ฟ้าวันใหม่ (4)
ในวันหยุดที่ควรได้พักผ่อนอยู่ที่บ้านก็เป็นอันว่าต้องไปธุระกับปู่ ระหว่างทางท่านก็เอาแต่พูดถึงบุคคลที่สามอย่างเฮียโตให้ฟังว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้จนเธอชักเอะใจ หวังว่าพวกผู้ใหญ่คงไม่บ้าจี้จับคู่ให้ลูกหลานหรอกนะ เธอยังเด็กอยู่มากและไม่มีความรู้สึกรักใคร่ใครเลยสักคน และแม้ว่าจะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ด้วยกลัวว่าจะดูมั่นอกมั่นใจเกินไป บางทีปู่ก็แค่อยากชื่นชมอีกฝ่ายก็เป็นได้
ไม่นานนักสองปู่หลานก็มาถึงที่หมาย เธอเดินตามหลังปู่ไปต้อย ๆ เพราะไม่คุ้นกับคนอื่น จนในที่สุดก็มาถึงในตัวบ้านที่มีผู้คนรวมตัวกันมากกว่าสิบ เด็กสาวทักทายทุกคนตามมารยาท จะรู้จักหรือไม่ก็ยกมือไหว้ไปก่อน แต่ก็ไม่ได้ไปนั่งร่วมโต๊ะกับปู่เพราะจู่ ๆ ก็มีใครสักคนในวงล้อมนั้นโพล่งออกมาว่าให้เด็ก ๆ ไปนั่งคุยกันที่สวน มันไม่ได้มีแค่เธอกับเขา แต่ยังมีคนรุ่นราวคราวเดียวและอายุมากกว่าอีกประมาณห้าคน เฮียโตจึงพาพวกเด็ก ๆ ออกไปนั่งด้านนอกตามคำสั่ง
และเหมือนว่าทุกคนในที่นี้จะสนิทกันอยู่ก่อนแล้ว เธอจึงรู้สึกแปลกแยกไปโดยปริยาย
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเธอก็รู้สึกว่ายังหาที่ของตัวเองไม่เจอสักที
“ไงเหมย เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วล่ะ”
“ม.สี่ค่ะ” มัทรีตอบคำถามของชายหนุ่ม ซึ่งนับว่าเป็นประโยคแรกที่พูดหลังจากเดินออกมากับพวกเขา
เฮียโตในความทรงจำอันเลือนรางของเธอนั้นเป็นผู้ชายรูปร่างอวบ ใส่แว่นหนาเตอะและยังเป็นคนกินเก่งอีกต่างหาก ต่างจากตอนนี้ที่ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาคงผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก แว่นที่ใส่ก็ไม่ได้ดูหนาเหมือนเมื่อก่อน แต่ให้ตายเถอะ พอคิดเองเออเองว่าผู้ใหญ่อาจจะจับคู่ให้ก็รู้สึกอึดอัดกับเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงเขาก็แทบจะไม่แสดงออกว่าคิดเกินเลยกับเธอเกินคำว่าน้องสาว
“ก็เป็นรุ่นน้องต้าน่ะสิ”
“รุ่นน้อง จริง ๆ อยู่โรงเรียนเดียวกันด้วยนะ” หลังบุคคลที่ถูกพาดพิงซึ่งเป็นน้องชายของชายหนุ่มพูดจบ เธอก็หันไปมองอย่างนึกสงสัย โลกมันกลมขนาดนี้เชียวหรือ แต่ไม่ยักจะเคยเห็นเขาในโรงเรียนเลย หรือไม่ก็อาจจะเห็นแต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ “จำไม่ได้ล่ะสิ”
“แหะ ๆ” เธอหัวเราะพลางยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ
เด็ก ๆ นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ โดยที่ส่วนมากก็เป็นคนอื่นที่จะพูด จนกระทั่งปู่เดินออกมาด้านนอก เมื่อเห็นดังนั้นก็เตรียมตัวที่จะกลับบ้าน แต่เป็นอันว่าคาดการณ์ผิดไปนิดหน่อยเมื่อปู่ขอตัวไปทำธุระต่อ โดยขอให้เฮียโตเป็นฝ่ายไปส่งเธอที่บ้าน
“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปส่งเหมยเอง”
สรุปว่าพวกเขาคิดจริง ๆ ใช่ไหมว่าจะจับคู่เธอกับเฮียน่ะ ให้หลังไม่นานนักเขาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่าอยากกลับบ้านหรือยัง เด็กสาวเลยพยักหน้ารับเพราะไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ระหว่างทางเธอไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขามากนัก ส่วนมากเขาก็จะถามเรื่องทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับการเรียนและการใช้ชีวิต เขาอาจจะทำเพื่อลดช่องว่างระหว่างความเหินห่างระหว่างกัน แต่สำหรับเธอแล้วการอยู่เงียบ ๆ มันดีที่สุด
“พรุ่งนี้ไปโรงเรียนเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วคิดไว้หรือยังว่าจะเรียนต่อที่ไหน”
“ยังเลย เพราะหนูยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร”
“เหรอ เรียนหมอสิ”
“เอ่อ หนูไม่ได้อยากเป็นหมอน่ะ”
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำเพียงส่งยิ้มบาง ๆ ให้เธอเท่านั้น สบายใจอยู่ได้ไม่นานเขาก็โพล่งขึ้นอีกครั้ง “ม้าบอกว่าเราเคยอยู่ที่กาญจนบุรีมาก่อน ใช่ไหมนะ”
“ค่ะ”
“เฮียอยากไปเที่ยวที่นั่นอยู่พอดี เหมยเป็นไกด์ให้ได้เปล่า”
“หนูอยู่ที่นั่นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ แล้วตั้งแต่มาที่นี่ก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย เป็นไกด์ให้เฮียไม่ได้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร”
ความเงียบจึงเข้ามามีบทบาท จนกระทั่งรถเคลื่อนตัวมาจอดหน้าบ้าน เธอรีบพาตัวเองลงไปแล้วเร่งฝีเท้าเพื่อเดินเข้าไปด้านใน โดยไม่หันไปเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามาดื่มน้ำตามมารยาทที่พึงมี เมื่อเข้ามาภายในบ้านก็เจอเข้ากับน้องทั้งสองที่มายืนรอ
“ไหนอากงอะ”
“ไปทำธุระ”
“อ้าว แล้วเจ๊มากับใคร”
“เฮียโต” ว่าจบก็สับเท้าเดินตรงไปยังห้องนอนโดยมีน้องชายและน้องสาวตามมาติด ๆ “ไม่มีอะไรทำกันหรือไง ตามเป็นเงาไปได้”
“เฮียเขาหล่อไม่ใช่เหรอ” พี่คนโตหมุนตัวไปประจันหน้ากับน้องชายก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น “ตอนที่เจ๊ไม่อยู่ม้าเขาเอารูปมาให้ดู คนบ้านนั้นเขาส่งมาให้น่ะ ตอนแรกยังไม่หล่อขนาดนี้”
“แล้วไง”
“แน่ะ เฮียเขาจีบเจ๊เหรอ มีการมาส่งกันด้วย”
“จีบบ้าอะไรเล่า ปู่เขาวานมาหรอก” ว่าพลางโบกไม้โบกมือประกอบคำพูดพร้อมกับเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ก่อนแรงยุบจะตามมาติด ๆ กันอีกสองครั้ง “โอเค ฟังแล้วจำไว้ให้ขึ้นใจ เจ๊ไม่อยากคบกับคนรู้จักของบ้านนี้ จริง ๆ นะ เพราะถ้าแต่งงานแล้วก็อยากไปอยู่ที่อื่นที่มันไกล ๆ น่ะ”
“ทำไมถึงไม่อยู่ด้วยกัน” ครั้งนี้เป็นน้องสาวที่ถามพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตาใสซื่อจ้องมองมาทางพี่สาวอย่างนึกสงสัย
ตอนยังเป็นเด็กมัทรีก็คิดเหมือนกันว่าคำว่าตลอดไปมีอยู่จริง ทุกคนจะได้อยู่กับคนที่รักตลอดไป แต่โลกไม่ได้ถูกออกแบบมาแบบนั้น ไม่ใช่แค่ความตายอย่างเดียวที่พรากจากกัน แต่ความรู้สึกก็พรากได้ไม่ต่าง แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่แต่เมื่อไม่รู้สึกว่าที่ตรงนี้คือที่ของตนเอง ต่อให้ไม่มีที่ไปมันก็ต้องดิ้นรนจะไป เพียงแค่ชีวิตเธอยังไม่ได้เดินไปถึงจุดนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไปไม่ถึง สักวันหนึ่งก็คงต้องออกจากบ้านหลังนี้ไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าก่อนตายจะหาที่ที่ตัวเองมีตัวตนเจอ
“เดี๋ยวโตขึ้นก็เข้าใจเองแหละ ไป ออกกันไปได้แล้ว จะอ่านหนังสือ”
“เดี๋ยวก็หลับอีก” ภาสกรพูดอย่างนั้นพลางเดินกอดคอน้องสาวไปด้านนอก
พี่ใหญ่บิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม เธอไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหนังสืออย่างที่อ้างไปหรอก ก็แค่อยากอยู่คนเดียวเท่านั้น
เมื่อประตูถูกปิดลง เธอก็เดินออกไปยังระเบียง ทอดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะไปสะดุดกับต้นจันทน์กะพ้อที่อยู่ในบริเวณสวนหย่อม กลิ่นหอมของมันทำให้สาวเจ้าเผลอสูดดมอย่างไม่อาจห้ามใจไหว
ปู่เคยเล่าให้ฟังว่าครั้งที่แม่อาศัยอยู่ที่นี่ ท่านมักจะอุ้มเธอไปเดินในสวน ทั้งเพื่อกล่อมให้หลับและเพื่อรับแดดยามเช้า จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าน้ำตาเอ่อล้นจนแทบจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ เพราะแม่จากไปตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก ความทรงจำที่มีแม่อยู่ในนั้นจึงเลือนรางไปตามกาลเวลา
เธอรู้แค่ว่าแม่ชื่อสา แม่เป็นคนใจดีและทำอาหารอร่อย แต่รายละเอียดอื่น ๆ หรือเรื่องราวของแม่นั้น คนเป็นลูกกลับไม่รู้อะไรมากกว่าที่ปู่จะพอเล่าให้ฟัง แม้แต่พ่อยังไม่ค่อยพูดถึงแม่ให้ได้ยิน
เธออยากรู้จักแม่ของตัวเองมากกว่านี้ อยากรู้ว่าในวัยเด็กแม่เป็นคนอย่างไร อยากฟังเรื่องเล่าจากตาและยายว่าทั้งคู่เลี้ยงดูแม่มาแบบไหน ทำไมถึงโตมาเป็นคนใจดีแบบนั้น และเมื่อคำถามไม่เคยได้รับคำตอบ เธอจึงรู้สึกเคว้งคว้างไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตัวคนเดียวแต่กลับรู้สึกเหมือนไม่มีใคร
ท้องฟ้าวันนี้ค่อนข้างสดใส เธอแหงนหน้ามองไปยังแผ่นฟ้าผืนใหญ่ก่อนจะส่งยิ้มให้
มัทรีรู้มาว่าคนเราจะตายสองครั้ง ครั้งแรกคือหมดลมหายใจ ครั้งต่อไปคือไม่ถูกจดจำจากคนที่ยังอยู่ และเธอจะไม่ยอมให้มารดาตายเป็นหนที่สอง อย่างน้อยบนโลกใบนี้ก็ยังมีเธออีกหนึ่งคนที่จะจดจำแม่จ๋าที่แสนดีไปตลอด