ได้
“ยิ่งโตก็ยิ่งติดบ้านนะเรา แล้วอย่างนี้จะไปธุระกับปู่ได้หรือเปล่าล่ะเนี่ย” เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็หันไปเลิกคิ้วให้คู่สนทนา
ร้อยวันพันปีไม่เห็นว่าคนอย่างเธอจะต้องไปธุระอะไรที่ไหนเลย ชีวิตก็มีแค่บ้าน โรงเรียนและห้างสรรพสินค้า ซึ่งอย่างหลังก็มักจะเป็นเพราะน้องชาย และที่ลืมไม่ได้เลยคือการเที่ยวกับครอบครัวในทุก ๆ ปี แต่ก็เหมือนว่าที่กล่าวมาจะไม่เกี่ยวกับธุระที่ปู่หมายถึง พอปู่พูดอย่างนี้เลยรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“ก็พรุ่งนี้เฮียโตเขากลับมาจากอเมริกา ปู่ก็เลยจะไปแสดงความยินดีสักหน่อย ว่าแต่เราจำเฮียเขาได้ไหม”
“หนูจำได้”
“ดีเลย พรุ่งนี้ก็เตรียมตัวตั้งแต่เช้า ๆ นะ” ว่าจบก็ปลีกตัวออกไป เหลือทิ้งไว้แต่คำสั่งเท่านั้น
สาวเจ้าทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะลงมือกินอาหารตรงหน้าต่อ แต่ก็ไม่วายโดนน้อง ๆ ยิงคำถามใส่
“เฮียเขาเรียนจบแล้วเหรอถึงกลับมาบ้านน่ะ”
“ไม่รู้สิ ไม่ได้สนิทกันสักหน่อย” เธอตอบน้องชายไปแบบนั้นเพราะไม่ได้สนิทกันจริง ๆ เธอรู้แค่ว่าเขาเป็นลูกหลานของเพื่อนปู่ เคยเจอกันไม่กี่ครั้งแถมมันก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว ความจริงเธอจำชื่อเขาได้แต่แทบจะลืมไปแล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร “ถ้าอยากรู้ทำไมไม่ถามปู่ล่ะ หรือไม่พรุ่งนี้ก็ไปด้วยกัน”
“ก็ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นแล้วก็ไม่อยากไปด้วย ขี้เกียจ”
“นี่แหละความรู้สึกของเจ๊เวลาแกตื้อให้พาไปห้าง”
“มันเหมือนกันที่ไหน ไปห้างสนุกจะตาย แต่ไปบ้านคนอื่นมันน่าเบื่อ”
“เผื่อไม่รู้นะ ห้างก็น่าเบื่อสำหรับเจ๊จ้ะไอ้เด็กตูดเอ๊ย”