จังหวะจะรัก (3)
มัธยมศึกษาปีที่สี่จบไปอย่างสวยงาม เกรดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยซึ่งเป็นที่น่าพอใจมากสำหรับพ่อและปู่ แต่สำหรับเธอเรื่องนั้นมันไม่ได้สำคัญเท่ากับการได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนสนิทอย่างนายิกาในช่วงปิดเทอม หลังจากที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศกับครอบครัว แน่นอนว่ามันเป็นทริปที่เลี่ยงไม่ได้
ปกติเธอไม่ค่อยชอบไปไหนมาไหน แต่การไปกับนายิกาถือเป็นข้อยกเว้น เวลาอยู่กับหล่อน เธอจะรู้สึกเหมือนได้เป็นตัวเอง ได้พักผ่อน อยู่กับนายิกาแล้วสามารถวางใจได้ เพราะฉะนั้นหล่อนถึงเป็นคนเดียวในโลกที่อยู่ในฐานะเพื่อนสนิทของเธอ
ส่วนความสัมพันธ์ของเธอกับอิทธิกรก็ยังคงสถานะความเป็นเพื่อนไว้อยู่เหมือนเดิม ต่อให้อีกฝ่ายจะแสดงออกมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เธอไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนที่ดี เอาใจใส่ แต่มันก็เท่านั้น คนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ พยายามแค่ไหนก็ไม่ใช่อยู่ดี
ครั้งหนึ่งนายิกาเคยพูดว่าเขารักเธอ และคนที่รักตัวเราได้มากขนาดนี้ก็ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือ คำถามคือเธอจะเก็บคนที่ไม่ได้รักไว้เพื่ออะไร เพื่อให้รู้สึกว่ามีคนรักเท่านั้นหรือ นั่นไม่ใช่สิ่งที่มัทรีต้องการ เธอไม่ได้มองหาคนที่รักตนเอง แต่กำลังมองหาคนที่ตัวเองจะรัก แม้ว่าจะยังไม่เจอก็ตาม
“ทะเลที่นี่สวยดีเนอะ”
“อือ น่าเรียนด้วย”
“หมายถึงอะไร นี่กำลังพูดถึงทะเลอยู่นะ”
“ก็มหา’ลัยไง ที่นี่ก็น่าเรียน บรรยากาศมันดีน่ะ”
“อ๋อ แกก็ยังไม่ได้เลือกนี่ว่าจะเรียนที่ไหน ก็เรียนที่นี่ไปเลยสิ”
มัทรีเพียงไหวไหล่เป็นคำตอบ ก่อนจะก้าวเดินไปด้านหน้าเพื่อกลับที่พัก คำพูดของเพื่อนสนิทถูกเก็บมาคิดตลอดทางกลับ อย่างที่นายิกาบอกคือเธอยังไม่ได้เลือกว่าจะเรียนที่ไหนและไม่ต้องการจะเรียนอยู่ใกล้บ้าน แม้ว่าจะมีมหาวิทยาลัยในฝันของใครหลายคนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่มันไม่ใช่ฝันของเธอ และที่นี่ก็ตอบโจทย์หลายอย่างมากทีเดียว ทั้งไกลบ้าน บรรยากาศดี แต่เพราะมันยังเหลืออีกตั้งสองปีกว่าจะถึงวันนั้น บางทีเธออาจจะเปลี่ยนใจไปก่อนก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอเก็บที่นี่ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกแล้วกัน
“จบทริปนี้น้ำหนักคงขึ้นแหง ๆ” เธอพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนสนิท เพราะของกินมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง หากว่าอยู่ในช่วงลดน้ำหนักแล้วมาอยู่แถวนี้คงทรมานน่าดู ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอและเพื่อนไม่ได้อยู่ในจุดนั้น จึงพากันกิน กินและกินเท่าที่ต้องการ
เพราะอย่างนั้นกระมัง เธอถึงรู้สึกว่าทริปนี้มันสนุกมาก ๆ แม้ว่าจะมีกันแค่สองคน
เดิมทีบิดาค้านหัวชนฝาที่เธอเลือกจะมาเที่ยวที่นี่ แถมยังมากับเพื่อนแค่สองคนด้วย แน่นอนว่าเธอเองก็กังวลเช่นกันเกี่ยวกับอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะในทุก ๆ วันมักจะมีการรายงานข่าวที่เกิดขึ้นในจังหวัดชลบุรี แน่นอนว่ามีหลากหลายเรื่องราวเกิดขึ้น ทั้งอุบัติเหตุทางถนน ทั้งขโมย ยาเสพติด รวมไปถึงฆาตกรรมก็มีให้เห็น
คงเพราะจังหวัดนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำจึงมีผู้คนมากหน้าหลายตาหลั่งไหลเข้ามาเยือน และเธอกับนายิกาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่อยู่มาได้สามวันแล้วก็ยังไม่เกิดเรื่องราวร้าย ๆ ขึ้นเลย และอีกสองวันก็จะเดินทางกลับกันแล้ว ก็ได้แต่ขอให้เป็นอย่างนี้ไปตลอดก็พอ
เนื่องจากเป็นเวลาเย็นย่ำ ท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้มอ่อน ๆ มัทรีที่ตั้งท่าจะเดินต่อก็ต้องชะงักเมื่อเพื่อนสะกิดให้เดินข้ามไปยังฟุตบาทใกล้ ๆ หาด เพื่อที่จะถ่ายรูป เพราะเหตุนั้นจึงต้องทำหน้าที่เป็นตากล้องจำเป็น จัดการเก็บภาพของนายิกาที่หันหน้าไปมองยังผืนทะเลที่รับกับท้องฟ้าได้อย่างเหมาะเจาะ
“สวยจัง” แม้ว่านั่นจะไม่ได้ออกมาจากปากของเธอ แต่ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนพูด “แกถ่ายไหม เดี๋ยวถ่ายให้”
สุดท้ายเธอก็ได้รูปของตัวเองมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่มีอยู่รูปหนึ่งที่ไม่ชัดเนื่องจากมีคนอื่นเดินตัดหน้า เธอไม่ได้นึกตำหนิอะไรเนื่องจากเข้าใจได้ว่ามันเป็นพื้นที่สาธารณะ เพราะเป็นรูปที่คงใช้ไม่ได้จึงตั้งใจว่าจะลบทิ้ง แต่แล้วก็ไปสะดุดกับคนที่อยู่ในนั้น เธอซูมเพื่อให้ตนได้ดูชัด ๆ และแม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ชัดเจนอย่างที่ต้องการแต่ก็พอจะมองออก
เขาเป็นนักศึกษานี่นา
“อะไรเหรอ” นายิกาถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาดูก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย “ชอบเหรอ”
“บ้าน่า ใครจะชอบคนอื่นแค่เพราะเห็นในรูปเบลอ ๆ แบบนี้”
“เยอะแยะ ความรักเกิดขึ้นได้ทุกสถานการณ์ ตามไปขอเบอร์ไหม อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ”
ใบหน้าหวานส่ายน้อย ๆ ก่อนจะเดินนำไปทางเดิมเพื่อที่จะได้ไปยังที่พัก แต่เดินไปได้ไม่นานนักก็มีกลุ่มผู้ชายที่รวมตัวกันเกือบสิบคนส่งเสียงคุกคาม เธอขอใช้คำนี้เพราะรู้สึกกลัวสายตา ท่าทางและน้ำเสียงของพวกเขามาก
“น้องสาว ไปไหนจ๊ะ ให้พี่ไปส่งไหม”
ทั้งเธอและนายิกาต่างก็พยายามเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้พ้นจากบริเวณนี้ โดยที่ไม่มีใครสนทนากับกลุ่มคนเหล่านั้น แต่แทนที่พวกเขาจะปล่อยผ่านไปง่าย ๆ ก็ยังตามมารังควานอย่างการเดินตามหลัง การกระทำนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เหลือได้เป็นอย่างดี ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามันเป็นพฤติกรรมที่น่าภูมิใจตรงไหน
เธอคิดว่าตัวเองคงไม่เป็นอะไรเพราะอีกไม่ไกลก็ถึงที่พักแล้ว แค่เดินให้เร็วกว่านี้อีกสักหน่อยก็จะสลัดคนพวกนี้ทิ้งได้ แต่ความคิดนั้นถูกโยนทิ้งเมื่อจู่ ๆ ก็มือฝ่ามือของใครสักคนคว้ามาที่แขน
“ปล่อยนะ”
“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ” ในวินาทีนั้นเองก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้น มือที่จับแขนเรียวก็ปล่อยออกอย่างง่ายดาย ทุกสายตาหันไปยังคนมาใหม่ที่เธอจำได้ในทันทีว่าเป็นคนเดียวกันกับที่เดินตัดหน้ากล้องเมื่อสักครู่ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแท้ ๆ แต่ใจเจ้ากรรมกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ มันไม่ได้เกิดจากความกลัวกลุ่มผู้ชายที่เดินตาม แต่เป็นเพราะคนตรงหน้าต่างหาก
“มึงเป็นใคร”
ใครคนใดคนหนึ่งเดินไปประจันหน้ากับคนมาใหม่ เธอจึงจับมือเพื่อนสนิทให้รีบเดินไปหลบหลังเขาพลางกระซิบให้อีกฝ่ายพอได้ยิน “พี่คะ เผ่นเถอะ”
ที่พูดแบบนั้นเพราะคนอื่นในกลุ่มนั้นก็เดินมาสมทบกับพวกเขาแล้ว มัทรีไม่เน้นปะทะ เน้นเอาตัวรอด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด
“เป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่อย่ามาทำตัวรุ่มร่ามกับคนอื่นเขา”
“แล้วมึงยุ่งอะไรด้วย”
เด็กสาวไม่รอให้พี่ชายที่เข้ามาช่วยได้ต่อบทสนทนากับพวกมัน แต่เลือกที่จะคว้าทั้งมือของเขาและเพื่อนสนิทก่อนจะวิ่งนำไปทางที่พัก แต่เพราะกลุ่มนั้นก็ตามมาด้วยจึงเผลอวิ่งเลยโรงแรมไป ลัดเลาะไปเรื่อย ๆ ก่อนไปหยุดอยู่บริเวณซอกอาคารขนาดเล็กที่พอให้เข้าไปทีละคนเท่านั้น
เธอหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้ยินเสียงกลุ่มคนกำลังจะเดินผ่าน ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็เดินไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่ได้ยินเสียงพวกเขา เป็นตัวบ่งบอกอย่างดีว่าปลอดภัยแล้ว มัทรีเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะมองออกไปด้านนอกแล้วบอกให้เพื่อนสนิทเดินออกไปก่อน
“ตอนโผล่หน้าออกไปแกดูซ้ายดูขวาให้ดีนะ” เธอบอกกับนายิกาอย่างนั้นก่อนที่ตนจะชะโงกหน้าเพื่อช่วยสอดส่อง แต่พอหันมาทางซ้ายก็เจอเข้ากับสายตาของเขาที่มองมา ความรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่เคยเกิดกับชายใดกลับเกิดขึ้นอีกครั้ง
คงเป็นอย่างที่เพื่อนสนิทเคยบอก ความรักไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกสถานการณ์ ขนาดเกิดเรื่องแบบนี้เธอยังเผลอไปคิดเรื่องของเขาเสียได้ หลังจากออกไปได้แล้วก็พากันเดินกลับไปทางเดิมโดยระหว่างทางไม่มีเสียงพูดคุยของทั้งสามเลย จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าโรงแรม
“ขอบคุณที่ช่วยพวกเรานะคะ ถ้ามีอะไรที่พวกเราตอบแทนได้ก็บอกได้เลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ดูแลตัวเองด้วย เวลาเจอเรื่องแบบเมื่อกี้ก็อย่าลืมตะโกนให้คนอื่นช่วยล่ะ” ว่าจบก็เดินออกไปเลย
เธอมองตามหลังแกร่งจนลับสายตา จนเพื่อนสนิทสะกิดถึงได้หันกลับมาทางอีกฝ่าย จากนั้นก็พากันเดินเข้าที่พักโดยที่สาวน้อยยังรู้สึกเหมือนว่าได้ทิ้งหัวใจไว้อยู่ที่ไหนสักแห่ง เพราะตอนนี้หัวใจไม่อยู่กับร่องกับรอยเอาเสียเลย
“เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่ายังตกใจกับเรื่องเมื่อกี้อยู่”
เธอหันไปทางเพื่อนสนิทพลางทิ้งตัวลงบนเตียง “ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องอื่น”
“อะไร”
“คนที่มาช่วยเราคือคนที่เดินตัดหน้ากล้อง”
“ใช่เหรอ ไหนเอารูปมาดูใหม่ซิ” นายิกาพินิจดูครู่สั้น ๆ “เออว่ะ คล้ายอยู่”
“ไม่คล้าย แต่คนเดียวกันเลย เราจำได้”
“ถามจริง ๆ นะ แกชอบเขาเหรอ” เธอไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อนสนิท แต่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะดูออกได้ไม่ยาก จะด้วยเพราะเป็นเพื่อนสนิทหรือว่าเธอเก็บอาการไม่อยู่ก็ดี แต่มันทำให้นายิการู้ได้ทันทีว่าเธอรู้สึกเช่นไร “จำเขาได้ตอนไหน”
“ก็ตอนที่เขาเดินมาช่วยนั่นแหละ”
“แล้ว?”
เธอเลิกคิ้ว “แล้วอะไร”
“ทำไมไม่ขอเบอร์เขาไว้เล่า อย่างนี้ถ้าไม่เจอกับเขาอีกจะทำยังไง แต่เอาเถอะ แห้วแน่ ๆ แกไม่รู้จักคว้าโอกาสไว้อะ ทีนี้ก็เพ้อถึงเขาไป ชื่อก็ไม่รู้จัก จะเจอกันได้ที่ไหนอีกก็ไม่รู้”
เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากนัก รู้แค่ว่าเป็นนักศึกษา และมัทรีก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะเรียนต่อที่ไหน ไม่ใช่แค่เพราะบรรยากาศดี แต่เพราะที่นี่มีทั้งทะเลและเขาต่างหาก
เขา...บุคคลที่ขโมยหัวใจเธอไปตั้งแต่แรกเจอ