ยามฟ้าหม่น (1)
เสียงร้องของเด็กทารกส่งเสียงดังไปทั่วบริเวณ มือที่เอื้อมไปยังหม้อหุงข้าวเพื่อหวังจะตักก็เป็นอันต้องชะงักด้วยความตกใจ สุดท้ายก็ต้องวางจานข้าวและทัพพีลงก่อนจะหันหลังแล้วสับเท้าไปยังห้องนอนเพื่อปลอบลูกน้อย ทั้ง ๆ ที่ก่อนจะผละออกมาก็มั่นใจว่าได้กล่อมให้หลับไปแล้ว หากเป็นแบบนี้เธอคงไม่ได้ทานมื้อเที่ยงแล้วกระมัง
เมื่อไปถึงก็เห็นว่าเด็กทารกที่นอนอยู่บนเตียงดิ้นไปดิ้นมาพร้อมกับส่งเสียงร้อง คนเป็นแม่เห็นดังนั้นแล้วก็ต้องพุ่งตัวไปหาอย่างไม่รอช้า จากนั้นก็ประคองเด็กน้อยมาอุ้มไว้แนบอกพร้อมกับส่งเสียงกล่อมเบา ๆ เพื่อสื่อให้รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว แต่แม่ก็อยู่เคียงข้างมิได้ทอดทิ้งไปไหน ไม่นานนักเสียงร้องก็เงียบลงไป เปลือกตาที่ปิดสนิทของคนในอ้อมกอดบอกให้รู้ว่าได้เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่วางใจที่จะปล่อยให้นอนตามลำพัง จึงได้แต่อุ้มอยู่อย่างนั้นไปเรื่อย ๆ
สายตาก็ทอดมองไปด้านนอกผ่านกระจกหน้าต่าง แม้ว่าจะเพิ่งเข้าสู่ช่วงบ่ายทว่าฟ้ากลับตั้งเค้า จึงเดาได้ไม่ยากว่าอีกไม่นานฝนคงตกลงมาเป็นแน่แท้ เธอไม่ชอบฤดูฝน อันที่จริงไม่ชอบฤดูไหนทั้งนั้น เวลาฝนตกก็เฉอะแฉะ การออกไปทำธุระนอกบ้านก็ดูเป็นเรื่องยาก หากตากฝนก็เสี่ยงจะเป็นหวัด ฤดูร้อนก็ไม่ชอบพอเท่าไรนัก เพราะเธอไม่ใช่คนที่มีร่างกายแข็งแรง การตากแดดตากลมจึงอาจจะทำให้ป่วยเอาได้ ส่วนฤดูหนาวก็เหมือนจะดี ทว่ามันกลับส่งผลเสียต่อร่างกาย มันเป็นฤดูที่จะป่วยอย่างน้อยสองครั้ง
ผ่านไปได้แค่ครู่เดียวก็จำเป็นต้องวางลูกน้อยลงบนเตียงเหมือนดังเดิม ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวไปยังชั้นล่างเพื่อเก็บผ้าอ้อมที่ตากไว้ก่อนที่ฝนจะกระหน่ำลงมา และมันก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ในจังหวะที่จะเดินเข้าในบ้านพร้อมกับเสื้อผ้าเต็มสองมือ เม็ดฝนก็กระทบเข้ากับตัว เป็นเหตุให้ต้องเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้ไม่เปียกไปมากกว่านี้
เมื่อเข้ามาถึงก็เจอเข้ากับแม่บ้านวัยกลางคนที่ยิ้มให้อย่างมีมารยาท แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เข้ามาช่วยแต่อย่างใด ซึ่งเธอก็ไม่ชินสักเท่าไรที่ถูกปฏิบัติเช่นนี้แม้ว่าจะอาศัยใต้ชายคามาเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปี แต่ในทุก ๆ วันก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยว ได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่แต่ในใจกลับว่างเปล่า บางทีก็ถูกปฏิบัติเหมือนกับเป็นแค่อากาศธาตุเท่านั้น มันช่างไร้ตัวตนจนรู้สึกตรมอยู่ในใจ มิหนำซ้ำยังไม่สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้อีกด้วย
ร่างระหงก้าวเท้าเดินไปยังห้องนอนของตัวเองพร้อมกับเสื้อผ้าอาภรณ์จำนวนมากของลูก โดยระหว่างนั้นหางตาก็เห็นว่าประตูบ้านถูกเปิดออกด้วยแม่บ้านอีกคนหนึ่ง หลังบานประตูนั้นเป็นใครก็เดาได้ไม่ยาก จากนั้นเจ้าหล่อนก็ปรากฏตัวในชุดผ้าไหมราคาแพง เธอที่ตั้งใจจะเดินไปยังบันไดก็ต้องหยุดเท้าแล้วก้มหัวเพื่อทำความเคารพเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่านหน้าไป โดยที่ไม่ได้ชายตามองเธอแต่อย่างใด
หลังจากหญิงวัยกลางคนเดินผ่านไปยังห้องโถงแล้ว เธอจึงหันกลับมาทางบันไดพลางก้าวเท้าเดินต่อ แม้จะอยู่ในตำแหน่งสะใภ้แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่คิดเช่นนั้น แต่มันก็คงจะกล่าวโทษใครไม่ได้ เรื่องนั้นเธอรู้ดี
ไม่นานนักก็เดินมาถึงห้องนอนของตน จากนั้นก็จัดการพับผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างอีกรอบเพราะยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง
เมื่อไปถึงก็พบเข้ากับแม่บ้านจำนวนสองคนกำลังสาละวนอยู่หน้าเตา คนทั้งสามยิ้มทักทายตามมารยาทก่อนที่เธอจะแยกตัวออกมาเพื่อตักข้าว แล้วเดินไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากทั้งคู่นัก
“ลูกหลับไปแล้วเหรอคะ” ป้าแจ่มซึ่งเป็นแม่บ้านที่อยู่มานานเป็นคนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นมิตร ไม่รู้แน่ชัดว่าหล่อนอยู่มาเป็นเวลาเท่าไร แต่น่าจะก่อนที่สามีของเธอจะเกิดด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายถือเป็นแม่นมของเขา แม้จะเป็นแม่บ้านทว่าก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจและนับถือจากเจ้าของบ้านมากพอสมควร
“สักพักใหญ่ ๆ แล้วค่ะ เลยถือโอกาสมาทานข้าวเที่ยงก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องรอมื้อเย็นทีเดียว” อันที่จริงมันก็เลยเวลามื้อเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงเห็นจะได้ เพราะมัวแต่กล่อมลูกให้หลับเลยไม่สามารถปลีกตัวมาได้
หลังจากเธอตอบตำถามของคู่สนทนาแล้ว อีกฝ่ายก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วคุณแม่ลูกหนึ่งจึงหันมาสนใจจานข้าวตรงหน้าอีกครั้ง
แม่บ้านที่นี่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ แต่ที่ไม่สามารถพูดคุยกับเธอได้เพราะถูกแม่ของสามีสั่งห้ามไว้ ทว่าเวลาอยู่นอกสายตาของหล่อน ป้าแจ่มก็มักจะพูดคุยกับเธอเหมือนปกติ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรมากนัก แค่ทำให้รู้ว่าไม่ได้โกรธเกลียดเธอเท่านั้นเอง ส่วนอีกคนนั้นอายุมากกว่ากันแค่ไม่กี่ปี เพิ่งมาใหม่ได้ไม่ถึงห้าปีจึงไม่กล้าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งเจ้านาย รวมถึงการข้องแวะกับลูกสะใภ้แสนชังด้วย เพราะอย่างนั้นตอนที่เห็นว่าเธอหอบผ้ามาเต็มไม้เต็มมือถึงไม่อาสาเข้ามาช่วย และเธอก็เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลจึงไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย
หลังจากจัดการอาหารที่อยู่ในจานจนเสร็จเรียบร้อยก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเคย เพราะนอกจากสวนหย่อมกับห้องนอนของตัวเองแล้วก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีที่อื่นให้ไป ตอนนี้ฝนก็ตกด้วย จะไปที่นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้ พอมาถึงก็พบว่าลูกสาวยังคงหลับใหลอยู่ นั่นแปลว่านี่คือเวลาว่างของคุณแม่ลูกอ่อน จึงพาตัวเองไปนั่งยังโต๊ะทำงาน ที่บนโต๊ะไม่มีอะไรนอกจากเครื่องเขียนไม่กี่ชิ้นกับหนังสือไว้อ่านยามว่างไม่กี่เล่ม แต่สิ่งที่เธอสนใจคือไดอารีที่อยู่ในลิ้นชัก
เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่นั้นคืออะไร เหงา โดดเดี่ยว เดียวดาย อ้างว้าง ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ไม่มีทางออกให้ตัวเองได้เลย เหมือนว่าใจมันใหญ่เกินกว่าจะรับไหว และมันใหญ่มากกว่าเดิมเมื่อต้องอยู่อย่างตัวคนเดียว สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกห่อหุ้มก็ตอนที่บรรจงเขียนตัวอักษรลงไป มันถูกห่อหุ้มด้วยตัวของตนเอง
ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่มือคู่นั้นจะยื่นมาหา ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความรักหรือความห่วงใย ซึ่งเธอก็ไม่สามารถตอบคำถามของตัวเองได้เลยสักครั้งว่าทำไมต้องรักเขาขนาดนั้น แม้จะเป็นในตอนที่เขาไม่รักก็ยังคงมอบหัวใจให้อย่างกับคนโง่ เธอบอกเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ผ่านตัวอักษร ทั้งยังเผลอตัดพ้อถึงรักข้างเดียวลงไปด้วย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการลงวันที่ไว้ ‘๑๗ กันยายน ๒๕๔๖’ ที่เขียนไปทั้งหมดนั้นนอกจากให้มันได้เป็นเพื่อนตัวเองแล้ว ก็ยังหวังว่าใครสักคนจะได้อ่านมันและทำความเข้าใจในตัวเธอบ้าง
...สักนิดก็ยังดี
เขาจะได้อ่านไหมนะ?
เมื่อคิดเช่นนั้นก็เผลอหัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องตลก อันที่จริงเธออยากให้เขาได้อ่าน ไม่สิ หากเขารักก็ไม่จำเป็นต้องอ่านเลย เพราะมันคงไม่มีไดอารีเล่มนี้อยู่ในโลก หากว่าชีวิตเป็นอย่างที่วาดฝันไว้ ได้แต่งงานกับคนที่รัก มีลูกน้อยและเลี้ยงดูเขาด้วยความรัก เธอก็คงไม่มีทางมาบอกเล่าเรื่องของตัวเองผ่านปลายปากกาเช่นนี้ แต่ที่ต้องทำเพราะทุกอย่างที่คาดหวังไว้มันพังไม่มีชิ้นดี
ตอนที่ยังเป็นเด็กเธอก็วาดฝันไว้ว่าตัวเองในวัยยี่สิบห้าคงโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ก็คงจะมั่นคง และแน่นอนว่าคงไม่ลืมที่จะมีความสุขด้วย แต่ความเป็นจริงนั้นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ผู้ใหญ่คนอื่นเขาร้องไห้กันไหมนะ เธอไม่รู้หรอก แต่เธอก็เป็นแบบนั้น ยังคงนอนร้องไห้บ้างในบางคืน ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เคยคิด หรือว่าเธอจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ่อนแอที่สุดในโลกกัน พอคิดอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกแย่กับตัวเองนิดหน่อย แต่ก็คงต้องยอมรับ ใช่ เธอมันเป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น เพราะโลกใบนี้มีบททดสอบที่ยากเกินกว่าจะเอาชนะได้หลายอย่างเหลือเกิน
เมื่อพูดถึงความมั่นคงแล้ว เด็ก ๆ ในยุคสมัยของเธอก็คงไม่พ้นโดนเสี้ยมสอนมาว่าโตไปต้องเป็นเจ้าคนนายคน จะได้อยู่อย่างสุขสบาย แต่ถ้าทั้งโลกเป็นเจ้านายหมด ใครกันจะเป็นลูกน้อง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น พวกญาติผู้ใหญ่คงแค่อยากจะสื่อว่าให้ลูกหลานพยายามที่จะไต่ไปอยู่ในระดับที่สูงได้ แต่เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ และเธอเป็นหนึ่งในนั้น สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้มีความมั่นคงอะไรในชีวิตเลยแม้ว่าจะได้แต่งงานและมีครอบครัวอย่างที่เคยหวังไว้
‘อายุยี่สิบห้าพวกเราคงโตเป็นสาว แต่งงาน มีลูก มีรถและมีบ้าน’
ถ้าจำไม่ผิดเธอพูดประโยคนี้กับเพื่อน ๆ ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ต่างคุยกันว่าจะหาสามีแบบไหน จะเลี้ยงลูกอย่างไร เพราะส่วนมากแล้วสังคมก็คาดหวังให้ผู้หญิงเป็นแบบนั้น สังคมคาดหวังให้ผู้หญิงเป็นกุลสตรี รักนวลสงวนตัว เมื่อแต่งงานก็ต้องเป็นภรรยาที่ดีของสามี เป็นแม่ที่ดีของลูก และเป็นแม่บ้านที่ดีของครอบครัว เหมือนว่าสังคมจะไม่ให้โอกาสผู้หญิงได้เป็นตัวเองเลย แต่ช่างประไร ในเมื่อเธอได้ฉีกกฎนั้นมาแล้ว ตอนนี้เธอก็เหลือแค่ต้องเป็นแม่ที่ดีและไม่ลืมที่จะเป็นตัวเองก็เท่านั้น
เธอได้ยินประโยคนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ‘มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน’ แม้แต่พ่อแม่ยังคิดแบบนั้นเลย พวกเขาคิดว่าเมื่อมีลูกสาวแล้วก็จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ไปทำเรื่องที่ฉาวโฉ่ ไม่เช่นนั้นจะเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ และแล้ววันหนึ่งคนที่ถูกด้อยค่าให้เป็นแค่ส้วมก็พังตัวเองจนมันส่งกลิ่นไปทั่ว ไม่ว่าไปทางไหนก็มีแต่คนติฉินนินทา เพราะเหตุนั้นแล้วต่อให้ที่นี่จะทำเหมือนว่าเธอเป็นแค่อากาศก็ยังดีกว่ากลับบ้านไปให้ครอบครัวมองเป็นส้วม
เธอยังคงจดจำได้ดีว่าพ่อแม่โกรธมากเพียงใดที่เธอท้องทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แต่งงาน ไม่รู้ว่าทั้งคู่ลืมคำที่พูดกับเธอหรือยัง แต่เธอกลับจำมันได้ดีดั่งบทละครที่อ่านมาเป็นพัน ๆ รอบเพื่อทำการแสดง เพียงแต่นี่ไม่ใช่ละครที่แสดงอยู่บนเวที แต่มันคือละครชีวิตของคนคนหนึ่งที่ต้องรับคำด่าทอเหล่านั้นให้ได้
ในขณะที่นั่งรำลึกความหลังอันขมขื่นก็มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กทารกดังเข้าโสตประสาท เธอวางปากกาลงไปบนโต๊ะก่อนจะเก็บไดอารีไว้ที่เดิม จากนั้นก็หันหน้าไปทางเตียงนอนแล้วตรงไปหาอย่างไม่รอช้า จะว่าไปแล้วเธอก็ไม่ได้ตัวคนเดียวสักหน่อย อย่างน้อยก็ยังมีคนคนหนึ่งให้ได้รักสุดหัวใจ รอยยิ้มฉายชัดอยู่บนใบหน้า หากถามว่าอะไรคือความสุขในชีวิตที่ล้มเหลวแบบนี้ คำตอบก็คงเป็นเด็กตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดกระมัง
“หิวแล้วเหรอ ถ้ายิ้มให้แม่แม่จะให้กิน” แน่นอนว่าลูกไม่ยิ้มให้เธอหรอก แต่แค่ส่งเสียงเรียกก็ถือว่าเติมเต็มช่องว่างในหัวใจไปได้มากแล้ว จึงยื่นมือไปจับชายเสื้อแล้วเลิกขึ้นเพื่อที่จะให้นมแก่บุตร
ทั้ง ๆ ที่ลูกของเธอน่ารักขนาดนี้ก็ยังมีคนที่ไม่รักไม่เอ็นดู เธอไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดว่ามันเป็นเพราะว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเธอหรือเพราะเกิดมาเป็นผู้หญิง เพราะแม่ของสามีเคยพูดว่าเธอไม่มีค่าอะไรหากไม่คลอดลูกชายให้กับสามี ช่างน่าเวทนานักที่เจ้าหล่อนเองก็เป็นผู้หญิงแต่กลับมองว่าการเกิดเป็นผู้หญิงนั้นไร้ค่า
ตามใจเถิดหนา จะไม่รักก็ไม่เป็นไร เพราะเธอจะรักลูกของเธออย่างสุดหัวใจเอง
เธอละสายตาจากลูกน้อยไปยังนอกหน้าต่างเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝนกระทบพื้นดินแล้ว ก่อนจะต้องหันสายตามาทางประตูเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ ๆ ให้หลังไม่กี่วินาทีประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนที่เธอแสนจะคิดถึง เขามองมาทางนี้แต่เพียงไม่นานก็เบือนหน้าไปทางอื่น คู่สามีภรรยาทั่ว ๆ ไปก็คงไม่มีอาการเขินอายกันแล้ว รวมถึงคู่ของเธอและเขาด้วย เขาไม่ได้หลบตาเพราะความรู้สึกแบบนั้น แต่เขาคงไม่อยากมองมากกว่า
“อีกสิบนาทีจะมาใหม่”
แล้วประตูก็ถูกปิดลงโดยบุคคลที่สาม เธอเผยยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าอีกเดี๋ยวเขาจะมาใหม่ ถึงเจตนาจะมาหาลูก แต่ตัวคุณแม่มือใหม่ก็ได้รับผลพลอยได้ด้วย ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มความอ้างว้างในชีวิต แต่น่าแปลกที่ใจดวงนี้ยังคงเรียกร้องที่จะเห็นหน้าและได้พูดคุยกัน เธอรักเขามากเกินไปและคิดว่าเขาก็ต้องรักเธอไม่ต่างกัน แต่มันไม่ใช่ทุกเรื่องที่คนเราจะสมหวัง ยิ่งเธอทำเรื่องที่ผิดพลาดมาด้วยแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่
แต่ด้วยความสัตย์จริง เธอทำทุกอย่างเพราะความรักทั้งนั้น
เมื่อลูกกินอิ่มแล้วก็จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอเผยยิ้มก่อนจะตอบออกไปว่าให้เขาเข้ามาได้เลย หลังจบประโยคก็เห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาในชุดทำงานเหมือนเมื่อครู่ เขาตรงมาที่เตียงก่อนจะอุ้มลูกน้อยไว้แนบอก เธอจึงเอ่ยปากถามออกไปว่าระหว่างทางฝนตกหรือไม่ มันก็แค่ข้ออ้างที่จะได้คุยกันเท่านั้น จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ หากทำให้เธอสามารถพูดคุยกับสามีได้ ภรรยาคนนี้ก็เต็มใจจะหยิบยกมาเป็นประเด็น ทว่าเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำเพียงเดินกลับไปทางเดิม
เธอมองภาพนั้นแล้วรู้สึกเหมือนใจกระตุก จะกี่ครั้งก็ไม่เคยชินที่ถูกปฏิบัติดเช่นนี้
เมื่อเขาเดินออกจากห้องไปแล้วก็จัดที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจะเดินตามไป ภายในห้องโถงนั้นมีพ่อและแม่ของสามีนั่งอยู่ด้วย เธอก้มหัวให้เป็นเชิงทำความเคารพ พลางทิ้งตัวนั่งลงไปบนโซฟาตัวที่ยังว่างและห่างจากคนอื่นพอสมควร ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ยิ้มได้เพราะรู้ว่าอย่างน้อยลูกสาวก็ได้รับความรักความเมตตาจากคนในบ้านนี้อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะจากพ่อและปู่ ส่วนคนเป็นย่านั้นแทบจะไม่ชายตามอง ซึ่งเธอก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าหล่อนไม่ได้เอ็นดูเด็กคนนี้เลย
“เพิ่งตื่นใช่ไหมเนี่ย ตัวนวลเชียว” เธอตอบรับพ่อสามีด้วยคำพูดสั้น ๆ เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หลังจากได้รับคำตอบแล้วอีกฝ่ายก็แค่หันมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ ก่อนจะหันไปฟัดกับหลานสาวตัวน้อย เสียงหัวเราะตามประสาเด็กทารกดังไปทั่วบริเวณ และมันสามารถเรียกรอยยิ้มจากคนที่อยู่ใกล้ชิดได้เป็นอย่างดี จะมีก็แต่ภรรยาของเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่เงียบ ๆ พลางแสดงสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ผมว่าวันนี้ลูกดูอารมณ์ดี”
“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ นับวันก็ยิ่งขี้เล่น เดี๋ยวพอโตนี่น่าจะซนน่าดู”
เธออมยิ้มให้บทสนทนาของพ่อลูกที่เข้าขากันเป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะไม่รักคนเป็นภรรยา ทว่าก็ไม่เคยคิดชิงชังสายเลือดของตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่บรรยากาศกำลังดีอยู่แท้ ๆ แต่แม่สามีก็พูดขัดขึ้นมาทำให้ทุกคนเงียบเสียงลงไป “จะซนหรืออะไรก็ไม่ว่า แต่อย่าทำตัวเหมือนคนเป็นแม่ก็พอ”
“น่า อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปสักทีเถอะ” หลังจากตอบภรรยาของตนไปแบบนั้น เจ้าตัวก็หันมาสนใจหลานสาวที่อยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง
เธอหันไปมองเจ้าหล่อนด้วยความรู้สึกหลากหลายที่อัดแน่นอยู่ในใจ จะว่าโกรธมันก็ใช่ แต่ก็เข้าใจที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ที่จริงเธอก็สับสนและรู้สึกผิด แต่คนเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ ซึ่งหากย้อนไปได้เธอก็คงทำแบบเดิมแม้จะรู้ว่าอนาคตจะต้องเจ็บ เพราะการปล่อยให้คนที่รักไปเป็นของคนอื่นนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็น ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิดแต่ก็ยังทำ
ได้โปรดอภัยให้ลูกด้วย ลูกได้ทำผิดมหันต์ลงไป แต่ลูกก็เดินเข้ากองไฟด้วยใจที่เต็มไปด้วยความรัก
คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีไม่ได้ขยับปากเพื่อพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ได้แสดงท่าทีว่าต้องการปกป้องกันแต่อย่างใด หากไม่มีพ่อสามีร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยเธอคงรู้สึกว่าตัวเองแตกสลายกว่านี้ สุดท้ายเขาก็หันไปหาลูกสาวโดยปล่อยให้เธอในฐานะภรรยานั่งเป็นอากาศธาตุอยู่อย่างนั้น
ไม่นานนักก็ถึงเวลามื้ออาหาร แม่บ้านจึงรับหน้าที่ดูแลลูกเพราะเธอต้องไปทานมื้อเย็น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ได้แตกต่างจากวันที่ผ่านมา นั่นคือมักจะมีบทสนทนาของพ่อแม่ลูก และเธอจะทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีเท่านั้น จะมีบางทีที่พ่อสามีชวนคุยในเรื่องจิปาถะ ที่ส่วนมากก็เป็นเรื่องของหลานสาวของเจ้าตัว
ประเด็นในวันนี้เป็นเรื่องของกงสี นั่นคือร้านทองจำนวนสองสาขา และเธอรู้มาว่าภายในสองปีข้างหน้าจะทำการขยายเพิ่มอีกหนึ่งสาขา คนที่จะรับช่วงต่อก็คือสามีของเธอ แต่หลังจากนั้นก็คงต้องเป็นลูกสาวที่ย่าไม่ได้มองว่าเป็นหลานคนโปรด แต่จะให้เธอตั้งครรภ์อีกครั้งและคลอดลูกชายให้ครอบครัวนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะหลังจากคืนนั้นทั้งเธอและเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้า เป็นแค่สามีภรรยาในนาม ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย อย่างว่า คนอย่างเธอได้ขนาดนี้ก็บุญท่วมหัวแล้ว
หลังจากทานอาหารเสร็จเป็นที่เรียบร้อยต่างก็พากันแยกย้ายไปยังห้องของตัวเอง แต่ก่อนที่เธอจะได้กลับห้องก็ต้องเดินไปยังห้องโถงอีกรอบเพราะต้องไปรับลูกที่แม่บ้านเลี้ยงไว้ เธอไม่ลืมที่จะเอ่ยปากเพื่อบอกขอบคุณที่เป็นธุระให้ อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับมา จึงอุ้มลูกไว้แนบอกแล้วเดินขึ้นชั้นบนเพื่อตรงไปยังห้องของตน
ที่หน้าประตูห้องนอนมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ เขาคือสามีแสนรักนั่นเอง รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายมายืนรออยู่แบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ปกติก็แทบจะไม่เห็นกันอยู่ในสายตาเลย แต่มันก็ทำให้เธอยิ้มได้ จึงเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงที่หมายโดยเร็ว
“พี่มีธุระอะไรหรือเปล่า”
“เดี๋ยวคืนนี้จะขอนอนกับลูก”
“หมายถึง?” สาวเจ้าเอียงคอมองอย่างนึกสงสัย ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าท้องแล้วได้ก้าวมาอยู่ในบ้านหลังนี้ เขาไม่เคยเอ่ยปากพูดแบบนี้เลยสักครั้ง เนื่องจากสองสามีภรรยาแยกห้องกันนอน เธอจึงนอนคนเดียวมาตลอด เพิ่งจะเป็นช่วงห้าเดือนที่แล้วนี่เองที่ได้นอนสองคนกับลูก “พี่จะมานอนที่ห้องกับลูกเหรอ”
เธอถามออกไปพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่มันจะค่อย ๆ จางลงเมื่อได้รับคำตอบจากปากเขา “เปล่า เดี๋ยวค่ำ ๆ จะมารับลูกไปนอนด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นสาก็ต้องนอนคนเดียวใช่ไหม” เขาไม่ตอบ และนั่นก็เป็นคำตอบที่เข้าใจได้แล้ว “แต่ลูกยังเด็ก ยังไงก็คงจะตื่นมากินนมตอนดึก ๆ”
“พอลูกตื่นเธอก็เดินมาสิ”
“แบบนั้นมันจะไม่ลำบากเหรอ ยังไงลูกก็ต้องนอนกับสา”
“เธอกำลังจะบอกว่าฉันไม่สามารถนอนกับลูกตัวเองได้อย่างนั้นเหรอ ทำไมล่ะ เขาเป็นลูกของเธอคนเดียวหรือไง”
“ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ พี่ก็นอนกับลูกได้ แต่ลูกก็ต้องนอนกับสาเพราะแกยังเด็ก มีทั้งหิวนม ตื่นกลางดึก เปลี่ยนผ้าอ้อม”
“สรุปคือถ้าอยากนอนกับลูกก็ต้องนอนกับเธอด้วยงั้นสิ” คนถูกถามพยักหน้ารับ เพราะมันควรจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ หากว่าลูกโตกว่านี้มันก็คงไม่มีปัญหา “ได้ เตรียมที่นอนไว้ที่พื้นด้วย”
เธอเดินเข้าห้องนอนพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า เมื่อเข้ามาแล้วก็อาบน้ำให้ลูกก่อนจะจัดแจงที่หลับที่นอนให้เรียบร้อย โดยไม่ลืมเตรียมฟูกไว้สำหรับปูที่พื้นอย่างที่เขาได้เอ่ยปากบอกไว้
ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำแต่ลูกน้อยยังไม่หลับตาลง หากเป็นอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ปลีกตัวไปอาบน้ำไม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถทิ้งลูกไว้โดยลำพัง จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่มันจะถูกเปิดออกโดยคนมาใหม่ เขาอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว จึงโพล่งออกไปว่าขอฝากลูกสักพัก ด้วยเธอต้องไปอาบน้ำ เขาไม่ได้ตอบเป็นคำพูดแต่เลือกที่จะเดินตรงมาหาลูกสาวที่เตียงนอน
เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงเดินไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ก่อนจะออกมาในเวลาไม่นานนัก ภาพที่เห็นทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ เพราะเขาก้มหน้าลงไปฟัดกับลูกสาวจนได้ยินเสียงของเด็กทารกหัวเราะร่าออกมาอย่างมีความสุข ร่างบางเดินไปนั่งบนเตียงแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวแก้วตาดวงใจอย่างอ่อนโยน
“ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากนอนกับลูกเหรอ”
“ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย”
หญิงสาวหัวเราะออกมาน้อย ๆ แม้ว่าจะไม่มีอะไรให้ขำเลยสักนิด “ในฐานะแม่ก็แค่อยากรู้”
“ในฐานะพ่อ ฉันไม่อยากบอก”
“พี่นี่ก็นะ ใจร้ายจริง ๆ”
“ไม่เท่าเธอหรอก อีกอย่าง คนอย่างเธอไม่ควรว่าใครแบบนั้นนะ”
สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จนในที่สุดก็ให้ลูกกินนมจนหลับ ในระหว่างนั้นเขาก็เดินไปยังระเบียงห้องเพื่อที่จะหลบสายตาจากเรื่องเหล่านี้ เมื่อลูกหลับแล้วก็เอ่ยปากเรียกเขาเพื่อให้กลับมานอนในห้อง ส่วนตัวเธอก็จัดแจงตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอน ทว่ากลับมีเสียงของเขาดังขึ้นเพื่อสื่อว่าตนจะนอนด้านบน เธอเลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ หากเป็นอย่างนั้นจะให้เสียเวลาปูฟูกไว้ที่พื้นไปเพื่ออะไร
“เปลี่ยนใจไม่นอนพื้นแล้วเหรอ”
“ไม่เคยเปลี่ยน เพราะไม่คิดจะนอนตั้งแต่แรก” หลังจากได้รับคำตอบแล้วก็นิ่งไปทันทีเมื่อเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ “เชิญ”
“แต่นี่มันห้องของสา”
“เหรอ แต่บ้านของฉัน”
ไม่ว่าอย่างไร เธอมันก็เป็นได้แค่ภรรยาแสนชัง