จังหวะจะรัก (2)
นับจากวันที่ได้ไปดูหนังด้วยกันก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับอิทธิกรเรียกว่าอะไร แต่ดูเหมือนเขาจะมีบทบาทในชีวิตเธอมากกว่าปกติ เวลามีงานกลุ่มที่สามารถเลือกเองได้เขาก็จะมาอยู่ด้วย มัทรีไม่ได้ยินดียินร้าย ใครจะอยู่ก็ได้ขอแค่ให้ช่วยทำงานเป็นพอ ไม่ใช่เอามือแตะ ๆ แล้วได้คะแนนเท่ากัน
วันนี้เด็กสาวมีธุระต้องไปที่ห้างสรรพสินค้า แม้ว่าปกติจะไปเพราะต้องดูแลน้องทั้งสอง แต่วันนี้เหตุผลมันต่างจากเดิม ที่จริงก็ไม่ได้อยากมาสักเท่าไร แต่พอโดนตื้อหนัก ๆ เข้าก็เผลอตกปากรับคำเพื่อตัดรำคาญ
ณ ตอนนี้เธอเลยต้องพาตัวเองมายังที่นัดหมายในเวลาที่สายไปจากที่ตกลงกันเกือบหนึ่งชั่วโมง อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ความผิดของเธอเสียทีเดียว วันหยุดเลยตื่นสายกว่าปกติและรถก็ยังติดอีกด้วย
“เหมย” เสียงเรียกชื่อดังมาจากทางขวามือ เมื่อหันไปมองก็เจอกับอิทธิกรที่ส่งยิ้มมาให้ เห็นดังนั้นก็ยิ้มกลับไปยังอีกฝ่าย “แต่งตัวน่ารักจัง”
มัทรีเอ่ยขอบคุณและไม่ลืมที่จะชมเขากลับ เขาดูดีจริง ๆ ยิ่งในชุดลำลองแล้วก็ดูดีกว่าเครื่องแบบนักเรียนเป็นไหน ๆ แต่ถ้าพูดมากเกินเดี๋ยวเขาจะเอาไปคิดว่าเธอมีใจหรือเปล่า จึงชมเป็นพิธีเท่านั้น
“ขอบคุณนะ เหมยชมแล้วเหมือนตัวจะลอยเลย”
เธอแค่นยิ้ม เสเปลี่ยนเรื่อง “ที่มาวันนี้นี่มีอะไรสำคัญเหรอ”
“ก็ไม่หรอก แค่มาเดินเล่น”
“อ้อ”
“เหมยอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ไม่มี แอลอยากไปไหนก็ไปเถอะ” เขาเลิกคิ้วใส่ นั่นทำให้คิดได้ว่าอีกฝ่ายคงตีความผิดเนื่องจากประโยคเมื่อครู่อาจจะฟังดูห้วนไปสักนิด “เราหมายถึงว่าแอลเลือกได้เลย เรายังไงก็ได้”
“อ๋อ ตอนแรกนึกว่าไล่”
สาวเจ้าหัวเราะแก้เก้อ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปเรื่อย ๆ ทั้งแวะซื้อของ กินข้าว เล่นเกม เข้าร้านหนังสือ ก่อนที่เพื่อนร่วมห้องที่ปัจจุบันกลายมาเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มจะอาสานั่งแท็กซี่ไปส่งที่บ้าน
ซึ่งพอกลับมาถึงบ้านก็เจอเข้ากับแม่ใหญ่ที่เดินเล่นอยู่ในสวน มัทรีก้มหัวเป็นเชิงทำความเคารพก่อนจะตั้งท่าเดินเข้าไปด้านใน แต่เพราะประโยคของอีกฝ่ายทำให้ต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้น
“ตัวแค่นี้ริอ่านให้ผู้ชายมาส่งถึงบ้าน อีกเดี๋ยวแกก็เป็นเหมือนแม่แกนั่นแหละ”
มือบางกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด คนคนนี้มีสิทธิ์อะไรมากล่าวหามารดากัน คนอย่างหล่อนเทียบแม่ของเธอไม่ได้สักนิด แค่พูดถึงก็ไม่ควรแล้ว แต่เธอรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในฐานะไหน แม้ในใจจะเต็มไปด้วยโทสะก็ไม่สามารถพ่นคำพูดไม่ดีออกมาได้ จึงเลือกที่จะเดินหนีเพื่อตัดปัญหา
“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ ทำอะไรก็คิดถึงหน้าพ่อแกไว้ด้วยล่ะ ป่องมาจะเป็นขี้ปากชาวบ้านเอาได้”
การเดินหนีคงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เด็กสาวจะทำได้...
ทำไมท่านถึงมีความคิดแบบนั้นกัน อย่างน้อยเธอก็อยู่ในฐานะลูกเลี้ยง ไม่น่าจะด่ากันถึงขนาดนี้ แถมยังด่าถึงมารดาของฉเธออีกด้วย ปกติอีกฝ่ายไม่ค่อยพาดพิงถึงแม่ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้กลับเลือกที่จะพูด แค่จะให้เกียรติคนตายยังทำไม่ได้ อะไรมันหล่อหลอมให้เป็นคนแบบนี้กันนะ
แต่เธอไม่อยากตำหนิที่ท่านไม่แยกแยะ ไม่ชอบแม่เพราะแม่ได้แต่งงานกับพ่อ ก็เลยพาลมาลงที่เธอ เพราะตอนนี้เธอก็เดินผ่านน้อง ๆ โดยไม่ทักทายเช่นกัน
เด็ก ๆ ไม่ผิด เธอบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมาแต่เหมือนมันจะไม่ได้ผล ทำไมเธอต้องมีเหตุผลในเมื่อแม่ของพวกเขาไม่เคยมีมันเลย ทำไมเธอต้องเป็นฝ่ายยอมในเมื่อไม่มีใครยอมเธอเลย เธอต้องพยายามประคับประคองจิตใจตัวเองไม่ให้ไหลไปกับจิตใจอันมืดดำ ต้องดูแลน้อง ๆ ที่เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น แล้วทำไมไม่มีใครพยายามรักเธอบ้างเลย ทำไมทั้งแม่ใหญ่และย่าถึงสามารถเกลียดเธอได้โดยไม่ฉุกคิดว่าเด็กตัวแค่นี้ไม่มีความผิดอะไร
ทำไมเธอต้องแบกรับมันไว้ด้วย ทำไมกันนะ
“เจ๊ เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของน้องชายดังขึ้นก่อนจะมีเสียงหมุนลูกบิดตามมา “เปิดให้หน่อยสิ”
ใช่ น้องไม่ผิด พอคิดแบบนี้ก็มีความคิดเดิม ๆ วนลูปอยู่ในหัว แล้วทำไมสองคนนั้นไม่คิดบ้าง ทำไมเธอต้องพยายามอยู่ฝ่ายเดียว
มัทรีต้องดูแลน้องเพื่อที่ปู่และพ่อจะได้สบายใจ ต้องไม่ขี้ฟ้องเวลาถูกย่าและแม่ใหญ่ดุ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาถ้าพ่อไม่พอใจ มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ภายในครอบครัว เลยพยายามแบกรับมันไว้ เป็นเวลากี่ปีกันนะที่เธอคิดว่าตัวเองต้องเป็นเด็กดีเพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหากับคนในบ้าน บางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ
เสียงหวานตะโกนออกไปว่าต้องการเวลาส่วนตัว อีกเดี๋ยวจะออกไปเอง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังห่างออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเสียงนั้นก็หายไป
ตอนนี้เธอควรทำอะไรนะ อะไรที่ทำแล้วความคิดแย่ ๆ เหล่านั้นจะหายไป ไม่อยากเป็นพี่ที่ไม่ดี อยากเป็นพี่ที่น้อง ๆ รักเหมือนที่ผ่านมา...แต่มันยากจริง ๆ
แม่ของพวกเขาไม่ดีกับเธอสักนิด ทั้ง ๆ ที่เธอรักลูกของท่านมากแท้ ๆ
เด็กสาวปล่อยตัวเองให้จมไปกับเรื่องนี้อยู่นานสองนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงรถที่คุ้นเคยขับเข้ามาภายในบริเวณบ้าน ความคิดแรกที่ผุดมาในหัวคือจะออกไปด้านนอก ส่งยิ้มต้อนรับทั้งสองที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน ทำให้พวกเขารู้ว่าครอบครัวนั้นอบอุ่น แต่อีกใจก็คิดว่าช่างหัวมัน นอนอยู่แบบนี้ดีกว่า แม้จะได้ยินเสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงของพ่อที่ตะโกนเรียกก็ตามที มัทรีก็ยังเงียบอยู่แบบนั้นจนในที่สุดบิดาก็เดินออกห่างจากหน้าห้อง
การหลบหน้าทุกคนนั้นมันก็ดำเนินได้ไม่นาน ในเมื่อเธอยังต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ อย่างไรเสียก็ต้องเจอกันอยู่ดี แต่ได้ให้เวลากับตัวเองสักพักใหญ่ ๆ ก็ดีเหมือนกัน มันสงบกว่าเดิมแต่ก็ไม่หายไปไหน เพราะอย่างนั้นพอถึงเวลามื้อเย็นจึงเดินลงไปด้านล่างหลังจากแม่บ้านวัยชราเดินขึ้นมาตาม
เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีนิสัยใจคออย่างไรเพราะไม่ค่อยได้พูดคุยกันสักเท่าไร และคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย คนบ้านนี้ก็คงเหมือน ๆ กันหมด ทั้งนายทั้งบ่าว
“ตอนพ่อไปเรียก-”
“อ๋อ หนูเพิ่งตื่นน่ะ” เธอโพล่งออกไปแม้ว่าอีกฝ่ายยังพูดไม่จบประโยค ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ กับน้องชาย ภาสกรส่งยิ้มทักทายอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ เธอจึงยิ้มกลับไป
“นอนกลางวันเหรอ ตื่นตอนนี้เดี๋ยวปวดหัวหรอก ถ้าปวดก็อย่าลืมไปกินยาด้วยล่ะ” เธอพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “แล้วอ่านหนังสือใช่ไหมวันนี้ ใกล้สอบแล้วนี่”
ไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงหนึ่งทะลุกลางปล้อง “อ่านหนังสือ? วันนี้เหมยมันออกไปเที่ยวข้างนอกมา มีผู้ชายมาส่งด้วย สงสัยจะมีหนุ่มมาติด” แม่ใหญ่เป็นคนตอบพร้อมส่งยิ้มให้ ราวกับกำลังหยอกล้อลูกหลานอย่างไรอย่างนั้น แต่เธอรู้ว่าท่านมีเจตนาแอบแฝง “ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนแม่ สวยเหมือนกัน ผู้ชายติดแจเลยสิท่า”
เธอเกลียดผู้หญิงคนนี้จริง ๆ
“ใครมาส่ง” เสียงเข้มของบิดาสามารถหยุดทุกการกระทำของทุกคนได้ เธอหันไปสบตากับผู้พูดอย่างไม่คิดจะหลบหนี
“โชเฟอร์ไง ก็วันนี้หนูออกไปติวหนังสือกับนับแล้วก็นั่งแท็กซี่กลับบ้าน หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ใหญ่พูดแบบนั้นได้ยังไง” เธอละสายตาจากพ่อไปทางบุคคลที่สาม ก่อนจะมองอีกฝ่ายโดยไม่มีแววล้อเล่นซ่อนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย “หนูรู้ว่าแม่ใหญ่แค่พูดเล่น แต่มันอาจจะทำให้หนูเสียหายได้ค่ะ”
“...!”
“วันหลังอย่าหยอกหนูแบบนี้อีกเลยนะคะแม่ใหญ่ เกินมีใครหูเบาแล้วเชื่อ หนูจะเดือดร้อนเอาได้”
เธอตีหน้าเศร้าก่อนจะก้มหน้าลงมองจานอาหารตรงหน้า แค่ได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจัดของท่านก็แทบจะรู้สึกอิ่มทิพย์ไปเสียแล้ว มิหนำซ้ำพ่อยังตำหนิการกระทำของแม่ใหญ่ด้วย เธอไม่ได้แสดงสีหน้าว่าสะใจออกไป แม้ว่าภายในใจจะกำลังหัวเราะร่าอยู่ก็ตาม
บางครั้งมัทรีก็กลัว กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนแบบที่เคยเกลียดเพราะชอบเล่นบทเหยื่อ แต่คิดให้ดีเธอก็เป็นเหยื่อจริง ๆ นี่นา