จังหวะจะรัก (1)
อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้เธอและเพื่อนสนิทต้องเดินหลบร่มไม้ไปตลอดทางเพื่อไปยังโรงอาหาร ระหว่างทางอีกฝ่ายก็เอาแต่บ่นถึงสภาพอากาศ ต่างกับเธอที่ไม่มีแรงจะอ้าปากบ่นด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่เพราะอากาศ แต่การสอบเก็บคะแนนเมื่อชั่วโมงที่แล้วก็มีส่วนทำให้หมดเรี่ยวแรง
พ่อและปู่คาดหวังว่าเธอจะเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของประเทศได้ พวกเขามักจะพูดว่าถ้าเรียนที่นั่นจะมีข้อดีอะไรบ้าง เธอคิดว่าตัวเองคงพยายามทำได้แต่ติดตรงไม่อยากทำ ถ้าอยากเข้าเพราะตัวเองตั้งใจไว้ก็คงจะพยายามตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่มันไม่ได้อยู่ในหัวเลยนี่สิ เธอแค่อยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยที่ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกับคนจำนวนมาก ไม่อยากใช้ชีวิตที่รู้สึกว่าไม่ได้พัก
มันก็เหมือนกับการวิ่งแข่ง แต่เป็นการวิ่งที่ไม่มีเส้นชัย ทุกคนต่างก็วิ่งไปข้างหน้าเพื่อที่ตัวเองจะเป็นที่หนึ่ง หากหยุดวิ่งสักหนึ่งวินาทีก็จะมีคนแซงหน้าไป เมื่อรู้สึกว่าเข้าใกล้เส้นชัยก็พบว่ามีเส้นชัยอีกเส้นที่อยู่ไกลไปอีก แต่จะให้อยู่ที่เส้นนี้ก็โดนสังคมกดดันว่าวิ่งต่ออีกสักหน่อยสิ แค่นี้มันยังไม่พอหรอก ดูคนอื่นเขาไปข้างหน้ากันหมดแล้ว แต่เธอน่ะ ไม่อยากใช้ชีวิตที่ไม่มีโอกาสได้มองดูสองข้างทางหรอกนะ
บางคนอาจจะไม่รู้ แต่วิ่งหนึ่งกิโลเมตรกับเดินหนึ่งกิโลเมตรจะได้ระยะทางเท่ากัน
“แกกินไร” เสียงของนายิกาดังขึ้นเรียกสายตาให้หันไปมอง ก่อนจะพาตัวเองออกจากความคิดแล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อหาร้านที่แถวสั้นที่สุด เมื่อเจอก็ชี้นิ้วไปยังแถวนั้นทันที “ก๋วยเตี๋ยวเหรอ เราอยากกินข้าวว่ะ งั้นแยกกันนะ”
ทั้งสองใช้เวลาในการซื้ออาหารไม่นานนัก แต่เพราะไม่มีที่ว่างให้นั่งเลยจึงยืนสอดส่องสายตาอยู่หลายนาที ที่จริงก็มีที่ว่างอยู่บ้างแต่ก็เป็นโต๊ะที่คนอื่นนั่งเหลือไว้ ซึ่งทั้งเธอและนายิกาก็ไม่รู้จักพวกเขา จึงไม่กล้าขอไปนั่งด้วย ทำให้ต้องยืนอยู่อย่างนั้นเพื่อรอให้โต๊ะใดโต๊ะหนึ่งว่างพอสำหรับเราสองคน
“อ้าว น้องเหมยนี่เอง แล้วสรุปเรื่องที่พี่บอกไปนี่คิดได้ยังว่าจะเอาไง” ในตอนนั้นก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินถือจานข้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“หนูไม่ว่างจริง ๆ พี่ไปหาคนอื่นได้ไหม”
เธอจำเป็นต้องปฏิเสธเพราะไม่ใช่สายกิจกรรม แค่พาตัวเองออกจากเตียงในตอนเช้าเพื่อมาเรียนได้ก็บุญหัวแล้ว การจะให้ไปทำกิจกรรมคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“แต่พวกพี่อยากให้เหมยมาช่วยมากเลยนะ ลองคิดดูอีกรอบได้ไหม จริง ๆ มันไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก ส่วนมากก็ให้อีกคนพูด เราแค่ยิ้มสวย ๆ อยู่ข้าง ๆ ก็พอ”
“แต่หนูไม่สะดวกใจจะทำ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
“นับ ทางนี้” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น ราวกับเป็นเสียงสวรรค์ช่วยชีวิต ทั้งสองคนจึงหันไปตามเสียงก่อนจะพบว่าเขาคือเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งย้ายมาเมื่อต้นปีการศึกษา ต่างจากพวกเธอที่อยู่มาตั้งแต่มัธยมต้น เมื่อถูกเรียกแบบนั้นนายิกาก็หันมาพยักหน้าให้เธอเพื่อบอกว่าควรจะไปนั่งกับกลุ่มของเขา เธอจึงเดินตามเธอไปแล้วทิ้งตัวนั่งยังที่ที่ว่างอยู่
เธอรอให้ใครสักคนมาพาออกไปจากสถานการณ์แบบนี้ตั้งนานแล้ว
“ขอบใจที่เรียกนะ ที่นั่งมันหายากหาเย็นจริง ๆ”
“ไม่เป็นไร แล้ว” เขาหยุดพูดไปชั่วอึดใจก่อนจะละสายตาจากนายิกาแล้วหันมาทางเธอ ริมฝีปากหยักได้รูปส่งยิ้มมาให้ “เมื่อกี้คุยอะไรกับพวกเขาเหรอ เราขัดหรือเปล่า”
เขาไม่ได้เป็นแค่เพื่อน แต่เป็นคนที่แสดงออกว่าปลื้มเธอด้วย ข้อนั้นทุกคนรู้ดี และก็รู้ด้วยว่าเธอไม่ชอบเขา มันไม่ใช่ความรู้สึกเกลียดแต่ก็ไม่ได้ชอบ ออกจะเฉย ๆ เสียมากกว่า แม้ว่าเขาจะยิ้มให้ ชวนคุยหรือทักทายก็ไม่รู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด และก็ไม่รู้หวั่นไหวเช่นกัน
ในสายตาเธอเขาเป็นเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเท่านั้น และมันไม่มีทางเป็นมากกว่านั้นได้ แม้ว่ามัทรีจะไม่เคยชอบพอกับใครเลยแต่การที่จะรู้สึกพิเศษกับใครสักคนมันต้องไม่ปกติแบบนี้ อาจจะใจเต้นแรง ประหม่าหรือเริ่มคิดถึงเรื่องของใครคนนั้นบ่อย ๆ กระมัง แต่กับเพื่อนคนนี้ไม่มีเลย
“ไม่ขัด” เธอตอบเขาไปแบบนั้นก่อนจะหันกลับมาสนใจก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงหน้าต่อ แต่นายิกาไม่ทำอย่างเดียวกัน เมื่อเห็นว่าเธอไม่เปิดปากเล่า หล่อนจึงทำแทน
“ก็วันเกิดโรงเรียนที่จะถึงเนี่ย พี่เขาขอให้มันไปเป็นพิธีกรน่ะ แน่นอนว่าปฏิเสธ”
“ทำไมล่ะ เราว่าเหมยน่าจะทำได้ดีนะ”
“ถ้าแกพูดอย่างนี้ก็แปลว่าแกต้องทำความรู้จักคนอย่างไอ้เหมยให้มาก ๆ นะ แล้วจะเข้าใจ”
เขาอมยิ้มจนใบหน้าขึ้นสีระเรื่อก่อนจะพยักหน้ารับ เธอละสายตาออกจากคนตรงหน้าแล้วหันมาสนใจอาหารของตน ไม่นานนักก็พากันเดินไปเก็บจานและออกนอกบริเวณโรงอาหาร เธอตั้งใจว่าจะกลับห้องเรียนแต่ดันเจอเข้ากับน้องชายเสียก่อน ภาสกรและกลุ่มเพื่อนก็ตั้งใจจะเดินไปยังตึกเรียนเหมือนกัน จึงเดินไปพร้อมกันอย่างช่วยไม่ได้
“เจ๊ วันนี้ไปดูหนังปะ”
“ไม่ไป”
“โอเค เลิกเรียนเจอกัน เดี๋ยวผมโทร. บอกป๊าไว้ก่อน” ว่าจบก็เดินนำลิ่วไปทันที
เธอได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความเอาแต่ใจของน้องชาย ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าน้องจะไปที่ไหนเธอก็ต้องตามไปเป็นเพื่อน แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเธอตั้งใจจะไปสักหน่อย แค่เลี่ยงไม่ได้เฉย ๆ
“การเชิญชวนเชิงบังคับของน้องแกนี่คงเส้นคงวาจริง ๆ” นายิกาพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มแหย ๆ ประดับบนใบหน้า “แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เราไปด้วยดีกว่า”
“รู้เหรอว่ามันจะดูเรื่องอะไร”
“ดูได้หมด”
“งั้นก็ตามใจ” มัทรีไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ แต่แล้วก็มีเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นเพื่อเรียกสายตาให้หันไปมองทางผู้พูด
“เราไปด้วยคนสิ” ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอิทธิกร เจ้าเก่าเจ้าเดิม เธอแค่พยักหน้ารับเท่านั้น ถ้าอีกฝ่ายจะไปเธอจะไปห้ามได้อย่างไร มันไม่ใช่ห้างของเธอเสียหน่อย “จะได้รู้จักเหมยให้มากขึ้นไง”
ไอ้หมอนี่-
หลังจากมาถึงห้องเรียนก็พบว่าคนอื่น ๆ ยังไม่ขึ้นมา ทั้งห้องจึงมีแค่เธอ นายิกาและกลุ่มของอิทธิกรเท่านั้น
เธอที่รู้สึกว่าว่างจนเกินไปจึงหยิบหนังสือที่จะเรียนในชั่วโมงถัดไปมาอ่านเพื่อฆ่าเวลา แต่จู่ ๆ เพื่อนสนิทอย่างนายิกาก็ถามถึงมหาวิทยาลัยที่จะเข้าเรียน เธอรู้สึกว่าช่วงนี้จะโดนถามถึงเรื่องนี้บ่อยเป็นพิเศษทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น มัทรีไม่ได้วางแผนไว้มากนักแต่ก็ใช่ว่าจะไม่คิดถึงอนาคตตัวเองเลย แค่บางทีก็รู้สึกว่ามันไวไปหน่อย แต่อีกใจก็คิดว่าสามปีไม่ใช่เวลาที่นานนัก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอก็ไม่คิดจะใส่ใจมันเต็มที่เพราะไม่ได้อยากเรียนในที่ที่คนอื่นหวังไว้ มันคงเหนื่อยเกินไป ต่อให้สอบเข้าที่ดี ๆ ได้ก็ใช่ว่าจะจบ แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
“ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้คิด”
“จริงปะ เหมือนกันเลย”
“อ้าว แล้วถามทำไม” เธอปิดหนังสือก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะแล้วหันไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ก็อยากรู้ พอดีเรากำลังจะไปเรียนพิเศษน่ะ แม่เขากลัวสอบไม่ผ่าน” พูดพลางยู่ปากใส่อย่างเนือย ๆ “ว่าแต่แกไม่สนใจเหรอ ตอนแรกเราก็มั่นใจว่าแค่เรียนในห้องก็ไหว แต่ไม่ว่ะ ถ้าไปเรียนคงได้เกรดดีกว่านี้”
“ไม่อะ ทุกวันนี้ก็เหมือนไม่มีเวลาพักแล้ว” เธอตอบออกไปตามตรง เธอไม่ได้อยากเป็นที่หนึ่ง ไม่ต้องการเป็นอัจฉริยะ แค่ต้องการเป็นตัวเองเท่านั้น “แล้วแม่แกอยากให้เรียนอะไร หรือเขาให้อิสระแกได้เลือก”
นายิกาพ่นหัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องตลก แต่ครู่เดียวก็ถอนหายใจเหมือนว่าแบกภูเขาไว้ทั้งลูก
“คือที่บ้านก็พูดเหมือนใจกว้างนะ จะเรียนอะไรก็เรียน แล้วก็ตบท้ายว่าอยากให้เรียนหมอ มันเหมือนเป็นการกดดันในรูปแบบหนึ่ง ต่อให้เราจะเลือกอะไรเขาจะแย้งตลอดว่าเรียนหมอไม่ดีกว่าเหรอ ขนาดแกล้งว่าอยากเรียนพยาบาลยังโดนแย้งเลยว่าถ้าอย่างนั้นก็เรียนหมอให้สิ้นเรื่อง”
คนฟังได้แต่เบ้หน้าใส่ เธอคร้านจะฟังคำว่า ‘เรียนหมอ’ เต็มที
“ไม่ใช่ทุกคนจะอยากเป็นหมอปะ ในสายตาพ่อกับแม่นี่ไม่รู้ว่าเขามองเราเป็นลูกหรือเปล่า หรือมองเป็นแค่คนที่จะเติมเต็มความฝันให้ ถ้าอยากเป็นหมอขนาดนั้นทำไมไม่เรียนเอง งง แล้วบ้านแกล่ะ”
“ที่บ้านเหรอ”
เธอคิดไปถึงตอนที่คุยกับพวกผู้ใหญ่ก่อนจะเลือกสายเรียนของมัธยมปลาย แม่ใหญ่และย่าไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ย่าพูดเพียงว่าเรียนให้จบก็พอ แต่ก็ไม่ใช่ความหวังดีหรือว่าใจกว้าง ท่านเพียงแค่ดูถูกหลานอย่างเธอก็เท่านั้น และคอยค่อนขอดเกรดเฉลี่ยของเธอตลอด ซึ่งจริง ๆ เกรดเธอมันก็ดีมากแล้ว แต่ต้องย้ำอีกทีว่าพวกเพื่อน ๆ เก่งเกินไป
และสำหรับเรื่องนี้บางครั้งก็อยากบอกว่าให้เอาเวลาไปสนใจน้อง ๆ ดีกว่า ภาสกรเองไม่ใช่ว่าหัวทึบ แต่เป็นพวกไม่เอาอ่าว ส่วนน้องสาวเช่นกุลจิรานี่หัวทึบของจริง ดูเหมือนน้องจะไม่ค่อยถนัดทางนี้ แต่เธอก็ไม่พูดออกไปเพราะการใช้น้องเป็นเครื่องมือในการทำร้ายความรู้สึกของพวกผู้ใหญ่มันไม่ได้ประโยชน์
เธอไม่ชอบแม่ใหญ่ไม่ได้แปลว่าจะเกลียดลูกของท่าน กลับกัน มัทรีรักและเอ็นดูน้อง ๆ ทั้งสองมาก ถึงบางทีจะรำคาญไปบ้างก็เถอะ ก็ช่องว่างระหว่างอายุมันยังมีอยู่นี่ ส่วนปู่กับพ่อดูเหมือนไม่คาดหวังแต่ก็สัมผัสได้ว่าพวกเขาอยากให้เธอเป็นหน้าเป็นตาของครอบครัว
“ไม่มีใครพูดเรื่องเรียนหมอ เรายังไงก็ได้”
“ดีอะ งี้สินะแกเลยดูไม่ค่อยเครียด”
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เครียด แต่เพราะเครียดจนเลยจุดนั้นไปแล้ว ในเมื่อมันทำให้ปวดหัวก็แค่ตัดทิ้ง ความคาดหวังทั้งหลายที่พวกผู้ใหญ่หยิบยื่นให้นั้น แค่รับมันไว้แล้วโยนทิ้งก็สิ้นเรื่อง แค่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องแบกภูเขาไว้ในอกแล้ว และเพราะไม่รู้ว่าจะปลอบใจเพื่อนที่ต้องพยายามปีนยอดเขาอย่างไรจึงได้แต่ตบบ่าเบา ๆ
เธอหวังว่าเพื่อนสนิทคนนี้จะหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอ หวังว่านายิกาจะได้เดินในเส้นทางที่ตัวเองเลือก และหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตโดยไม่ลืมว่าตัวเองต้องมีความสุข
ตัวเธอเองก็จะใช้ชีวิตแบบนั้นเหมือนกัน